WS บทที่ 313 อันธการ PART 3
ห้องชั้นบนยังสว่างอยู่ สาวใช้พาเมอร์ลินมาที่หน้าบ้านและโค้งคำนับเล็กน้อยจากนั้นก็หันหลังเดินออกไปด้วยความเคารพ
เมอร์ลินเอื้อมมือออกไปและผลักประตูให้เปิด ประกายไฟจากแสงเทียนลุกโชนเข้าตาเขา
ตัวห้องตกแต่งอย่างเรียบง่ายมากแต่ให้ความรู้สึกอบอุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ซึ่งมีผู้หญิงสวยสดงดงามสองคนกำลังนั่งอยู่
“เชอรีส? แอวริล? พวกคุณยังไม่นอนอีกเหรอ…”
เมอร์ลินยิ้ม พลางถอดเสื้อคลุมออกแล้วแขวนไว้บนที่แขวน แอวริลยังคงนิ่งอยู่ ดูเหมือนเธอจะบูดบึ้งในขณะที่เชอรีสยิ้มอย่างเรียบ ๆขณะที่เธอลุกขึ้นและเดินไปทางเมอร์ลิน
“เมอร์ลิน คุณจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?” เชอรีสค่อย ๆ ตบฝุ่นบนเสื้อคลุมของเมอร์ลินและถามอย่างนุ่มนวล
เมื่อเปรียบเทียบกับแอวริลแล้ว เชอรีสดูเหมือนจะเอาใจใส่ในฐานะภรรยามากกว่า ทุกครั้งที่เมอร์ลินกลับมาที่ปราสาทวิลสัน เขาจะรู้สึกได้ถึงความสบายใจที่หาได้ยากจากเชอรีส
“ฉันก็ไม่แน่ใจ ฉันต้องจัดการกับหลายสิ่งหลายอย่างในครั้งนี้ มีหลายสิ่งเกิดขึ้นในปราสาทวิลสันในช่วงเวลานี้และฉันอาจทำให้พวกคุณต้องลำบาก…ฉันจะใช้เวลาให้มากที่สุดและรอจนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก่อนที่ฉันจะจากไป”
เมอร์ลินไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน เขาคาดว่าอาจต้องใช้เวลาสองสามเดือนในการจัดการเรื่องภายในของปราสาทวิลสัน
“สุดท้าย คุณก็ต้องไป...”
แอวริลที่อยู่ด้านข้างรู้สึกไม่มีความสุขเลย แม้ว่าเธอจะกลายเป็นผู้หญิงที่สวยแต่นิสัยไร้เดียงสาก็ยังไม่หายและทำให้เมอร์ลินรู้สึกเหมือนเขาย้อนเวลากลับไปตอนที่เขามาถึงเมืองปรากาซครั้งแรก
เมอร์ลินยิ้ม เขาไม่ได้โกรธเธอ ทันทีที่เขามุ่งหน้าสู่เส้นทางของนักเวทย์ เขาถูกกำหนดให้อยู่ห่างจากครอบครัวของเขาเสมอ
“จริงสิ ซีเลียและโคซิออนอยู่ที่ไหน?” เมอร์ลินสังเกตว่าเขาไม่เห็นเด็กสองคนอยู่ในห้อง
“พวกลูก ๆ ไปพักผ่อนในห้องของพวกเขาแล้ว”
เชอรีสเข้าไปใกล้เมอร์ลินและร่างกายที่อวบอิ่มของเธอเกาะแขนเขาไว้แน่นซึ่งแสดงออกถึงความรู้สึกเสน่ห์หา เมอร์ลินสามารถเข้าใจความรู้สึกของเชอรีสและแอวริลได้ ช่วงเวลานี้เป็นของเขาและภรรยาที่สวยงามสองคนของเขา
…
ไม่มีใครรู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เมอร์ลินเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าหลังจากเผด็จศึกไปหลายยก เขาไม่รู้กี่ครั้งที่เชอรีสกับแอวริลได้เปลี่ยนท่วงท่าอย่างเร่าร้อนบนเตียงขนาดใหญ่ที่กว้างขวาง
เมอร์ลินลูบไล้ผิวเรียบ ๆ ของทั้งสองคนเบา ๆ พลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก นี่คือช่วงเวลาแห่งความสงบในใจของเขาที่หายาก
“เมอร์ลิน ฉัน…ฉันอยากตั้งท้องลูกอีก!”
