WS บทที่ 314 พิชิต PART 1
ในปราสาทวิลสันอันเงียบสงบ ภายในกระท่อมของผู้เฒ่างู เสียงของผู้เฒ่างูขีดเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษสีขาว
*แคร่ก แคร่ก แคร่ก…*
นักเวทย์ชราขี้เหร่สองคนเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วและพูดด้วยความเคารพว่า “ท่านผู้เฒ่างู เมอร์ลินแจ้งเราว่าเขากำลังจะเคลื่อนไหว เป้าหมายแรกของเขาคือเมืองทารัน!”
ตุ้มหูสีเขียวหยกขนาดใหญ่บนตัวพ่อมดชายขี้เหร่ส่ายไปมาเล็กน้อย นอกจากรอยสักที่แปลกประหลาดและซับซ้อนบนใบหน้าของเขาแล้ว เขายังดูน่ากลัวอีกด้วย
"โอ้? เมืองทารันอยู่ติดกับเมืองเลบิสและตระกูลของเคานต์จากเมืองทารันปกครองมาหลายชั่วอายุคน จนสามารถรวบรวมกลุ่มพ่อมดที่น่าเกรงขามภายใต้คำสั่งของเขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีนักเวทย์ระดับสี่ที่มีชื่อว่าฟิเนลโล่ ผู้ออกแบบวงแหวนเวทย์รูนขนาดมหึมาในเมืองทารัน
พ่อมดพเนจรที่สามารถเชี่ยวชาญวงแหวนเวทย์รูนนั้นหายากจริง ๆ! ด้วยวงแหวนเวทย์รูนนี้ นักเวทย์ระดับสี่ทั่วไปจึงไม่อาจเป็นอันตรายต่อเมืองทารัน”
หลังจากหยุดครู่หนึ่ง ผู้เฒ่างูก็หรี่ตาและเงยหน้าขึ้นมองไปยังนักเวทย์ชราทั้งสองและเตือนพวกเขา “ถ้าเมอร์ลินไม่ตกอยู่ในอันตราย พวกคุณไม่ต้องเข้าไปแทรกแซงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณเข้าใจไหม? เรามีหน้าที่รับผิดชอบในความปลอดภัยของเมอร์ลินเท่านั้น หากฟิเนลโล่แห่งเมืองทารันต้องการฆ่าเมอร์ลิน คุณต้องช่วยเหลือและนำเขากลับมาไม่ว่าจะต้องใช้วิธีอะไรก็ตาม นี่คือสิ่งที่องค์ชายแปดรับสั่ง หากพวกคุณทั้งคู่ปรากฏตัวออกมา พ่อมดฟิเนลโล่จะไม่กล้าต่อต้านพวกคุณ ในฐานะที่เป็นเพียงแค่พ่อมดพเนจร เขาไม่กล้าที่จะต่อต้านอำนาจขององค์ชายแปด!”
นักเวทย์ชราทั้งสองได้แลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาเข้าใจสิ่งที่ผู้เฒ่างูสั่งพวกเขา งานเดียวของพวกเขาคือดูแลเมอร์ลิน ไม่ว่าเขาจะก่อปัญหามากเพียงใดก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่พวกเขารับประกันความปลอดภัยของเขาได้
“ท่านผู้เฒ่างูโปรดวางใจ แม้ว่าเมอร์ลินคนนี้คิดว่าเขาสามารถแสดงท่าทีเย่อหยิ่งได้เพียงเพราะเขาเป็นอัจฉริยะแห่งดินแดนมนต์ดำ เรื่องในคราวนี้เขาจะได้เรียนรู้ว่าการยั่วยุพ่อมดพเนจรนั้นมันไม่ใช่ความคิดที่ดี”
พ่อมดขี้เหร่หัวเราะอย่างเย็นชา เขาสมเพชต่อ ‘ความบ้า’ ของเมอร์ลิน
“เอาล่ะ ไปได้แล้ว แล้วก็รายงานกลับมาหาฉันได้ตลอดเวลา ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานก่อนที่ข่าวของพระองค์จะมาถึงเรา จากนั้นเราก็สามารถเริ่มต้นการเดินทางกลับไปที่เมืองอิมพีเรียลโดยเร็วที่สุด…”
จากนั้นผู้เฒ่างูโบกมือของเขาเบา ๆ เพื่อไล่นักเวทย์ชราสองคนออกไป ต่อจากนั้น เขาก้มศีรษะลงและหันกลับมาสนใจกระดาษบนโต๊ะแทน...
