บทที่ 44 ผมลืมไฟแช็กไว้น่ะครับ
บทที่ 44 ผมลืมไฟแช็กไว้น่ะครับ
เฉินฉียิ้ม “คุณหลิน คุณนี่ชอบเป็นปรปักษ์กับผมจริง ๆ เลยนะ”
หลินถงซูพึมพำ “ทำไมถึงคิดว่าฉันเป็นปรปักษ์กับคุณล่ะ? ที่ฉันทำเรียกว่าการอภิปรายความน่าจะเป็นในประเด็นต่าง ๆ ร่วมกันประกอบการพิจารณาต่างหาก”
“ที่ผมพูดก็เป็นเหตุการณ์ที่มีความน่าจะเป็นสูงเหมือนกัน ก่อนอื่นเลยคุณต้องตรวจสอบสถานที่ซึ่งฆาตกรนำศพมาทิ้งก่อน ริมถนนลงเทลงไปเป็นทางลาดชัน ถ้าฆาตกรเป็นคนแข็งแรงมากจนสามารถแบกกล่องบรรจุศพได้เพียงคนเดียว... คุณเคยเรียนฟิสิกส์มาใช่ไหม? พอพื้นที่เป็นทางลาดชันแบบนี้แน่นอนว่าเขาต้องเอนตัวไปด้านหลังเพื่อพยายามทรงตัวไม่ให้ลื่น ดังนั้นน้ำหนักที่กดทับบริเวณพื้นซึ่งเป็นแค่กรวดดินอ่อนยวบต้องมากพอสมควรจนเกิดเป็นรอยเท้า แต่กรณีนี้พวกเราไม่พบรอยเท้าในที่เกิดเหตุเลย หมายความว่าต้องเป็นคนมากกว่าสองคนที่เฉลี่ยการแบกรับน้ำหนักของกล่องใบนั้น”
พอหลินถงซูฟังเหตุผลประกอบการอธิบายแล้วความสงสัยทั้งหมดจึงกระจ่างในทันที เธอบอกว่า “ยังไงก็เถอะ ฉันไม่ได้ทำตัวเป็นปรปักษ์นะ ฉันแค่อยากเข้าใจเหตุผลเพื่อยืนยันว่าข้อสันนิษฐานของคุณมีน้ำหนัก คุณเองก็พูดตลอดนี่ว่าเราควรคาดเดาไปในหลายทิศทาง ฉันเห็นว่าสิ่งที่ฉันคิดก็น่าจะเป็นไปได้ในทางหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าไม่เชื่อถือในตัวคุณซะหน่อย”
“เป็นเด็กน้อยว่านอนสอนง่ายจริง ๆ” เฉินฉียิ้ม “รีบกินข้าวกันเถอะ!”
ขณะนั้นเองโทรศัพท์ของเฉินฉีก็ดังขึ้น เป็นสายเรียกเข้าจากเผิงซื่อจวี๋ ปลายสายพูดว่า “ผมมาแจ้งเกี่ยวกับขี้เถ้าที่พบบนตัวผู้เสียชีวิต จากการเปรียบเทียบปริมาณน้ำมันดินและคาร์บอนมอนอกไซด์ เราสามารถสันนิษฐานได้ว่ามันมาจากบุหรี่ยี่ห้อจงหัว ส่วนยาเม็ดที่พบในกระเพาะอาหารของผู้เสียชีวิตคือยาพาราเซตามอล ซึ่งเป็นยาแก้ปวดที่ไม่ใช่ยาต้านอาการอักเสบทั่วไป”
“ผมจำได้ว่ายานี้มีผลข้างเคียงบางอย่างต่อการทำงานของปอด งั้นอาการบวมน้ำในปอดเกี่ยวข้องกับตัวยานี้ด้วยไหมครับ?”
“ดูเหมือนจะเกี่ยวนะ”
“ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูล หัวหน้าเผิงทานอาหารเช้าหรือยังครับ?”