เชอรีสซึ่งผล็อยหลับไปในตอนแรกได้ลืมตาขึ้นอีกครั้งในทันใด ใบหน้าที่แดงก่ำของเธอแสดงถึงความต้องการทางเพศผสมกับการยั่วยวนแบบต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม หัวใจของเมอร์ลินก็ทรุดลงเล็กน้อย เมื่อเขากลับมาที่ปราสาทวิลสันในครั้งนี้ เขาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเชอรีสกับแอวริล ดูเหมือนว่ามีบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากครั้งที่แล้ว
แอวริลตรงไปตรงมามากขึ้นเนื่องจากไม่มีความลับที่ซ่อนอยู่มากมายในหัวใจของเธอ แม้ว่าเลห์แมนจะพยายามให้แอวริลเข้ามาดูแลเรื่องของตระกูลวิลสันแต่ดูเหมือนว่าแอวริลจะไม่สามารถควบคุมการดำเนินการทั้งหมดของตระกูลได้มากเท่าอดีตเจ้าหญิงอย่างเชอรีสได้
นอกจากเลห์แมนแล้ว ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่าคนสามารถควบคุมทุกอย่างเกี่ยวกับปราสาทวิลสันได้คือ เชอรีส โชคดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างเชอรีสกับแอวริลค่อนข้างดีต่อกัน ทั้งสองจึงไม่มีเรื่องผิดใจกันเกิดขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบกับแอวริลแล้ว เชอรีสมีหลายสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจของเธอ ถึงกระนั้น เธอก็ค่อนข้างเก็บมันได้ดีแถมยังสามารถดูแลตระกูลวิลสันทั้งหมดได้ ดังนั้นเธอจึงถือได้ว่าเป็นภรรยาที่มีศักยภาพมาก
“บอกฉันที เชอรีส มันเกิดอะไรขึ้น?”
เมอร์ลินรู้ดีว่าเชอรีสคงไม่พูดง่าย ๆ ว่าเธอต้องการมีลูก มันคงเป็นเพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในตระกูลวิลสันจึงทำให้เธอมีความคิดแบบนั้น
เชอรีสค่อย ๆ ลุกขึ้นและสางผมยาวอันยุ่งเหยิงของเธอ แล้วเอนตัวเข้าไปในอ้อมอกของเมอร์ลิน เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เร่าร้อน
“เมอร์ลิน ฉันต่างจากแอวริล เธอไม่รู้อะไรเลยและเธอเพียงปรารถนาให้คุณอยู่ในปราสาทวิลสันตลอดเวลา…อย่างไรก็ตาม คุณคือนักเวทย์ คุณถูกกำหนดให้ไม่สามารถอยู่ในครอบครัวได้ตลอดไป!
ตอนนี้คุณมาไกลมากและตระกูลวิลสันประสบกับวิกฤติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะองค์ชายแปด ฉันเกรงว่าตระกูลจะได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติไปแล้ว ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าในเวลานี้ ตระกูลวิลสัน ไม่ใช่ตระกูลธรรมดาอีกต่อไป แม้ว่าเราอยากจะเป็นคนธรรมดา เราก็ไม่สามารถที่จะเป็นคนธรรมดาได้อีกต่อไป
ฉันเคยได้ยิน 'ผู้เฒ่างู' และคนของเขาพูดถึงก่อนหน้านี้ว่าตระกูลวิลสันจะต้องเปลี่ยนกลายเป็นตระกูลนักเวทย์ มิเช่นนั้นจะไม่มีวันสงบสุข นี่คือชะตากรรมของตระกูลวิลสันและตระกูลนักเวทย์ต้องการผู้ที่มีคุณสมบัติของนักเวทย์ ทั้งซีเลียและโคซิออนไม่มีคุณสมบัติเหล่านั้น...”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เชอรีสก็ไม่พูดต่อและในที่สุดเมอร์ลินก็เข้าใจว่าทำไมเธอถึงต้องการมีลูกอีกคนหนึ่ง