…
บนถนนอันกว้างใหญ่ ร่างสี่ร่างเดินอย่างสบาย ๆ อย่างไรก็ตาม หากมองใกล้ ๆ จะพบว่าแม้ว่ากลุ่มนี้จะดูเหมือนจะช้า ๆ แต่ก็มีร่องรอยของความผันผวนของพลังงานธาตุลมที่ลอยอยู่รอบ ๆ ร่างกายของพวกเขา พวกเขาเป็นนักเวทย์ทรงพลังซึ่งห่อหุ้มตัวเองด้วยคาถาเพื่อเร่งการเดินทางของพวกเขา
สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนที่สุดคือนักเวทย์สองคนที่ตามหลังมา มีรอยสักตั้งแต่หัวจรดเท้าและมีลักษณะที่น่ากลัว
“ไอ้แก่ มันมีแค่เมอร์ลินและผู้ติดตามของเขาที่จะไปเมืองทารันงั้นเหรอ?” แม้หญิงชราจ้องไปที่ร่างทั้งสองข้างหน้า แววตาของเธอฉายแววสงสัย
“เฮ้ แม่มดเฒ่า งานของเราคือติดตามเมอร์ลินและปกป้องเขาในขณะที่เราอยู่ที่นั่น ส่วนเรื่องอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องของเรา ไม่ว่าเขาจะนำผู้คนไปที่เมืองทารันกี่คนหรือสิ่งที่เขาทำที่นั่น มันก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา”
กลุ่มนักเดินทางประกอบด้วยเมอร์ลินกับพ่อมดแบมมูพร้อมด้วยนักเวทย์ที่น่าเกลียดสองคนที่ส่งมาโดยผู้เฒ่างูซึ่งทำหน้าที่เป็น ‘ผู้สักเกตการณ์’ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองกลุ่มย่อย ไม่ว่าจะเป็นเมอร์ลิน พ่อมดแบมมูหรือนักเวทย์ชราสองคน พวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยในตลอดการเดินทาง
พ่อมดแบมมูที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้าจะกวาดพลังจิตของเขาไปเหนือนักเวทย์ชราสองคนที่อยู่ข้างหลังเขาเป็นครั้งคราว พลังจิตของพ่อมดแบมมูเปรียบได้กับจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่และเขาสามารถปกปิดร่องรอยของพลังจิตไม่ให้สองคนนั้นรู้ตัวได้
“นายท่านดูเหมือนว่าสองคนข้างหลังเรา 'กังวล' เกี่ยวกับความปลอดภัยของนายท่านมาก ผู้เฒ่างูได้สั่งพวกเขาว่าไม่ว่านายท่านจะก่อปัญหามากเพียงใด พวกเขาจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องตราบใดที่นายท่านไม่ตกอยู่ในอันตราย อย่างไรก็ตาม เมื่อความปลอดภัยของนายท่านตกอยู่ในความเสี่ยง พวกเขาจะปกป้องนายท่านทุกวิถีทาง”
พ่อมดแบมมูรายงานทุกเรื่องให้เมอร์ลินทราบ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าคนเหล่านี้ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงและพวกเขาประเมินเมอร์ลินต่ำไป
แม้ว่า ‘นายท่าน’ ของพ่อมดแบมมูจะไม่แข็งแกร่งมากนักแต่นักเวทย์ระดับสามและสี่เหล่านี้ก็ยังไม่สามารถรับมือเขาได้ หากต้องการจะจัดการเมอร์ลินต้องนักเวทย์ระดับห้าเป็นอย่างน้อย
ยิ่งกว่านั้น แบมมูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพลังของเมอร์ลินเป็นอย่างไร จากมุมมองของเขา เมอร์ลินนั้นมี ‘ความลับ’ ที่ลึกล้ำเกินกว่าจะหยั่งรู้ได้ ตัวเมอร์ลินนั้นไม่ได้ ‘อ่อนแอ’ อย่างเช่นผู้เฒ่างูและคนอื่น ๆ คิดว่าเขาเป็น
“คนสำคัญสำหรับพวกเขาคืออาจารย์ลีโอ!”
รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมริมฝีปากของเมอร์ลิน องค์ชายแปดได้ใช้ทุกวิถีทางเพื่อเอาใจพ่อมดลีโอจึงทำทุกอย่างเพียงเพื่อช่วยเหลือเมอร์ลิน เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเมอร์ลินเป็นลูกศิษย์ที่มีค่าของพ่อมดลีโอ ถึงกระนั้น แค่ข่าวลือก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้องค์ชายแปดลงทุนเพื่อช่วยเหลือเขา
กล่าวอีกนัยหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าองค์ชายแปดวิตกกังวลเพียงใดในการเอาชนะใจพ่อมดลีโอ
"เดี๋ยวก่อน"
เมอร์ลินหยุดเดินกะทันหันและมองขึ้นไปบนฟ้า มีกาสีดำสองสามตัวได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าที่สว่างไสว บินวนอยู่ในอากาศ
“โชคไม่ดีเลยที่เราเจออีกา”
นักเวทย์ชราสองคนที่อยู่ด้านหลังก็มองดูอีกาทั้งสองอย่างขุ่นเคืองในอากาศ โดยทั่วไป กาที่อยู่ข้างบนนั้นหมายถึงลางร้ายของสิ่งที่จะเกิดขึ้น
*พรึ่บ!*
เปลวไฟพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็วและกลืนกินอีกา กลายเป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตา
เมอร์ลินยกแขนขึ้นโดยไม่ตั้งใจ สายตาของเขาจับจ้องไปที่กำแพงสีขาวขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปแล้ว
“เมืองทารัน!”
