ตอนที่ 99+100 ความน่ากลัวของนายท่านลู่
“ชิงสี ไปกันเถอะ” เจียงเหยาดึงแขนของลู่ชิงสีอย่างนุ่มนวล
“อย่าให้ตกรถไฟจะดีกว่า”
เจียงเหยาค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ลง เธอคาดเดาบางอย่างจากการสนทนาที่ค่อนข้างอึมครึมระหว่างหญิงชรากับคนบ้า
เธอคิดว่าในอดีตคนบ้าน่ามีจะมีภรรยาที่เขารักมาก แต่เพราะแม่ของเขา ทำให้เขาต้องเลิกรากับผู้หญิงคนนั้น แล้วภรรยาของเขาก็หนีไป ไม่แน่ใจว่าหนีไปเองหรือหนีไปกับผู้ชายคนอื่น หลังจากนั้นผู้ชายคนนี้ก็กลายเป็นคนบ้าและรออยู่ที่สถานีรถไฟทั้งวันราวกับว่ากำลังรอผู้หญิงคนนั้นกลับมา
เมื่อเห็นว่าเจียงเหยาสงบลงแล้ว ลู่ชิงสีก็เดินกลับไปด้านข้างของเธอ พร้อมกับกอดไหล่ของเธออย่างอ่อนโยน “คุณไม่เป็นไรนะ? คงกลัวมากสินะ”
เจียงเหยาพยักหน้า “นิดหน่อยค่ะ แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ไปกันเถอะ”
ลู่ชิงสีเหลือบมองคนบ้าอย่างเย็นชาอีกครั้ง และกำลังจะเดินจากไปพร้อมกับเจียงเหยา แต่โดยไม่คาดคิด ว่าเสียงของเจียงเหยาดึงดูดความสนใจของคนบ้า
คนบ้าชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะสร้างความวุ่นวายขึ้นอีกครั้งและเริ่มวิ่งมาทางเจียงเหยา
“ที่รัก คุณกลับมาแล้ว! ที่รัก ยกโทษให้ผมแล้วใช่ไหม ที่รัก กลับบ้านกันเถอะ ได้โปรด ที่รัก ผมขอโทษ ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง”
คราวนี้เจียงเหยากลัวการเคลื่อนไหวที่กะทันหันของคนบ้า เธอรีบวิ่งผ่านประตูเข้าไป ลู่ชิงสีใช้ร่างกายกั้นประตูไว้อย่างรวดเร็ว
ในที่สุด เจ้าหน้าที่ของสถานีก็รีบวิ่งออกมาและโพล่งออกมาด้วยเหงื่อที่เย็นยะเยือก ขณะที่เขาเห็นลู่ชิงสียืนเหมือนรูปปั้น ใบหน้ามืดมนและพึพำว่า “บ้าเอ้ย คนตั้งมากมาย ทำไมยังจัดการกับคนบ้าไม่ได้ ยั่วยวนนายท่านลู่อย่างงั้นเหรอ?”
แม้ว่าลู่ชิงสีจะรู้จักพนักงาน แต่เขาก็ไม่ได้รับการต้อนรับที่ดี “รีบพาคนบ้าออกไป เร็วเข้า! อย่าให้ฉันเขาที่สถานีนี้อีก!”
พนักงานพยักหน้าอย่างรวดเร็วและขอโทษ ลู่ชิงสีที่กำลังโกรธเคือง จากนั้นเขาก็หันกลับมาและสั่งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไล่คนบ้าและหญิงชราออกจากสถานี
คนบ้ายังคงดิ้นรนอย่างหนักเพื่อให้หลุดจากการจับกุมของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและตะโกนไปยังทิศทางของเจียงเหยา ในที่สุดหญิงชราก็สังเกตเห็นเจียงเหยา ที่ยืนอยู่ท่ามกลางความโกลาหล ใบหน้าของหญิงชราเปลี่ยนไป เป็นสีหน้าที่เจียงเหยาไม่สามารถตีความได้ เธอสบตาที่ขุนเคืองของอีกฝ่าย หรือพูดให้ชัดก็คือ หญิงชราจ้องมาที่เธอ
รังสีของสายตานั้นน่ากลัวจนเจียงเหยาหดตัวและสั่นด้วยความตกใจ เธอจับลู่ชิงสีไว้เพื่อความสบายใจ
ในที่สุดนายสถานีก็ตระหนักว่าคน ๆ นี้มาจากตระกูลลู่ในเมือง เขารีบตามหัวหน้าตำแหน่งสูงมาขอโทษและพาพวกเขาเข้าไปในรถไฟ