ในที่สุด ตระกูลวิลสันก็จะกลายเป็นตระกูลนักเวทย์และแม้กระทั่งตอนนี้ เมอร์ลินก็มีความคิดเช่นนั้นอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ต้องการคนที่มีคุณสมบัติของนักเวทย์จำนวนมากและลูก ๆ ทั้งสองของเขาไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวแต่โคล ลูกชายของเมซี่ส์กลับมีคุณสมบัติของนักเวทย์
ดูเหมือนว่าการมาถึงของ ‘ผู้เฒ่างู’ และนักเวทย์คนอื่น ๆ ในช่วงที่ผ่านมาจะทำให้เชอรีสตระหนักว่าตระกูลวิลสันจำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นตระกูลนักเวทย์เท่านั้นเพื่อรอดพ้นจากวิกฤตินี้
แม้ว่าโคลจะมีโอกาสเป็นนักเวทย์แต่เด็กน้อยเป็นลูกของเมซี่ส์ไม่ใช่เมอร์ลิน ในฐานะเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์แห่งแสง เธอมีความอ่อนไหวต่อเรื่องการสืบสายเลือด โดยลึก ๆ แล้ว เธอค่อนข้างไม่พอใจในเรื่องนี้
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมอร์ลินก็ยิ้มและพูดว่า “ฉันขอโทษที่ทำให้พวกคุณเป็นกังวล ปราสาทวิลสันจะไม่ประสบปัญหานี้อีกในอนาคต คราวนี้ฉันจะจัดการเรื่องครอบครัว ฉันจะจัดการทุกอย่าง รวมทั้งเรื่องของโคซิออนหรือซีเลีย พวกเขาทั้งคู่เป็นลูกของฉัน!”
เมอร์ลินรู้ว่าเขายังคงไม่สามารถทำให้เชอรีสรู้สึกสบายใจได้ อย่างไรก็ตามตอนนี้เขากลับมาปราสาทวิลสันแล้ว เขาหวังว่าเธอจะสบายใจมากขึ้น
และเรื่องของตระกูลนักเวทย์ จากนี้ไม่ว่าเชอรีสกับแอวริลจะต้อง ‘เหนื่อย’ มากขึ้นหรือไม่ หากพวกเธอสามารถให้กำเนิดเด็กที่มีคุณสมบัติของนักเวทย์ได้ มันย่อมจะดีกว่าโดยธรรมชาติและสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเมอร์ลินด้วย
ในตอนเริ่มต้นของตระกูลนักเวทย์ จำนวนสมาชิกของพวกเขานั้นหายากมาก บางครั้งอาจมีผู้สืบทอดเพียงคนเดียวที่มีคุณสมบัติของนักเวทย์ในหนึ่งชั่วอายุคน สิ่งนี้ต้องใช้ความพยายามและการสะสมมาหลายสิบปีและเมื่อถึงเวลานั้น มันอาจจะพัฒนาเป็นตระกูลนักเวทย์ที่เจริญรุ่งเรือง
เชอรีสพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เธอมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิดนอกหน้าต่าง อารมณ์ที่สะสมอยู่ในใจเธอมาหลายปีในที่สุดก็เปิดออกอย่างกะทันหัน
“เมอร์ลิน ฉันคิดถึงบ้านนิดหน่อย เราสามารถกลับไปที่อาณาจักรแห่งแสงได้หรือไม่?”
"กลับไป?"
ในความคิดของเมอร์ลิน เขาก็อยากจะกลับไปที่สู่เมืองแบล็ควอเตอร์เช่นกัน และเขาคิดถึงแอนสัน เจ้าอ้วนกัตต์ คุณคาริซและชายชราอีธานผู้มีนิสัยแปลก ๆ...
กลุ่มคนเหล่านั้น เมอร์ลินยังจำพวกเขาได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม อาณาจักรแห่งแสงในอดีตตอนนี้ได้กลายเป็นจักรวรรดิแห่งแสงไปแล้วในตอนนี้
“แน่นอน พวกเรากลับไปได้ พวกเราจะกลับไปที่นั่นอย่างแน่นอน!”
