บทที่ 45 วันพิเศษ
บทที่ 45 วันพิเศษ
เฉินฉีกลับมาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า หลินถงซูอดถามเขาไม่ได้ “คุณได้ยินอะไรมาบ้าง?”
เฉินฉีหยิบโทรศัพท์เปิดบันทึกเสียงพร้อมลดเสียงในระดับหนึ่ง หลังจากทั้งสองได้ฟังจบก็มีสีหน้าตกใจมาก หลินถงซูพูดขึ้นมา “พวกเขามีปัญหากันจริง ๆ ด้วย!”
สวีเสี่ยวตงเสริมต่อว่า “จากเสียงบันทึกนี้ คุณสามารถขอหมายค้นได้เลยนะ!”
“ไม่... นี่ยังไม่ใช่หลักฐานที่กฎหมายจะใช้พิสูจน์ได้ แต่ภูเขาน้ำแข็งที่บังเส้นทางเดินเรือเปิดแล้ว ไปกันเถอะ!”
“คราวนี้เราจะไปกันจริง ๆ ใช่ไหม?” หลินถงซูถามด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอน... ยัง!”
ทั้งสามลงมาที่ชั้นล่างของบริษัทเพื่อหาร้านเครื่องดื่มเย็น ๆ ดับกระหายและนั่งรอเวลา พวกเขานั่งรออยู่ที่นั่นจนถึงหกโมงเย็นก็ยังไม่เห็นใครออกมาจากบริษัท สวีเสี่ยวตงบ่นพึมพำ “พนักงานบริษัทนี้ทำโอทีโหดชะมัด!”
“มีหลายบริษัทที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน แต่พนักงานไม่มีปากเสียงร้องเรียนอะไร ทำได้แค่ยอมอดทนไว้และยอมเป็นเบี้ยล่างของพวกนายจ้างโดยปริยาย” เฉินฉีส่ายหน้า “เนี่ยแหละเหตุผลที่ผมไม่อยากทำงานแบบเข้า 8 ออก 5”
“ฉันรู้สึกแบบเดียวกันเลย! พอได้มาเป็นตำรวจถึงค่อยรู้สึกเป็นอิสระมากขึ้น” หลินถงซูพูด
“แต่กว่าจะได้เป็นตำรวจไม่ง่ายเลยนะ” สวีเสี่ยวตงเสริม
“ถ้าคุณรักในงานที่ทำ ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็มีความสุขได้”
ขณะนั้นเอง หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งซึ่งดูจากการแต่งกายแล้วน่าจะเป็นแม่บ้านทำความสะอาดก็เดินลงมาจากบันได เฉินฉีผุดลุกขึ้นยืนทันที “เป้าหมายของผมปรากฏตัวแล้ว! ไปๆๆ!”
ทั้งสองวิ่งตามเขาไปทันที หลินถงซูอดถามไม่ได้ “คุณยอมนั่งจับเจ่ามาครึ่งค่อนวันเพื่อรอแม่บ้านเนี่ยนะ?”
“ในเมื่อเราไม่มีหลักฐานพอจะจัดการกับพวกเขาโดยตรง เราก็ต้องตะล่อมจากด้านข้างไปก่อนนี่แหละ” เฉินฉีตอบกลับ
เฉินฉีรีบเดินไปขวางหน้าแม่บ้านทำความสะอาดทันที “ขอโทษนะครับ ผมขอรบกวนเวลาคุณป้าสักครู่ พวกเราเป็นตำรวจ ต้องการถามอะไรคุณสักหน่อยเพื่อให้ความเข้าใจกระจ่างชัดยิ่งขึ้น”
“พวกคุณอยากรู้อะไรจากป้าล่ะ?” คุณป้าแม่บ้านแสดงสีหน้าระแวดระวังขึ้นมาทันที
“คุณป้ามาทำความสะอาดที่บริษัทนี้ทุกวันเลยเหรอครับ?”
