WMR ตอนที่ 4 เปิดมิติแห่งจิตสำนึก
กลางคืนลึกเข้าไปในป่าทึบ รูปแบบการเดินของมิเชลและแอนนี่ยังคงเหมือนเดิมโดยมีคนหนึ่งอยู่ข้างหน้าและอีกคนอยู่ข้างหลังกู้เป่ย
ในใจของกู้เป่ยเสียงกลไกยังคงเล่นประโยคที่ดูคลุมเครือซ้ำ ๆ วนไปมาเรื่อย ๆ
มันเป็นคาถาที่แอนนี่ร่ายเมื่อเธอใช้เวทมนตร์
“หากท่านอยากเรียนเวทมนตร์จริง ๆ ก็แค่ขอคำแนะนำจากสองคนนั้นแทนที่จะให้ข้าพูดซ้ำ” ระบบบ่นกับกู้เป่ยด้วยความคับข้องใจหลังจากท่องคาถาซ้ำไปซ้ำมานับครั้งไม่ถ้วน
“สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพวกนั้นเต็มใจสอนฉัน แทนที่จะตีฉันให้เสียเลือดตาย”
แม้กู้เป่ยจะยังไม่เห็นจุดหมาย แต่เขาไม่คิดยอมแพ้:
"ทำต่อไปอย่าหยุด"
หลังจากค้นพบประโยชน์ของระบบ เขาได้ศึกษาคาถานี้มาตลอดครึ่งชั่วโมง
นั่นแปลว่าเขาเดินตามมิเชลมากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ตามที่เธอบอก ตำแหน่งของคลังอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ดังนั้นหากการเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นพวกเขาควรจะถึงที่นั่นในอีกหนึ่งชั่วโมง
กู้เป่ยมีความสุขมาก ใช่ เขามีความสุขมากที่ได้รู้
การเดินทางจากห้องใต้ดินไปยังคลังสมบัติเป็นดั่งนรกสำหรับเขา เขาต้องลากร่างกายที่แสนอ่อนแอไปข้างหน้าขณะถูกแอนนี่ที่อยู่ข้างหลังฟาดแส้ใส่เป็นครั้งคราว หากการเดินทางครั้งนี้ยาวนานกว่านั้น เขาคงตายกลางทางเป็นแน่!
ขณะเดียวกันเขายังต้องทนต่อแรงกดดันที่อาจตายได้ทุกเมื่อ เพราะถ้ามิเชลรู้ตัวเมื่อไหร่ เขาคงถูกฆ่า
ภายใต้แรงกดดันคู่นี้ เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะถึงที่หมายโดยเร็ว
“ขออภัยที่ต้องกล่าวเช่นนี้ แต่ร่างกายของท่านมันอ่อนแอมาก ไม่ว่าท่านจะพยายามเท่าไหร่มันก็ไม่มีทางเรียนเวทมนต์ได้ด้วยร่างกายที่อ่อนแอเช่นนี้ ดังนั้นปล่อยข้าไปเถอะ!” ดูเหมือนระบบจะเริ่มพังหลังจากเล่นคาถาซ้ำไปหลายร้อยครั้ง
“ไม่ ฉันจะถือซะว่ากำลังฟังเพลงวงซ้ำอยู่”
กู้เป่ยไม่มีแผนจะปล่อยมันไป
ก่อนหน้านี้มันเล่นสแปมข้อความได้งามหน้านัก ดังนั้นมีหรือที่เขาจะปล่อยมันไปง่าย ๆ? นี่แหละหนาที่เขาเรียกว่ากรรมติดจรวจ
เกี่ยวกับเวทย์มนตร์ เขาในตอนนี้ยังไม่สามารถหาวิธีเรียนรู้มันได้ เบาะแสเพียงอย่างเดียวที่เขามีคือคาถานี้ ดังนั้นแน่นอนว่าเขาจะไม่ละเลยมัน ดั่งคำกล่าวที่ว่า อ่านหนังสือร้อยรอบความหมายเดินหา และคาถาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
หากฟังครั้งสองครั้งแล้วยังไม่เข้าใจ งั้นเขาก็จะฟังมันเป็นพัน ๆ เป็นล้าน ๆ ครั้ง!