เมอร์ลินกล่าวอย่างหนักแน่น เชอรีสเป็นเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรแห่งแสง เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะลืมอาณาจักรแห่งแสงในช่วงชีวิตนี้แต่ในฐานะเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรที่ล่มสลายไปแล้ว เธอไม่มีอำนาจแถมยังไม่สามารถกลับไปที่นั่นได้
“เมอร์ลิน บางทีเราอาจมีโอกาสกลับไปจริงๆ…ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ฉันเคยได้ยินเคาท์เซลินพูดถึงครั้งหนึ่งว่าพรมแดนของอาณาจักรแบล็คมูนนั้นสถานการณ์ค่อนข้างล่อแหลม หลังจากที่ จักรวรรดิแห่งแสงรักษาเสถียรภาพของอิทธิพลของพวกเขาไว้ได้ พวกเขาก็เริ่มสร้างปัญหาที่ชายแดน ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากที่สิ่งนี้จะจุดชนวนให้เกิดสงครามครูเสดขึ้นอีกครั้ง…” เชอรีสอธิบายข่าวที่เธอได้ยินกับเมอร์ลินอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“จักรวรรดิแสงกำลังจะเปิดสงครามครูเสดจริง ๆ เหรอ?”
เมอร์ลินขมวดคิ้ว คำว่า ‘ครูเสด’ มันไม่ได้เป็นคำที่จะใช้ได้ง่าย ๆ เมื่ออาณาจักรแห่งแสงยังคงอยู่ ทางศาสนจักรได้เปิดสงครามครูเสดหลายครั้งเพื่อต่อต้านอาณาจักรแห่งแบล็กมูนซึ่งถูกเรียกว่าเป็นสงครามครูเสดตะวันออก สงครามโรงเชือดที่มีชื่อเสียงเป็นหนึ่งในสงครามครูเสดครั้งก่อน
เลห์แมนได้รับตำแหน่งบารอนด้วยเพราะเขารอดชีวิตจากสงครามโรงเชือดและได้รับเกียรติทางทหารอย่างมาก
ดังนั้น สงครามครูเสดทุกครั้งจึงโหดร้ายอย่างหาที่เปรียบมิได้ ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือนักเวทย์ ไม่มีใครเต็มใจที่จะเผชิญกับความโหดร้ายของสงครามครูเสด
“นี่เป็นเพียงข่าวลือ ฉันจะหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้ง เมื่อฉันมีเวลา”
เมอร์ลินเริ่มครุ่นคิด หากเป็นสงครามครูเสดจริง ๆ เขากังวลว่าความเป็นอยู่ของอาณาจักรแบล็คมูนทั้งหมดจะเปลี่ยนไป และมันจะเกี่ยวข้องกับองค์กรนักเวทย์จำนวนมากด้วยซ้ำ
เชอรีสได้แสดงความกังวลของเธอกับเมอร์ลินเสร็จ เธอจึงสามารถผล็อยหลับไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าเชอรีสจะแข็งแกร่งเพียงใด เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา การเชื่อมั่นในเมอร์ลินคือสิ่งที่เธอต้องการมากกว่าที่เคยทำ
...
“พ่อมดฮิลล์!”
ในบ้านไม้อันเรียบง่าย เมอร์ลินเห็นชายชราในชุดคลุมสีดำอีกครั้ง
ชายชราชุดดำก่อนหน้านี้ที่เป็นหนังหุ้มกระดูกแต่เขาดูดีมากและสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกสองสามทศวรรษ ยาของเมอร์ลินในการทำให้โครงสร้างคาถามั่นคงนั้นทำได้เพียงช่วยให้ชายชราชุดดำไปถึงระดับดังกล่าวได้
“พ่อมดเมอร์ลิน ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว…ตอนนี้ข้าค่อนข้างจะไร้ประโยชน์แล้ว ข้าสัญญากับท่านว่าข้าจะดูแลตระกูลของท่านแต่ท้ายที่สุดชายชราอย่างข้าไม่สามารถทำอะไรได้เมื่อเผชิญหน้ากับนักเวทย์มนตร์ที่ทรงพลังเหล่านั้น”
หลังจากเห็นเมอร์ลิน ชายชราชุดดำดูค่อนข้างอับอาย เขาเป็นเพียงนักเวทย์ระดับเริ่มต้นซึ่งโครงสร้างคาถายังไม่เสถียร เขาไม่มีประโยชน์อะไรเลยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพ่อมดพเนจรที่ทรงพลังระดับหนึ่ง ระดับสอง และระดับสาม
“ตอนนี้องค์ชายแปดได้ให้ความช่วยเหลือพวกเราแล้ว ปราสาทวิลสันจะไม่ตกอยู่ในอันตรายอีกต่อไป…พ่อมดฮิลล์ที่ฉันมาที่นี่เพื่อเชิญคุณอย่างจริงใจ หวังว่าคุณจะเข้าร่วมตระกูลวิลสันของฉัน”
เมอร์ลินยิ้ม เนื่องจากเขาได้ตัดสินใจที่จะทำให้ตระกูลวิลสันเป็นตระกูลนักเวทย์ เขาจะต้องเตรียมการบางอย่างโดยธรรมชาติ
“เข้าร่วมตระกูลวิลสัน? พ่อมดเมอร์ลิน ท่านกำลังเตรียมที่จะเปลี่ยนตระกูลวิลสันให้เป็นตระกูลนักเวทย์หรือไม่?”