“ใช่จ้ะ”
“งั้นคุณป้าพอรู้สถานการณ์ทั่วไปของบริษัทนี้มากน้อยแค่ไหนครับ? ทุกเรื่องที่คุณป้ารู้เห็นเลย”
“มันก็เป็นแค่บริษัทธรรมดาทั่วไป คุณมาที่นี่เพื่อตรวจสอบเบื้องลึกเบื้องหลังเกี่ยวกับภาษีอะไรทำนองนั้นเหรอ? ป้าคงไม่รู้อะไรแบบนั้นหรอกนะ”
เฉินฉีหยิบแบงก์ใบละหนึ่งร้อยหยวนออกมา “นี่ถือเป็นค่าธรรมเนียมข่าวกรองเล็กน้อย คุณป้าแค่เล่าทุกอย่างที่รู้เกี่ยวกับบริษัทนี้ให้พวกเราฟัง ไม่ต้องกังวลครับ พวกเราจะเก็บเป็นความลับแน่นอน”
พอมีเงินมาล่ออยู่ตรงหน้า ท่าทีของป้าแม่บ้านก็เปลี่ยนเป็นชื่นมื่นอย่างไม่น่าเชื่อและเริ่มเล่าให้พวกเขาทราบทันทีว่าเธอรู้อะไรมาบ้าง เธอบอกว่าผู้บริหารของบริษัทนี้ค่อนข้างเข้มงวด เขากำหนดเวลาเข้างานตั้งแต่แปดโมงเช้า และมักจะบังคับให้ทุกคนทำงานล่วงเวลาจนถึงสี่ทุ่ม ซึ่งภาระงานส่วนใหญ่จะเป็นการขายทางโทรศัพท์ หรือลงพื้นที่ตีตลาดแบบ door-to-door*
* door-to-door = ในที่นี้น่าจะหมายความว่านำสินค้าไปเสนอขายถึงหน้าบ้าน
นอกจากนี้ ที่นี่ยังส่งเสริมวัฒนธรรมหมาป่า* เธอเห็นพนักงานตบหน้ากันเองเพราะพวกเขาไม่สามารถทำยอดขายให้ถึงเป้า หนักกว่านั้นคือการบังคับให้คุกเข่าและกลืนกระดาษ ด้วยตำแหน่งของเธอจึงไม่สามารถออกความเห็นใด ๆ ได้ เธอคิดเสมอว่าช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าที่พวกเขาต้องมาทนทรมานตัวเองแบบนั้น ทุกคนต่างก็เป็นลูกมีพ่อมีแม่ แต่ที่พวกเขาต้องยอมถูกกดขี่จากนายจ้างบ้า ๆ กลุ่มนี้ก็เพราะเงินสำหรับเลี้ยงปากท้องในแต่ละเดือน
*วัฒนธรรมหมาป่า = เป็นคำที่ใช้กันค่อนข้างบ่อยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเพื่ออธิบายแนวทางปฏิบัติเชิงลบของธุรกิจ และเป็นวลีที่ถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งในแวดวงโลกโซเชียล แนวคิดคือมีความกระตือรือร้น ทรหดอดทน และสามัคคี เพื่อนำมาสู่ผลลัพธ์สุดท้ายคือความสำเร็จขององค์กร ซึ่งคนรุ่นใหม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมองค์กรประเภทนี้มากจนพวกเขาค่อย ๆ ซึมซับมันทีละนิด ในที่สุดก็รู้สึกว่านี่แหละคือบรรทัดฐาน เมื่อพวกเขาไม่สามารถทำตามความคาดหวังของวัฒนธรรมองค์กรดังกล่าวก็จะถูกประณามให้ได้รับความอับอาย
“เฮ้อ ชีวิตของพวกเขาน่าสงสารเหลือเกิน!” ป้าแม่บ้านถอนหายใจ
“วัฒนธรรมหมาป่า?” สวีเสี่ยวตงถาม “การเอาวิถีของหมาป่ามาอบรมล้างสมองพนักงานอย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่ ทำนองนั้นแหละ มันเป็นสำนวนอย่างหนึ่ง มีช่วงหนึ่งพวกเขานำรูปหมาป่ายักษ์สีเทามาติดผนังตรงห้องโถงด้านล่างของบริษัทเพื่อสร้างความฮึกเหิมด้วยนะ ป้าหันไปเห็นมันแยกเขี้ยวทีไรรู้สึกพิลึกพิลั่นทุกที”
“แล้วช่วงนี้มีใครหายตัวไปจากบริษัทบ้างไหมครับ?” เฉินฉีถาม
“เรื่องนั้นไม่รู้หรอก ป้าเองก็ไม่รู้จักพวกเขาทั้งหมด... แต่ดูเหมือนจะมีสาวน้อยคนหนึ่งที่ป้าไม่เห็นหน้าเธอมาสองสามวันแล้ว ทุกวันที่มาทำงานเธอจะทักทายป้าตลอด”
“รู้ชื่อของเธอไหม?”