เขารู้ว่าบ่อยครั้งวิธีที่โง่ที่สุดอาจมีประสิทธิภาพมากที่สุด
“บอกตามตรง แทนที่ท่านจะหมกมุ่นอยู่กับเวทมนตร์ ท่านควรเอาเวลาไปคิดหาทางหนีแทนน่าจะดีกว่า” ระบบแนะนำเขา “เรื่องเวทมนตร์ท่านสามารถค่อย ๆ เรียนรู้ได้ในอนาคต แต่ถ้าท่านตายตรงนี้ ถึงท่านจะรู้เวทมนต์ไปมันก็ไร้ประโยชน์”
กู้เป่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้า:
“อ่า...ที่ว่ามาก็มีเหตุผล”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นระบบก็รู้สึกเหมือนกำลังจะร้องไห้ เสียงกลไกของมันสั่นราวกับเสียงของนักเดินทางที่หลงทางในทะเลทรายก่อนจะพบโอเอซิส
ในที่สุดก็ไม่ต้องเล่นซ้ำคาถานั้น!
หลังจากนั้นกู้เป่ยก็พูดขึ้น
“งั้นนายมีทางอื่นไหม?”
ระบบล่มอีกครั้ง
กู้เป่ยเหมือนได้ยินเสียงแผงวงจรแตก
แม้จะไม่เต็มใจ แต่ระบบก็เริ่มวนซ้ำประโยตเดิมอีกครั้ง
หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง……….กู้เป่ยขจัดความคิดที่ฟุ้งซ่านทั้งหมด และค่อย ๆ จดจ่ออยู่กับคาถาอย่างเต็มที่ ในกระบวนการนี้ สิ่งต่าง ๆ ภายนอกเริ่มเบลอและจางหายไป โลกทั้งใบของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างถูกทิ้งไว้หลงเหลือเพียงกับคาถานั้น
ลึกซึ้ง ยากจะเข้าใจ และแลดูลึกลับ
เขาค่อยๆ ละทิ้งการรับรู้ทั้งหมด ราวกับว่าวิญญาณของเขากำลังออกจากร่าง และเข้าสู่สภาวะลึกลับ
สีรูม่านตาของเขาจางลงไม่ต่างจากคนตาบอด ลมหายใจและการไหลเวียนโลหิตค่อย ๆ ช้าลง แม้จะโดนหินแหลมแทงทะลุผิวเท้า เขาก็ยังไม่รู้สึกอะไร
แอนนี่ไม่ได้สังเกตเห็นอาการแปลก ๆ ของเขา ในมุมมองของเธอ เดิมร่างกายของกู้เป่ยนั้นก็อ่อนแออยู่แล้ว แค่ตอนนี้มันอ่อนแอลงเท่านั้น
ร่างกายของกู้เป่ยยังคงเดินไปข้างหน้าเพียงแค่หมดสติ
แต่จิตรับรู้ของเขายังกระจ่างชัด
ทันใดนั้นจู่ ๆ กู้เป่ยก็ตระหนักว่าตัวเองอยู่ในมิติที่แปลกประหลาด
“ที่นี่มัน... ที่ไหนกัน?”
มันเป็นความมืดอันไร้ขอบเขตที่มาพร้อมด้วยตวามเงียบอย่างสมบูรณ์
กระทั่งนิ้วของตัวเองเขายังไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ!
ที่แห่งนี้เปรียบราวกับน้ำแข็งที่แช่แข็งจิตวิญญาณและร่างกายของเขาจนยากต่อการคิด เขาไม่รู้สึกถึงความผันผวน อุณหภูมิ หรือแม้แต่การเต้นของหัวใจและการไหลเวียนของเลือดก็ไม่รู้สึก...