ชายชราชุดดำเข้าใจเรื่องราวอย่างรวดเร็ว มันจะไม่ง่ายเลยที่จะเป็นตระกูลนักเวทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่คนเหล่านั้นจับตาดูตระกูลวิลสันเอาไว้ หากคนขององค์ชายแปดจากไป ตระกูลวิลสันจะต้องพบกับอันตรายอย่างแท้จริง
“พ่อมดฮิลล์ ตระกูลวิลสันยังมีทางเลือกอยู่อีกงั้นหรือ? การเป็นตระกูลนักเวทย์นี่เป็นวิธีเดียว มิฉะนั้น สถานะของตระกูลวิลสันจะอ่อนแอกว่า สำหรับภัยคุกคามเหล่านั้น เนื่องจากฉันกลับมาในครั้งนี้ ฉันจะต้องจัดการปัญหาพวกนี้ให้หายไปตลอดกาล…”
ใบหน้าของเมอร์ลินแสดงอาการเยือกเย็น
หลังจากหยุดไปนาน ชายชราชุดดำก็ส่ายหัวเล็กน้อยและพูดว่า “พ่อมดเมอร์ลินต้องขอบคุณท่านที่ยังใส่ใจคนต่ำต้อยอย่างข้า ตอนนี้ข้าเป็นชายชราที่กำลังจะตายดังนั้นข้าจึงไม่มีประโยชน์ ความรู้ที่ท่านได้เรียนรู้จากดินแดนมนต์ดำนั้นมีมากกว่าข้าร้อยเท่า มันจะไม่มีประโยชน์แม้ว่าข้าจะเข้าร่วมตระกูลวิลสัน จริง ๆ แล้วข้าสนุกกับการหวนคิดถึงอดีตอย่างเงียบ ๆ เช่นตอนนี้ มันรู้สึกดีทีเดียว…”
เมอร์ลินพยักหน้า ชายชราชุดดำตอนนี้อยู่ในสภาพจิตใจที่ดี เขาไม่ใช่นักเวทย์อีกต่อไป เขาแค่อยากจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างเงียบ ๆ
หลังจากออกจากที่พักของชายชราชุดดำ พ่อมดแบมมูก็ปรากฏตัวขึ้นข้างเมอร์ลินอย่างลึกลับ
“นายท่าน 'ผู้เฒ่างู' ส่งข้อความถึงองค์ชายแปดแล้ว อีกไม่นานก่อนที่คำตอบขององค์ชายแปดจะมาถึงปราสาทวิลสัน”
พ่อมดแบมมูคอยเฝ้าดู ‘ผู้เฒ่างู’ อย่างใกล้ชิดทุกการเคลื่อนไหว
“ดีมาก ตอนนี้ถึงตาที่พวกเราจะต้องเคลื่อนไหวแล้ว ปัญหาของตระกูลวิลสันก็ต้องคนของตระกูลวิลสันเป็นคนจัดการ! เราอาจจะให้ของขวัญต้อนรับองค์ชายแปดด้วยเช่นกัน แบมมูไปบอกผู้เฒ่างูด้วยว่าเราพร้อมแล้ว!”
เมอร์ลินตอบอย่างไม่ใส่ใจสักสองสามคำขณะที่เขาแหงนมองท้องฟ้าอันกว้างไกล