เจียงเหยานั่งที่นั่งริมหน้าต่าง เธอมองเหม่ออไปที่ท่าทางเศร้าโศกและหงุดหงิดของลู่ชิงสีที่มีต่อพนักงานอย่างกังวล “ไม่ต้องกังวล ก็แค่อุบัติเหตุ ฉันไม่เป็นไรคะ และก็ไม่โทษคุณด้วย ยังไงซะสถานีรถไฟคนก็แออัดอยู่แล้ว ที่นี่มีผู้หญิง เด็กและคนแก่มากมาย จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนบ้ากลับมาทำร้ายพวกเขา”
“ใช่ครับ ใช่! คุณผู้หญิงลู่พูดถูก” พนักงานพยักหน้าและกล่าวว่า “ทางเราจะให้เจ้าหน้าที่เฝ้าที่ประตู เราเสียใจจริง ๆ กับเหตุการณ์ที่เกิด เป็นความประมาทของทางเราเอง เราเสียใจกับเหตุการณ์นี้มาก”
“รถไฟกำลังจะออกแล้ว พวกคุณรีบขึ้นรถเถอะครับ” พนักงานสองคนยังคงยืนมองลู่ชิงสี เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังรอคำพูดของลู่ชิงสี เจียงเหยาสะกิดเขาเล็กน้อยพร้อมกับกระซิบ “พูดอะไรหน่อยสิคะ”
ลู่ชิงสีกดเจียงเหยากลับไปที่นั่นของเธอทันที จากนั้นก็เหลือบมองไปที่ชายสองคนที่กำลังหวาดกลัวและพึมพำเบา ๆ เจียงเหยาเหลือบมองไปทางด้านข้างอย่างสงสัย แต่เขาทั้งสองก็รีบออกไปราวกับว่าพวกเขาได้รับการยกโทษแล้ว
มองไปที่ด้านหลังของชายสองคนที่วิ่งหนีราวกับว่าพวกเขาหนีจากกับดับ
เจียงเหยาเหล่มองไปที่ลู่ชิงสี ซึ่งยังคงหงุดหงิดและกระซิบว่า “ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าสายตาที่พวกเขามองคุณ ราวกับเห็นยมทูต? ใบหน้าของเขาซีดซะขนาดนั้น”
___
หลังจากหยุดไปชั่วขณะ เจียงเหยามองลู่ชิงสีตั้งแต่หัวจรดเท้าและถามอีกครั้ง “คุณน่ากลัวมากขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
เมฆมืดครึ้มลอยอยู่เหนือใบหน้าของลู่ชิงสีได้แยกย้ายจากไปอย่างกะทันหัน เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเจียงเหยาด้วยความรัก
เจียงเหยาอาจเป็นคนเดียวในโลกที่ไม่สามารถรู้ถึงความน่ากลัวของเขา แม้แต่ลู่อี้ชิง พี่สาวของเขาเองยังเคยบอกว่าเขาดูน่ากลัวเป็นพิเศษเวลาที่เขาโกรธ
ในทางกลับกัน สาเหตุหลักที่คนในเมืองต่างกลัวเขา ไม่ใช่แค่กลัวตระกูลลู่ แต่ยังเป็นเครือข่ายอำนาจที่เขามีในจินโดด้วย
เมื่อรถไฟเริ่มออกเดินทาง ในที่สุดลู่ชิวสีก็ดึงเธอเข้าไปในอ้อมแขนของเขาและกอดเธอไว้แน่น เขายังคงอารมณ์เสียเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะดูเหมือนว่าเธอลืมไปแล้วกับเหตุการณ์น่าสยดสยองที่เกิดขึ้นก่อนขึ้นรถไฟ
“เจียงเหยา” ลู่ชิงสีเรียกออกมาอย่างนุ่มนวลและหนักแน่น “ผมจะไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก”
ในขณะนั้นเอง เจียงเหยากำลังเพลิดเพลินกับทัศนยภาพอันงดงามนอกหน้าต่าง
เธอรู้สึกงุนงงเล็กน้อยกับคำมั่นสัญญาของเขา เธอหันไปมองเขาด้วยความงงงวย
ลู่ชิงสีเป็นคนสงวนท่าที เขาเพียงแค่ขยับริมฝีปากและไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม
เจียงเหยาคุ้นเคยกับการเดินทางโดยรถไฟจากเขตหนึ่งไปยังเมืองหนานเจียงเป็นอย่างมาก เธอพบว่าทิวทัศน์ตลอดการเดินทางนั้นสวยงานและอบอุ่นหัวใจมาก มุมมองที่ไร้ชีวิตชีวาและน่าเบื่อในชีวิตก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลับมีชีวิตชีวา ราวกับพวกมันถูกดูดกลืนด้วยพลังเวทย์มนตร์ พวกมันได้แสดงจิตวิญญาณที่มีชีวิตชีวาภายใต้ดวงอาทิตย์ที่กำลังแผดเผา
“ใช้เวลามากกว่าสี่ชั่วโมงกว่าจะถึง ถ้าเหนื่อยก็นอนพักก่อนเถอะ” ลู่ชิงสีเคาะที่ไหล่ของเขาในขณะที่พูด เพื่อชี้ให้เธอพิงเขา
“ฉันไม่เหนื่อยค่ะ ดีใจเสียอีกที่ได้เห็นวิวสวย ๆ” เจียงเหยาส่ายหน้าและตอบเขา
ลู่ชิงสีพยักหน้าและเริ่มสังเกตสภาพแวดล้อมภายในตู้รถไฟ อาจเป็นนิสัยหรือสัญชาตญาณทางอาชีพของเขาที่จะสังเกตพื้นที่โดยรอบเพื่อวิเคราะห์ความปลอดภัยของเขา เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสงสัยหรือแปลกประหลาด เขาก็หันกลับมาให้ความสนใจที่เจียงเหยา
เห็นได้ชัดว่าเธออารมณ์ดีขึ้นทันทีที่พวกเขาได้ขึ้นมาบนรถไฟ ทัศนียภาพนอกหน้าต่างเหมือนกับภาพวาดหรือนิทรรศการศิลปะที่เธอชื่นชอบ
เธอหันหน้าไปทางหน้าต่าง ขณะที่ลู่ชิงสีมองเห็นใบหน้าที่ยิ้มของเธอจากเงาสะท้อนของหน้าต่าง เธอมีรอยยิ้มจาง ๆ ปรากฎบนใบหน้า ซึ่งค่อนข้างจะสะดุดตา
เขาจับมือเธอข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งเธอวางบนหน้าต่างราวกับเธอต้องการจะเอื้อมมือออกไปหาทิวทัศน์นั่น แม้ว่าเธออาจจะดูไม่สบายสักเท่าไหร่ แต่เธอก็ไม่ปล่อยมือจากเขา
ทันใดนั้นเจียงเหยาก็สะกิดขาเขาด้วยมือข้างที่ถูกเขาจับไว้ เธอชี้ออกไปนอกหน้าต่างอย่างตื่นเต้น ขณะที่เธอหันไปหาเขาและพูดว่า “ดูสิ คุณกำลังโบยบินอยู่บนท้องฟ้าล่ะ!”
ลู่ชิงสีขมวดคิ้วอย่างสงสัยและมองไปยังทิศทางที่เธอชี้ หลังจากเหลือบมองแวบหนึ่ง เขาก็โพล่งคำว่า “น่าเกรงขาม”
ว่าวรูปเสือกำลังโบยบินอยู่บนท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ขณะที่กลุ่มเด็ก ๆ อายุประมาณเจ็ดหรือแปดขวบกำลังหัวเราะและวิ่งขณะที่พวกเขาถือเชือกว่าว เด็กในวัยนี้ไม่กลัวแสงแดดที่แผดเผา อีกทั้งฤดูนี้ยังเป็นช่วงเวลาของการเล่นว่าว
เจียงเหยาหัวเราะคิกคัก “คุณเองก็เป็นเสือด้วยเหมือนกัน แต่คุณบินไม่ได้!”
ลู่ชิงสีเกิดในปีเสือ ดังนั้นเจียงเหยาจึงล้อเขาเมื่อเธอเห็นว่าว อย่างไรก็ตาม ความจริงแล้ว ว่าวเหล่านี้น่าจะเป็นฝีมือของเด็ก ๆ เพราะมันไม่ได้สวยนัก
เมื่อพูดถึงรูปร่างหน้าตา เสือตัวใหญ่ที่นั่งข้าง ๆ เธอกินขาดอย่างไม่ต้องสงสัย
...
สี่ชั่วโมงครึ่งต่อมา รถไฟก็มาถึงสถานี ตอนนี้เวลาประมาณบ่ายสามโมง
เจียงเหยาไม่สามารถปิดผนึกความตื่นเต้นของเธอได้ทันทีที่พวกเขามาถึง
เมื่อลู่ชิงสีจูงเธอลงจากรถไฟและเดินออกจาสถานี จุดแรกของพวกเขาคือการหาที่รับประทานอาหารกลางวัน
ข้าวกล่องบนรถไฟไม่อร่อยเท่าไหร่ พวกเขากินไปเพียงไม่กี่คำ และตัดสินใจแวะชิมอาหารท้องถิ่นหลังจากที่มาถึง
เมืองหนานเจียง ซึ่งเป็นเมืองทางตอนใต้ที่มีอาหารน่ารับประทานมากมาย
.............