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว
ทันใดนั้นความรู้สึกวิกฤตก็เข้ามาปกคลุมหัวใจของเขา ราวกับเขาตกลงไปในหนองน้ำที่ดูดเขาให้จมลง สารสีดำเหนียวบางชนิดก็ค่อย ๆ ท่วมเขาอย่างช้า ๆ
เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่
เขาเริ่มดิ้นรน แต่ร่างกายของเขาเสมือนเม้าส์ที่ถูกดึงสายออก ไม่ว่าเขาจะพยายามขยับตัวมากแค่ไหนร่างกายของเขาก็ไม่ตอบสนอง เขาพยายามเรียกหาระบบ แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ ในไม่ช้าหลังจากต้องเผชิญกับความหนาวเย็นไม่รู้จบ แม้แต่สมองของเขาก็เป็นเหมือนพัดลมที่ขาดไฟ ค่อย ๆ หมุนช้าลงก่อนจะหยุดหมุน ไม่นานก็เริ่มมีฝุ่นและหยากไย่เข้ามาเกาะ
หนองน้ำกลืนกระทั่งเล็บนิ้วสุดท้ายที่เขาพยายามยกขึ้นเหนือผิวน้ำ
ความคิดของเขาหยุดลงและหมดสติไปในทันที
...
บางทีเวลาอาจผ่านไปนาน หรือบางทีอาจแค่เพียงชั่วครู่
ราวกับลำธารน้ำแข็งที่กำลังละลายเมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ราวกับมีบางอย่างไหลเข้ามาในพื้นที่นี้อย่างเงียบ ๆ ไม่นานกู้เป่ยก็ตื่น
อะไร ...... เข้ามา?
เขาเริ่มคิด
เขาอยากรู้ว่ามีอะไรเข้ามา แต่เขาพบว่าประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาถูกลิดรอน เขาในตอนนี้ไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย เขาเป็นเหมือนจุดเล็ก ๆ บนพื้นผิวที่ไม่มีที่สิ้นสุดไม่สามารถทำอะไรได้
แต่เขาไม่ยอมแพ้และยังคงดิ้นรนขัดขืนต่อกฏที่ผูกมัดเขาไว้
ในความมืด เขามีรู้สึกว่าสิ่งที่ไหลเข้ามาเริ่มเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเขาดิ้นรนมากเท่าไหร่ สิ่งนั้นก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากที่มันเข้ามาใกล้มากขึ้น กู้เป่ยก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่คุ้นเคย
ชื่อของมันติดอยู่ที่ปากของเขา เสียงของมันวนเวียนอยู่ในหูของเขา... กู้เป่ยพยายามนึก แต่มันเหมือนมีกำแพงกั้นระหว่างตัวเขากับสิ่งนั้นอยู่เสมอ และไม่สามารถทะลุผ่านได้...
มันคืออะไรกัน...
เขาเป็นเหมือนสปริงที่ถูกยืดออกและบีบอัดด้วยแรงที่ไม่รู้จักอย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลาผ่านไปพลังนั้นก็ยิ่งใหญ่ขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น
เขากำลังจะแหลกเป็นเสี่ยง ๆ
เขารู้สึกราวกับเขาสามารถตายได้ทุกเมื่อ
เขายังคงคิดเกี่ยวกับชื่อของสิ่งนั้น เขามีความรู้สึกว่าตราบใดที่เขาพูดชื่อของมันออกมาปัญหาทั้งหมดจะได้รับการแก้ไข ชื่อของมันเป็นราวกับเสมหะในลำคอของกู้เป่ย เขาเปิดปากและใช้กำลังทั้งหมดที่เขามีเพื่อพยายามคายมันออกมา
เส้นเลือดที่คอของเขาปูด ผิวของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง
กำแพงที่มองไม่เห็นค่อย ๆ ถูกทำลายลงทีละน้อย
เขารู้สึกว่าเขากำลังเข้าใกล้คำตอบมากเข้าไปทุกที ขณะที่ความตายก็อยู่ใกล้เขามากเช่นกัน
แต่น่าเศร้านักที่ความตายนั้นกลับอยู่ใกล้ยิ่งกว่า
ทันใดนั้นพลังชีวิตของเขาก็เริ่มไหลออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนบอลลูนที่ถูกเจาะ ความเย็นค่อย ๆ แผ่ซ่านจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ ปิดกั้นหัวใจของเขา และค่อยๆ แช่แข็งเจตจำนงของเขา
นี่ฉันกำลังจะตาย?
แต่เขาอยู่ห่างจากคำตอบเพียงเอื้อมมือ เพียงเอื้อมมือ...
เขาไม่สามารถพูดออกมาได้
เขาไม่เต็มใจที่จะตาย
เขาเป็นราวกับจรวจที่เผาไหม้เชื้อเพลิงทั้งหมดขณะที่กำลังจะทะลุผ่านชั้นบรรยากาศ แต่กลับถูกแรงโน้มถ่วงดึงลงมา
แล้วแบบนี้จะให้เขายอมรับได้อย่างไร?