“เสี่ยวลี่ มั้ง? ป้าได้ยินพนักงานอีกคนเรียกเธอแบบนั้น”
“เธอไม่ได้ป่วยจนต้องลางานใช่ไหมครับ?”
“ป่วยเหรอ? เธอเป็นโรคอะไรล่ะ? ร้ายแรงมากไหม?” ดูเหมือนว่าป้าแม่บ้านคนนี้จะไม่รู้เรื่องส่วนตัวของเธอมากขนาดนั้น
เฉินฉีขอให้ป้าแม่บ้านอธิบายลักษณะรูปร่างของเสี่ยวลี่ แต่ไม่ว่าพยายามตะล่อมยังไง ถึงเธอพยายามนึกแค่ไหนก็จดจำรายละเอียดพิเศษบนใบหน้าของหญิงสาวไม่ได้เลย ในที่สุดพวกเขาจึงต้องยอมแพ้ เฉินฉีหยิบแบงก์ใบละหนึ่งร้อยหยวนออกมายื่นให้เธออีกจนดวงตาของอีกฝ่ายลุกวาว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “ป้าบอกรายละเอียดให้กับพวกคุณได้ไม่ดีเท่าไหร่เลย แบบนี้คงไม่เหมาะหรอกมั้ง อ๊ะ จริงด้วย พวกคุณกำลังสืบสวนคดีอะไรอยู่เหรอจ๊ะ?”
“ต้องขอโทษด้วยที่เราเปิดเผยเรื่องคดีไม่ได้จริง ๆ คุณป้ารีบกลับไปทำงานต่อเถอะครับ”
หลังจากอำลากันเสร็จสรรพ หลินถงซูจึงโพล่งขึ้นว่า “คุณนี่ป๋าเป็นบ้าเลย เธอเปิดเผยข้อมูลลับแค่เล็กน้อยเท่านั้นแต่กลับได้รับค่าตอบแทนตั้งสองร้อยหยวน”
“แต่การลงทุนในครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่านะ... โอ้ ใช่! เงินจำนวนนี้ผมก็ควรได้รับคืนด้วย!”
“ถ้าจะขนาดนี้ ทำไมคุณไม่วิ่งไปให้คุณป้าเขาออกใบแจ้งหนี้ให้เลยล่ะ?!” หลินถงซูหัวเราะ
“โธ่ ก็ได้ ๆ” เฉินฉีพูดพลางหันไปยังทางเข้าหลักของบริษัท มือขวายกขึ้นทำสัญลักษณ์เหมือนปืนและชี้ไปที่ป้ายด้านหน้า “บริษัทคังซิงอิเล็กทรอนิกส์นี้มีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่! พรุ่งนี้เราต้องมาทำการสืบสวนต่อ ผมเชื่อว่าความจริงต้องถูกซ่อนอยู่ในตึกนี้ เบื้องหลังของผู้จัดการหน้ามันแผล็บคนนั้นต้องมีเงื่อนงำบางอย่างแน่ วันนี้เลิกงานเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน”
สวีเสี่ยงตงเฮลั่น “ในเมื่อเลิกงานแล้ว งั้นไปกินหม้อไฟกันเถอะ!”