เผิงซื่อจวี๋ไม่อยากเสวนากับเขามากนักเลยกดวางสายทันที เฉินฉีส่ายหน้าพลางบุ้ยใบ้ไปที่โทรศัพท์ในมือ “ทำไมเป็นคนไม่มีมารยาทแบบนี้เนี่ย? เขาถูกตั้งระบบไว้ไม่ให้คุยเรื่องอื่นนอกจากงานเหรอ?”
สวีเสี่ยวตงพูดว่า “พี่ควรจะภูมิใจมากกว่า หัวหน้าเผิงยอมโทรติดต่อพี่เพื่อมารายงานผลการชันสูตรเป็นการส่วนตัว มีไม่กี่คนหรอกนะครับที่ได้รับสิทธิ์นั้น”
หลินถงซูพูดบ้าง “หัวหน้าเผิงออกจะเย็นชาปานนั้น ชีวิตนี้เขาคงไม่คิดจะแต่งงานหรอกใช่ไหม?”
“จริง ๆ เขาอายุเกินสามสิบแล้วนะ แต่ยังไม่เคยได้ยินว่าเขามีแฟนเลย”
“เฮ้ นี่ไม่ใช่เวลามานินทาเรื่องส่วนตัวของชาวบ้านนะ รีบกินให้หมดแล้วไปทำงานต่อกันดีกว่า” เฉินฉีกระตุ้น
หลังมื้ออาหาร ทั้งสามยังคงทำการค้นหาต่อไป เฉินฉีวางแผนที่จะใช้วิธีการใหม่ในการแบ่งพื้นที่ค้นหาเป็นสามโซน ซึ่งทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบในแต่ละโซนอย่างชัดเจน
หลินถงซูเข้าไปสืบถามจากร้านอาหารในโซนที่รับผิดชอบและถามด้วยคำถามเดิมซ้ำ ๆ จนริมฝีปากแห้งผาก กระทั่งเวลาผ่านมาถึงสี่โมงเย็น เฉินฉีจึงโทรมาถามความคืบหน้า “คุณได้เบาะแสอะไรมาบ้างรึเปล่า?”
“ไม่มีเลย” หลินถงซูฟังออกว่าน้ำเสียงของเขาค่อนข้างมีความสุขทีเดียว “อย่ามาทำตัวลึกลับแถวนี้นะ คุณเจออะไรแล้วใช่ไหมล่ะ?”
“ฮ่าๆๆ! ผมรอคุณอยู่ที่โรงแรมตี้เจียงนะ”
หลินถงซูและสวีเสี่ยวตงเดินทางมาที่โรงแรมดังกล่าวหลังจากสืบถามตามร้านอาหารในโซนของตัวเองครบแล้ว เฉินฉีกำลังพูดคุยและสูบบุหรี่กับรองผู้จัดการที่เคาน์เตอร์หน้าล็อบบี้โรงแรมอย่างสบายอารมณ์ เมื่อทั้งสองมาถึงเขาจึงอธิบาย “รองผู้จัดการหวังเพิ่งบอกผมว่าเมื่อประมาณสองวันก่อนมีคนโทรเข้ามาจองคอร์สอาหารสำหรับจัดเลี้ยง และเมนูอาหารทุกรายการก็เหมือนกันกับข้อมูลของเราไม่มีผิด”
รองผู้จัดการหวังกล่าวว่า “ทางเราได้รับโทรศัพท์จากบริษัทคังซิงอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ไม่ไกลกันนี้ ดูเหมือนจะเป็นงานฉลองยอดขายในช่วงท้ายของไตรมาส พวกเราเลยทำอาหารไปส่งให้พวกเขาถึงที่บริษัทเลย... นี่ พวกคุณเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง ๆ เหรอ? กำลังสืบคดีอะไรอยู่กันแน่?”