เขาพูดไม่ออก...
ในเมื่อเขาไม่สามารถพูดได้ งั้นก็ไม่พูด!
กู้เป่ยรู้สึกได้ถึงไฟที่มารวมกันในลำคอ เขาเป็นเหมือนภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นคอยสะสมพลังงานในช่วงสงบลง จากนั้นก็ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง!
“เชี้ย... ไอเชี้ย!”
ราวกับเส้นตรงไม่มีที่สิ้นสุดที่ลากจากจุดหนึ่ง
ทันใดนั้นแสงอันพราวพรายก็ปรากฏขึ้น และแบ่งโลกที่มืดมิดออกเป็นสองส่วน!
แรงกดดันต่อร่างกายของกู้เป่ยหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เขารู้สึกว่าตัวเองสามารถหายใจได้อีกครั้ง หัวใจของเขาเริ่มเต้น เลือดที่เคยเย็นเยือกเริ่มกลับมาไหลอีกครั้ง เขาสัมผัสได้ถึงองค์ประกอบมากมายจากทั่วทุกมุมที่หลั่งไหลข้าสู่ร่างกายของเขา เติมเต็มจิตวิญญาณของเขา และทำให้เขารู้สึกแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน!
"ฮ่า ๆ ๆ ๆ!"
เสียงหัวเราะของเขาดังสะท้อนไปทั่วพื้นที่
เวลานี้ ในที่สุดเขาก็จำสิ่งที่คุ้นเคยแต่นึกไม่ออกได้สักที!
มันไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากคาถานั่น!
หลังจากที่เขาจมลงไปในส่วนลึกของโลกแห่งจิตสำนึก ระบบไม่ได้หยุดท่องคาถาซ้ำ: หนึ่งครั้ง สองครั้ง ร้อยครั้ง ล้านครั้ง นับตั้งแต่ที่แอนนี่ร่ายคาถาจนถึงตอนนี้มันก็ผ่านล่วงเลยมากว่าครึ่งชั่วโมง จำนวนคาถาที่ร่ายซ้ำ ๆ ถูกรวมเข้าด้วยกันก่อให้เกิดพลังมหาศาล
มันเป็นคาถาที่รั่วไหลเข้ามาทำลายความมืด และช่วยเขาขณะที่หลงทางก่อนจะปลุกเขาให้ตื่น
เมื่อถึงจุดนี้กู้เป่ยก็เงยหน้าขึ้นและเผชิญหน้ากับบอลแสงนั้น
เขาเปิดปากและร่ายคาถา
ทันใดนั้น!
เช่นเดียวกับหินที่ถูกโยนลงบนผิวน้ำ แสงเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ภายใต้การจ้องมองของกู้เป่ย แสงได้ยุบตัวเข้าด้านใน ควบแน่น และส่องประกายมากขึ้น กระทั่งรวมของเหลวบางส่วนเข้ากับของแข็ง!
หลังจากส่งเสียงดังก้องอยู่พักหนึ่ง แสงก็หดตัวเป็นบอลแสงขนาดเท่ากำปั้น
ท้ายที่สุดกลุ่มแสงก็เปลี่ยนไปกลายเป็นอักขระสามเหลี่ยมสีฟ้าอ่อน มันดูเหมือนเครื่องดนตรีสามเหลี่ยม(กิ๋ง) โดยมีแสงสีฟ้าบาง ๆ พับเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า
มันเป็นรูปเรขาคณิตที่สมบูรณ์แบบ แต่มีรอยกรีดแคบที่ขอบด้านหนึ่งซึ่งหมายความว่ามันมีช่องว่าง
ขณะสามเหลี่ยมปรากฏขึ้น ระลอกคลื่นก็กวาดผ่านไปทั่วพื้นที่อันเงียบสงบรวมทั้งตัวกู้เป่ยด้วยซึ่งทำให้เขาสั่นสะท้านเล็กน้อย หลังจากนั้นเขารู้สึกว่ามีความชื้นจาง ๆ ไหลซึมและกระจายอยู่โดยรอบ
เขาบอกไม่ได้ว่าทำไม แต่เขารู้สึกว่าตอนนี้พื้นที่ทั้งหมดได้เปลี่ยนไปแล้ว
และไม่ใช่แค่พื้นที่ทั้งหมดเท่านั้นที่เปลี่ยนไป แต่กู้เป่ยเองก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตัวเขาทั้งตัวนั้นเหมือนเป็นคนใหม่ ราวกับพันธนาการอันหนักอึ้งบนร่างคลายออกและก้าวเข้าสู่โลกใหม่ ทุกเซลล์ในร่างกายของเขารู้สึกเป็นอิสระและผ่อนคลาย
และทั้งหมดนี้มีต้นกำเนิดมาจากอักขระสามเหลี่ยมซึ่งส่องประกายด้วยแสงสีฟ้าอ่อน
“เหลือเชื่อ”
ในตอนนั้นเองจู่ ๆ เสียงกลไกก็ดังขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่ง
กู้เป่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “นายก็อยู่ที่นี่ด้วย?”