“วันนี้ยังไม่ได้ ฉันต้องกลับบ้านไปอาบน้ำ”
“เหมือนกัน วันนี้ผมต้องไปรับรถที่อู่โฟร์เอสพอดี ให้ผมติดรถไปลงหน้าอู่หน่อยก็แล้วกัน ไหน ๆ ก็เป็นทางผ่านพอดี”
เมื่อรถขับมาจอดหน้าร้านโฟร์เอสแล้ว สวีเสี่ยวตงยังไม่เลิกตื๊อหลินถงซู “ฉันจะไปส่งเธอกลับบ้านเอง”
หลินถงซูรีบปฏิเสธ “ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันโบกแท็กซี่ก็ได้ รอไม่นานก็มาแล้ว”
เฉินฉีแทรกขึ้นทันที “งั้นช่วยอุดหนุนผมหน่อยเป็นไง วันนี้ผมยังไม่ได้ลูกค้าสักคนเลยนะ”
“คุณนี่หน้าหนาจริง ๆ!”
“สิบหยวน ผมจะไปจอดส่งคุณถึงหน้าอะพาร์ตเมนต์เลย มาเร็ว!”
แม้ก่อนหน้านี้หลินถงซูจะตำหนิเขาแต่เธอก็ยอมก้าวข้าวไปนั่งบนรถของเฉินฉีแต่โดยดี เขากอดรัดพวงมาลัยไว้แน่น “ที่รักจ๋า...”
หลินถงซูหันขวับไปจ้องหน้าเขาทันที ปรากฏว่าเขาไม่ได้พูดกับเธอแต่กำลังคุยกับรถของตัวเอง “ฉันไม่เจอหน้าเธอตั้งสองวันแหนะ เธอสวยขึ้นกว่าเดิมอีกนะเนี่ย!”
“แต่งงานกับมันเลยดีไหม?!” หลินถงซูหัวเราะ
“อย่าบูลลี่ความรักรถของผมน่า! ระหว่างทางกลับบ้านคุณอยากแวะกินมื้อเย็นสักหน่อยไหม?”
“จ่ายเงินแค่สิบหยวนยังได้รับบริการพิเศษอีกเหรอเนี่ย? ไม่ล่ะ ขอบคุณนะ วันนี้ฉันอยากกลับบ้านไปอาบน้ำเต็มทนแล้ว เนื้อตัวฉันเริ่มมีกลิ่น”
เฉินฉีขับรถมาส่งหลินถงซูถึงอะพาร์ตเมนต์แล้ว พอเธอลงจากรถเขาก็ก้าวลงจากรถตามเธอด้วย หลินถงซูค้อนขวับ “คุณลงมาทำไม?”
“บริการส่งถึงหน้าห้อง” เฉินฉียิ้มแฉ่ง
“ชิ!”
พวกเขาเดินขึ้นมาถึงหน้าห้องของหลินถงซูแล้ว หลินถงซูเชื้อเชิญเขาตามมารยาท “คุณจะตามเข้ามาส่งถึงในห้องด้วยไหมล่ะ?”
“คุณพูดขนาดนี้แล้ว งั้นผมขอเข้าไปนั่งเล่นในห้องสักหน่อยก็ได้”
“โอ๊ย! คุณนี่ชักจะหน้าทนเกินไปแล้ว! ฉันขอเตือนก่อนนะว่าอย่าได้คิดอะไรลามปามเชียว ไม่งั้นฉันทุบคุณแน่!”
“ผมแค่ขอเข้ามาดื่มน้ำสักแก้ว ต้องทุบต้องตีกันเลยเรอะ?!”
พอเดินเข้ามาในห้องเฉินฉีก็ถอนหายใจ “แต่งห้องซะเป็นสาวหวานจ๋าเลยนะ”
“ไม่ต้องแกล้งทำเป็นวิจารณ์เลย คราวก่อนคุณเข้ามาในห้องก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ?”