เฉินฉีทำเมินประโยคคำถามสุดท้ายก่อนตั้งคำถามเพิ่มเติมเพื่อเปลี่ยนเรื่อง “อ่า จริงสิ เรื่องที่คุณพูดเมื่อกี้นี้ รบกวนคุณช่วยเล่าซ้ำอีกทีได้ไหม?” เขาถามพลางส่งบุหรี่ให้รองผู้จัดการหวังอีกมวน
“ผมได้ยินมาจากพนักงานอีกที พวกเขาบอกว่าตอนที่เข้าไปส่งอาหารมื้อนั้นก็บังเอิญเห็นพนักงานชายสองคนกำลังมีเรื่องถึงขั้นตบหน้ากัน แล้วตบกันรุนแรงมากจนเลือดกบปากเชียวล่ะ”
หลินถงซูมองเฉินฉีด้วยสายตาประหลาดใจ เฉินฉียิ้มกว้าง “ขอบคุณมากสำหรับข้อมูลนะครับ เอาล่ะ เราไปที่บริษัทนั้นเพื่อตรวจสอบอะไรหน่อยก็แล้วกัน”
“พวกคุณกำลังสืบสวนคดีอะไรกันแน่? มีคนตายเหรอ” รองผู้จัดการหวังยังไม่วายตะโกนถามไล่หลัง
เมื่อพวกเขาไปถึงบริษัทคังซิงอิเล็กทรอนิกส์ หลินถงซูจึงแสดงตราเจ้าหน้าที่ตำรวจและแจ้งให้แผนกต้อนรับทราบว่าพวกเขาต้องการเข้าพบผู้จัดการ ระหว่างรอ เฉินฉีมองไปที่กระดานข่าวขององค์กรและป้ายโฆษณาชวนเชื่อบรรยายสรรพคุณบนฝาผนังพลางพึมพำ “ที่แท้ก็เป็นบริษัทจัดจำหน่ายของพวกนี้นี่เอง”
บริษัทนี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ด้านการดูแลสุขภาพ เช่น เครื่องนวดไฟฟ้าหลากหลายชนิด ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวใช้ต้นทุนในการผลิตต่ำแต่ขายได้กำไรสูง และเพื่อให้สินค้าสามารถจำหน่ายได้จำนวนมากจำเป็นต้องใช้การโฆษณาที่เกินจริงจากเซลล์ที่เป็นตัวแทนจำหน่าย
ซึ่งแน่นอนว่าเป็นไปตามที่เฉินฉีคาดเดา เมื่อพนักงานประจำแผนกต้อนรับเดินกลับมาก็ได้พาพวกเขาขึ้นไปบนออฟฟิศของผู้จัดการ ตลอดทางเดินทั้งสามคนเห็นโปสเตอร์คำคมมากมายเกี่ยวกับการขายติดอยู่เต็มผนังทั้งสองฝั่ง “เป้าหมายไม่ได้มีไว้เพื่อบรรลุ แต่มีไว้พุ่งชน” “ไม่มีสินค้าไหนที่ขายไม่ได้ มีแค่คนที่ไม่สามารถขายสินค้าได้”
นอกจากนี้ยังมีกระดานแจ้งยอดขายสินค้าเป็นรายไตรมาส
สวีเสี่ยวตงกระซิบ “กลิ่นขายตรงแรงมาก”
หลินถงซูกระซิบตอบ “ฉันมีเพื่อนสมัยม.ปลายอยู่คนหนึ่ง หลังเรียนจบแยกย้ายกันไปเธอก็เข้าทำงานในอุตสาหกรรมประเภทเดียวกันนี่แหละ เหมือนเธอถูกล้างสมองให้พูดแต่เรื่องขายตรงอย่างเดียว ฉันเจอเธอครั้งล่าสุดในงานคืนสู่เหย้าของโรงเรียน ตลอดเวลาที่คุยกันเธอแทบไม่คุยหัวข้ออื่น ๆ เลยนอกจากเสนอขายสินค้า”
เฉินฉียิ้ม “พนักงานรักในสายงานที่พวกเขาทำอยู่ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลก คุณเองก็ควรเรียนรู้จากพวกเขา”
“อย่าบอกนะว่าถ้าฉันไปไหนมาไหนก็ต้องคอยแสดงตัวให้ชาวบ้านรู้ตลอดว่าฉันเป็นตำรวจ?”