มันคือเมืองทารัน เป้าหมายแรกของเมอร์ลิน ขณะที่เขาคิดถึงอีกา ริมฝีปากของเมอร์ลินก็ดึงเป็นเส้นที่น่ากลัว บางทีพวกเขาอาจเป็นตัวแทนของความวุ่นวายที่เมืองทารันจะเผชิญในวันนี้
“เอาล่ะ พวกเราจะเข้าไปข้างในกันเถอะ!”
เมอร์ลินพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดูเหมือนเขาจะนึกอะไรบางอย่างออกและหันกลับไปหานักเวทย์ชราทั้งสอง “ถ้าพวกคุณตามไม่ทัน พวกคุณสามารถตามมาทีหลังได้นะ”
หลังจากที่เมอร์ลินพูดจบ นักเวทย์ทั้งสองดูเหมือนจะงุนงง พวกเขาไม่เข้าใจความหมายของเมอร์ลิน ทันใดนั้น ร่างของเมอร์ลินและพ่อมดแบมมูก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างช้า ๆ ร่างกายของพวกเขาล้อมรอบไปด้วยธาตุลมอันแรงกล้า พวกมันบินตรงไปยังเมืองทารันอันเกรียงไกรทันที
“นี่มัน…พวกเขาบินได้งั้นเหรอ? ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่า พ่อมดเมอร์ลินและผู้ติดตามของเขาบินได้”
“นักเวทย์ระดับสี่ ผู้ติดตามของเมอร์ลินจะต้องเป็นนักเวทย์ระดับสี่หรือสูงกว่านั้นอย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าพ่อมดเมอร์ลินจะสวมอุปกรณ์เวทมนต์แบบบินด้วยเช่นกัน พวกเขาทิ้งเราไว้อย่างนั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นที่ผ่านมาพวกเขาได้เดินเท้าเพื่อรอเราสินะ…”
นักเวย์ทั้งสองแสดงสีหน้าขมขื่น พวกเขาแอบเปรียบเทียบพลังเวทย์มนตร์และความเร็วของพวกเขากับของเมอร์ลินแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเมอร์ลินและพ่อมดแบมมูกำลังรอให้พวกเขารีบเร่งด้วย ‘ก้าวช้าๆ’ ของพวกเขา มิฉะนั้น ถ้าเมอร์ลินและพ่อมดแบมมูบินตลอดทาง พวกเขาคงจะไปถึงเมืองทารันนานแล้ว
การแสดงออกของนักเวทย์ทั้งสองเปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาจ้องไปที่ร่างที่หายไปของเมอร์ลินและพ่อมดแบมมู พวกเขากัดกรามด้วยความโกรธและคำรามว่า
“เร็วเข้า เราต้องรีบไปถึงเมืองทารันโดยเร็วที่สุด พ่อมดเมอร์ลินคงจะเข้าสู่เมืองทารันด้วยความหยิ่งทะนง เขาไม่รู้เลยว่าตัวเมืองทารันได้รับการปกป้องโดยวงเวทย์รูนที่แม้แต่ผู้เฒ่างูก็ไม่กล้าบุกเข้าไป ถ้าพ่อมดเมอร์ลินถูกชาวเมืองทารันฆ่า พวกเราจะไม่มีหน้าไปพบกับผู้เฒ่างูและองค์ชายแปดแน่”
เมืองทารันได้รับการคุ้มครองโดยวงแหวนเวทย์และพ่อมดพเนจรนับไม่ถ้วน กองกำลังดังกล่าวถือได้ว่ายิ่งใหญ่เกรียงไกรและทำให้เมืองทารันเป็นเมืองที่ค่อนข้างเป็นกลาง เจ้าชายจึงไม่บังคับให้เมืองทารันให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดเมอร์ลินจะทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตราย
นักเวทย์ชราทั้งสองก็ไม่รู้จะจัดการเรื่องอย่างไรดี ผู้เฒ่างูได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาชีวิตของเมอร์ลิน แค่คิดถึงความโกรธของผู้เฒ่างู หากมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับเมอร์ลินก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาทั้งสองกลัวจนตัวสั่น
…
เมืองทารันที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน ตอนนี้มีผู้มาเยี่ยมเยียนอย่างไม่คาดฝันในวันนี้
จุดสีดำเล็ก ๆ สองจุดก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอันไกลโพ้นและใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
คนธรรมดาอาจไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรอยู่บนท้องฟ้าแต่สำหรับนักเวทย์เหล่านั้นที่คอยจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวในเมืองทารันตลอดเวลาจึงสังเกตได้ทันที
“มีนักเวทย์ไม่ฝ่ายสองคนกำลังบินมาที่เมืองทารัน!”