หลินถงซูรู้สึกเหนื่อยมากจากการวิ่งสืบหาเบาะแสตลอดทั้งวันจนหมดแรง เธอเปลี่ยนมาสวมใส่รองเท้าแตะก่อนทิ้งตัวนั่งบนโซฟาพร้อมเอื้อมมือไปหยิบรีโมทมาเปิดโทรทัศน์
เฉินฉีเองก็ไม่มีความเกรงใจใด ๆ เช่นกัน ตอนแรกหลินถงซูคิดว่าเขาคงต้องการเสียบปลั๊กกาต้มน้ำไฟฟ้าเฉย ๆ แต่เมื่อได้ยินเสียงหม้อและกระทะกระทบกันดังโครมคราม เธอจึงชะโงกหน้าเข้าไปดูทันที “ทำอะไรของคุณน่ะ?”
“ต้มบะหมี่กินสักชาม!”
“คุณคิดว่าที่นี่เป็นบ้านตัวเองรึไง?!”
“แป๊บเดียวก็เสร็จแล้วน่า!”
รอไม่นานนักเฉินฉีก็ถือชามสองใบออกมาจากห้องครัว เขาปรุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบง่าย ๆ โปะหน้าด้วยแตงกวาหั่นและสาหร่ายทะเล พร้อมด้วยไข่ลวกที่สุกกำลังดีโรยด้วยผักชีด้านบน กลิ่นหอมหวนโชยแตะจมูกทันที
“มา วันนี้กินอาหารง่าย ๆ ไปก่อนก็แล้วกัน” เฉินฉียิ้มพร้อมส่งตะเกียบให้เธอ
“ฉันไม่นึกเลยว่าคุณจะพิถีพิถันกับอาหารขนาดนี้” หลินถงซูหยิบตะเกียบและเริ่มคีบเส้นเข้าปาก
หลินถงซูกินบะหมี่ไปดูรายการโทรทัศน์ไปเพลิน ๆ แต่แล้วก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ นี่เธอไว้ใจตาลุงนี่ถึงขนาดยอมให้เข้ามานั่งในห้องแบบนี้ได้ยังไงกัน?
เธอเหลือบมองเฉินฉีเพื่อสังเกตท่าทีของเขาทันที เป็นจังหวะเดียวกันกับเขาที่หันหน้ามาถามเธอว่า “ในตู้เย็นมีเบียร์ไหม?”
“ไม่มี” เธอตอบกลับเสียงแข็ง
เวลาผ่านมาถึงสองทุ่ม หลินถงซูสงสัยว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงไม่ยอมขยับเขยื้อนออกไปจากห้องของเธอซะที เธอเอาแต่จ้องหน้าเขาจนเขาต้องหันหน้ากลับมามองเธอ ทันใดนั้นหลินถงซูถึงโพล่งสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา “ฉันไม่ยอมให้คุณนอนด้วยแน่!”
“อุบ!” เฉินฉีหลุดพ่นซุปในปากออกมาทันที เขารีบคว้ากระดาษทิชชูบนโต๊ะอย่างรวดเร็วเพื่อเช็ดปากและคราบน้ำซุปที่หกเลอะเทอะ “คุณหลิน ผมควรรู้สึกยังไงกับความคิดของคุณดีเนี่ย?”
“ฉันแค่อยากเตือนคุณว่าอย่าได้คิดทำอะไรแผลง ๆ เชียว!”
“ได้ๆๆ! ผมรู้แล้ว” ดวงตาของเฉินฉีจากที่เคยสดใสหม่นแสงลงฉับพลัน “วันนี้วันที่ 10 ตุลาคม เป็นวันที่พิเศษสำหรับผมอยู่สักหน่อย ผมไม่อยากอยู่คนเดียว เพราะงั้นผมเลยตามคุณขึ้นมา ต้มบะหมี่เอาใจคุณสักชาม ทำตัวเองให้เป็นประโยชน์”
“พิเศษยังไงล่ะ? เป็นวันเกิดของคุณเหรอ?”
‘ถ้าจะพูดให้ถูก วันนี้คือวันที่ผมถูกฆ่าตาย’ เสียงแผ่วเบาดังก้องอยู่ในห้วงความคิดของเฉินฉี