พอพวกเขามาถึงออฟฟิศของผู้จัดการผู้จัดการบริษัท ชายร่างอ้วนที่สวมชุดสูทเต็มยศและรองเท้าหนังขัดเงาก็เดินเข้ามาจับมือทักทายแขกทั้งสามทันที เขาออกแรงบีบมือแต่ละคนหนักมากโดยเฉพาะสวีเสี่ยวตงที่ถูกเขาเขย่ามืออยู่พักใหญ่ ๆ หลังจากทักทายอย่างอบอุ่นตามมารยาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้จัดการจึงถามขึ้นด้วยความกระตือรือร้น “ฮิฮิ ผมได้ยินจากน้องพนักงานว่าพวกคุณต้องการพบผมโดยตรง มีเรื่องอะไรพิเศษหรือเปล่าครับ?”
“ช่วงนี้บริษัทของคุณมีพนักงานคนไหนหายตัวไปบ้างไหมครับ?” เฉินฉีถาม
“โอ้ อ่า... ไม่มีนะครับ ฮ่าๆๆ ทำไมคุณถึงถามเรื่องนี้ล่ะ?”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอดูแฟ้มรายชื่อพนักงานบริษัทของคุณหน่อยได้ไหม?”
“อ๋อ... อ้อ! ดะ... ได้ครับ รอสักครู่”
ผู้จัดการรีบยกหูโทรศัพท์โทรไปยังแผนกบุคคล จากนั้นไม่นานพนักงานคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้อง สายตาที่จับจ้องพวกเขาทั้งสามเต็มไปด้วยความประหม่าขณะวางแฟ้มเอกสารในมือลงบนโต๊ะ
เฉินฉียกมันพลิกเปิดดูทีละหน้า แต่เอกสารที่มีเพียงรายชื่อและข้อมูลส่วนตัวเพียงนิดหน่อยไม่สามารถใช้เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ได้มากนัก ส่วนผู้จัดการก็พยายามเสนอสิ่งต่าง ๆ ให้พวกเขาอยู่ด้านข้างไม่ยอมหยุดปาก “พวกคุณรับน้ำชาสักหน่อยไหมครับ?” หรือ “คุณต้องการสูบบุหรี่ไหม?” ขณะที่พูดเขาก็หยิบซองบุหรี่ยี่ห้อจงหัวออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
ดวงตาช่างสังเกตของเฉินฉีเปล่งประกายทันที “คุณชอบสูบบุหรี่ยี่ห้อนี้ด้วยเหรอเนี่ย?”
“ฮ่าๆ ใช่ครับ พอเปลี่ยนไปสูบยี่ห้ออื่นก็ไม่ชินแล้วน่ะ รับสักมวนไหมครับ?”
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก คุณจะว่าอะไรไหมถ้าพวกเราจะเดินไปสำรวจรอบ ๆ สักหน่อย?”