ระบบดูไม่พอใจ
“แน่นอนว่าข้าต้องอยู่ ท่านคิดว่าตัวเองตื่นขึ้นมาได้อย่างไร? หากไม่ใช่เพราะข้าร่ายคาถานั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่านคงเสียสติและกลายเป็นศพเดินได้ไปแล้ว”
กู้เป่ยตอบกลับ “อืม อา ขอบคุณมาก”
เขาไม่ได้สนใจมากนักเมื่อเผชิญกับการร้องเรียนของระบบ แต่กลับมาสนใจอักขระสามเหลี่ยมแทน
สามเหลี่ยมเป็นรูปทรงพื้นฐานที่สุดในเรขาคณิต และอักขระนี้ก็ไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น สิ่งพิเศษเพียงอย่างเดียวคือมันไม่ได้ต่อกันที่ขอบด้านใดด้านหนึ่ง แม้รูปทรงของมันจะดูเรียบง่าย แต่กู้เป่ยสัมผัสได้ถึงพลังที่น่าเหลือเชื่อ
และถ้าเขาจำไม่ผิด อักขระนี้คงมาจากคาถาของแอนนี่ เวทมนตร์นั้นสามารถเรียกบอลน้ำได้ ดังนั้นอักขระพวกนี้จึงต้องเกี่ยวข้องกับน้ำ
น้ำ...
กู้เป่ยรู้สึกสับสนเล็กน้อย หลังจากผ่านเรื่องทั้งหมดเขาก็ได้รับอักขระเรืองแสงพวกนี้มา แต่เขาไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร
ที่นี่ที่ไหน? ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? แล้วไออักขระพวกนี้ทำอะไรได้? เขามีคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบ
"ที่นี่ที่ไหน?"
เขาเริ่มจากคำถามนี้ก่อน
“ที่แห่งนี้คือพื้นที่ภายในจิตสำนึกของท่าน” ระบบดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่กู้เป่ยกำลังคิดและอธิบาย “พื้นที่จิตสำนึกของคนธรรมดาจะถูกปิดอย่างสมบูรณ์ พวกเขาไม่มีวันรับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน และเมื่อพวกเขาบังเอิญตกลงไปในนั้น พวกเขาก็จะติดอยู่ที่นั่นตลอดไป”
กู้เป่ยนึกถึงประสบการณ์ในตอนนั้นและอดกลัวไม่ได้
ฉันเกือบติดอยู่ข้างในและเกือบออกไปไม่ได้
“อย่างไรก็ตาม มันควรจะเป็นผลของคาถานั่นท่านจึงไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอีกต่อไป” ระบบกล่าวต่อ “หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้น ท่านได้เปิดพื้นที่แห่งจิตสำนึกของตนเอง ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้มากขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ท่านในตอนนี้ผ่านการทดสอบแรกและได้ก้าวเท้าเข้าสู่ประตูของผู้วิเศษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
เข้าใจแล้วที่แท้ก็เป็นแบบนี้
เขาไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือมีจินตนาการโลดโผนอย่างที่คิด มีเพียงความสงบเท่านั้นที่สัมผัสได้ ยิ่งไปกว่านั้นการกลายเป็นผู้วิเศษท่ามกลางความสับสนกลับทำให้เขายิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นไปอีก
นี่คือผู้วิเศษ?