นักเวทย์สองสามคนเริ่มรายงานเรื่องนี้ต่อเมืองทารันทันทีและนักดาบธาตุผู้ทรงพลังจำนวนมากเริ่มเตรียมพร้อมเมื่อร่างกายของพวกเขาสั่นไหวด้วยพลังธาตุที่ผันผวนอย่างทรงพลัง
นักดาบธาตุทั้งหมดนี้เป็นนักดาบธาตุระดับกลางและสามารถทำอันตรายต่อเหล่านักเวทย์ได้ พวกเขาถือเป็นกองกำลังที่น่ากลัว
"หยุด! ที่นี่คือเมืองทารัน ไม่ว่าพวกแกจะเป็นใคร ถ้าไม่หยุด พวกแกจะถูกฆ่า!”
บนกำแพงสูง ชายคนหนึ่งสวมชุดเกราะเงินตระหง่านตะโกนใส่จุดสีดำเล็ก ๆ สองจุดบนท้องฟ้า
*บูม!*
เพื่อตอบโต้ชายสวมเกราะ ลูกไฟนับไม่ถ้วนได้ปิดกั้นท้องฟ้าและตกลงมาอย่างหนัก ทำให้เกิดรูบนกำแพงเมือง ป้อมปราการเกือบครึ่งพังทลายและชิ้นส่วนที่พังยับเยินก็พังทลายลง ทำให้เกิดความวุ่นวายในเมือง
“ศัตรูบุกโจมตี! ฆ่าพวกมัน!”
ทางเมืองทารันตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว นักดาบธาตุจำนวนนับไม่ถ้วนตะโกนขึ้นบนท้องฟ้าทันทีและเกิดประกายไฟเป็นวงกว้างขึ้นในอากาศ นี่คือการโจมตีแบบเต็มกำลังของนักดาบธาตุระดับกลางและเทียบได้กับคาถาระดับสาม
นี่คือความสำคัญของจำนวน นักดาบธาตุระดับกลางหนึ่งหรือสองคนอาจไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่ถ้าพวกเขาหลายร้อยหลายพันคนรวมตัวกัน ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะน่ากลัว
ธาตุไฟที่ไม่มีที่สิ้นสุดเปลี่ยนท้องฟ้าให้เป็นสีแดงที่ลุกเป็นไฟราวกับว่าถูกไฟไหม้และจุดสีดำสองจุดบนท้องฟ้าถูกกลืนกินทันที
"สิ่งนี้เรียกไฟเหรอ?" จู่ ๆ ก็มีเสียงเย็นเยียบลงมาจากท้องฟ้า
*ปัง!*
หลังจากนั้น เปลวเพลิงที่ปกคลุมท้องฟ้าก็เปิดออกพร้อมกับประกายไฟนับไม่ถ้วนตกลงมา เปลวเพลิงสีแดงที่ลุกเป็นไฟกลายเป็นสีขาวซีด แม้แต่กำแพงเมืองที่แข็งแกร่งถูกแผดเผาและพังทลาย กำแพงเหล่านี้ซึ่งใช้แรงงานและวัสดุจำนวนมาก ถูกไฟสีขาวเผาทำลายลงในเวลาอันสั้น
“อ่อนแอ พวกเขาอ่อนแอจริง ๆ แม้ว่าพวกมีพวกคนธรรมดามากเท่าไหร่ สุดท้ายก็ยังคนธรรมดาอยู่ดี”
พ่อมดแบมมูมองดูเหล่านักดาบธาตุที่กำลังดิ้นทุรนทุรายบนกำแพงและส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ คนธรรมดาไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงการต่อสู้ระหว่างนักเวทย์ได้อย่างสมบูรณ์
แม้แต่ป้อมปราการจะน่าสะพรึงกลัวก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักเวทย์ที่ทรงพลัง สิ่งเดียวที่สามารถต่อกรกับนักเวทย์ได้ก็คือพลังของนักเวทย์!
“พ่อมดฟิเนลโล่ พวกเขาสองคนนี้เป็นใคร” ในที่สุด ความวุ่นวายในเมืองทารันก็ได้รับความสนใจจากเคาท์ทารัน