“แหะ ๆ ข้อนี้ผมเกรงว่าจะไม่สะดวกนะครับ เพราะพนักงานของผมยังไม่ถึงช่วงเวลาเลิกงานเลย ถึงบริษัทของเราจะมีขนาดเล็กแต่ภาระงานไม่เล็กเลย แถมยังต้องใช้สมาธิค่อนข้างมาก หวังว่าสหายตำรวจอย่างพวกคุณจะเข้าใจถึงความจำเป็นของเราในกรณีนี้”
“พวกเราไม่ใช่สายตรวจค่ะ พวกเราเป็นตำรวจจากทีมสืบสวนอาชญากรรม” หลินถงซูย้ำสถานะของตนเอง
ผู้จัดการทำท่าทางตกใจอย่างมองออกชัดว่าเป็นการเสแสร้ง “ที่แท้พวกคุณก็เป็นตำรวจสายอาชญากรรมนี่เอง! ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ก่อนหน้านี้ผมเสียมารยาท แหะ ๆ”
“งั้นพวกเราไม่รบกวนคุณแล้วดีกว่าครับ”
“โอเค เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพนะครับ ผมขอไม่ออกไปส่งแล้วกันนะ”
ทันทีที่เดินออกจากออฟฟิศของผู้จัดการได้สวีเสี่ยวตงก็ถอนหายใจยาวด้วยความอึดอัดพิลึก “ผู้จัดการคนนี้เขาดูดีดแปลก ๆ นะว่าไหม? กระตือรือร้นอะไรขนาดนั้น”
“ฉันรู้สึกเหมือนกันว่าเขาดูปลอมแปลก ๆ ไม่เห็นเวลาเขายิ้มหรือหัวเราะเหรอ? อย่างกับสวมหน้ากาก” หลินถงซูเห็นด้วย
“ใช่ เขาดูเป็นคนดีมีน้ำใจมาก แต่งตัวเนี้ยบ พูดจาสุภาพ แม้แต่ฉันยังจับพิรุธไม่ได้เลย”
เมื่ออุตส่าห์มาถึงที่แต่ไม่พบเจอเบาะแสใด ๆ เลย หลินถงซูจึงรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย “เราจะถอดใจกันแค่นี้เหรอ?”
“ใครบอกว่าพวกเราจะยอมถอย” เฉินฉียิ้ม
พอเดินมาถึงบันได เฉินฉีก็หยุดชะงักฝีเท้ากะทันหันและหันไปสั่งทั้งสองคน “ผมขอเวลาเล่นแง่เพื่อพิสูจน์อะไรหน่อย พวกคุณรอผมอยู่ที่นี่อย่าเพิ่งลงไปล่ะ!”
เขาเดินตรงกลับไปที่ออฟฟิศของผู้จัดการโดยแกล้งทำเป็นยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูทำเหมือนกำลังโทรคุยกับใครบางคน และไม่ลืมที่จะเปิดฟังก์ชันบันทึกเสียงไว้ เสียงของผู้จัดการคนดังกล่าวดังขึ้นจากในห้อง น้ำเสียงแตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่พวกเขาได้พูดคุยโดยสิ้นเชิง “เมื่อกี้นี้ฉันเพิ่งจะถูกตำรวจเข้ามาสืบคดี... นายสั่งพวกพนักงานให้ดีว่าหุบปากให้สนิทซะ ถ้าใครกล้าหลุดปากบอกอะไรก็ตาม ฉันนี่แหละจะฆ่ามันทิ้ง!”
เฉินฉีผลักประตูเข้าไปในห้องนั้นทันที ผู้จัดการที่กำลังคุยโทรศัพท์รีบหันขวับกลับมาพร้อมเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงสุดขีด แต่วินาทีต่อมาเขาก็ปรับเปลี่ยนสีหน้ากลับเป็นชายใจดีและมีอารมณ์ขันดังเดิม เขาพูดกลั้วหัวเราะเจื่อน ๆ “มีอะไรอีกหรือเปล่าครับคุณเจ้าหน้าที่?”
“ขอโทษที่รบกวนนะ พอดีผมลืมไฟแช็กไว้น่ะครับ” เฉินฉีหยิบไฟแช็กบนโต๊ะขึ้นมาเขย่าครั้งหนึ่ง “เดี๋ยวพวกผมก็กลับแล้วครับ ไม่รบกวนการทำงานของคุณแน่”
“ได้ครับ... ได้ครับ... กลับดี ๆ ล่ะ!”
เฉินฉีเดินออกจากห้องไปแล้ว ผู้จัดการทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าของเขาตามเดิม ก่อนดึงกระดาษทิชชูออกมาจากกล่องบนโต๊ะหลายแผ่นโดยแรงซ้ำ ๆ และใช้มันซับหยดเหงื่อที่ผุดออกมาตามใบหน้าจนเปียกชุ่ม