ในมุมหนึ่ง เขาสามารถถูกมองว่าเรียนรู้ด้วยตนเองโดยไม่มีครู ไม่มีใครบอกเขาว่าผู้วิเศษคืออะไร และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าการเปิดพื้นที่จิตสำนึกนั้นมีความสำคัญอย่างไร เขาเต็มไปด้วยความอยากรู้และความคาดหวัง: ฉันจะไปได้ไกลแค่ไหน? ฉันมีพลังอะไรบ้าง?
และอักขระสามเหลี่ยมนั่นคืออะไรกันเเน่?
คำถามที่เขาอยากรู้และต้องการคำตอบค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมากเรื่อย ๆ
ความรู้เกี่ยวกับผู้วิเศษของเขายังน้อยเกินไป
“ท่านอย่าเพิ่งมีความสุขเร็วเกินไป” ระบบเตือนเขา “การเป็นผู้วิเศษไม่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ของท่านได้ ท่านยังคงเป็นตัวประกันที่มีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย”
เมื่อได้ยินดังนั้นกู้เป่ยก็ถูกดึงกลับสู่ความจริง
เขาหยุดดีใจและนึกถึงมิเชลกับแอนนี่ทันที คิดถึงการลักพาตัวและขู่ฆ่า เขายังต้องการสำรวจความลึกลับของพื้นที่จิตสำนึกและสามเหลี่ยมต่อไป แต่ในตอนนี้ เขาต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกภายนอก
เขาอยู่ที่นี่มาก็นานแล้ว ตอนนี้ข้างนอกเป็นยังไงบ้าง?
สงสัยเขาคงต้องลืมเรื่องเวทมนตร์ไปก่อน
เมื่อคิดได้ดังนั้นโลกตรงหน้าก็เริ่มเปลี่ยนไปก่อนที่กู้เป่ยจะพบว่าเขากลับสู่ความเป็นจริง
ค่ำคืนอันมืดมิดในป่าลึก ความเจ็บปวดเล็กน้อยที่เกิดขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย มิเชลกับแอนนี่ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม ดูเหมือนมันจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
กู้เป่ยประหลาดใจเล็กน้อย
เขารู้สึกเหมือนอยู่ในพื้นที่จิตสำนึกมานานมาก แต่ในความเป็นจริง เวลากลับผ่านไปไม่นานอย่างที่คิด
เหลือเชื่อ
“มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อท่านเปิดพื้นที่จิตสำนึก บางสิ่งได้เกิดขึ้น”
ระบบเตือนเขา
"เกิดอะไรขึ้น?
กู้เป่ยสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบและตระหนักว่าพวกเขาหยุดเดินแล้ว มิเชลกำลังเผชิญหน้ากับแอนนี่ บรรยากาศดูเคร่งเครียด และดูเหมือนพวกเขากำลังคุยอะไรบางอย่างกันอยู่
“ไม่ เขาทำให้เราช้ามากเกินไป เราต้องทิ้งเขาไว้ที่นี่”
แอนนี่กังวล
“เรายอมแพ้ไม่ได้! คลังสมบัตินั่นมีของสำคัญมากสำหรับข้าอยู่ ไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องได้มันมา”
มิเชลไม่หวั่นไหว
“แต่เวลาเราแทบไม่เหลือแล้ว...”
การโต้เถียงยังคงดำเนินต่อไป แต่กู้เป่ยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นดังนั้นเขาจึงถามระบบ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ระบบตอบกลับ “แน่นอนว่าเป็นผลจากทหารที่กำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ ซึ่งการมีอยู่ของท่านได้ทำให้ความเร็วของพวกเขาช้าลงอย่างมาก และเนื่องจากพวกเขาไม่สามารถสลัดทหารที่ไล่ตามได้ ดังนั้นพวกเขาจึงคุยกันว่าควรยอมแพ้ดีหรือไม่”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น กู้เป่ยก็ตื่นตระหนก
ในที่สุดกองกำลังของตระกูลลิเธอร์ก็ใกล้ตามทันแล้ว?
นี่เป็นเวลาที่สำคัญที่สุด
ไม่ว่าเขาจะอยู่หรือตายก็ตัดสินกันตรงช่วงไม่กี่นาทีนี่แหละ!
“ท่านควรใช้โอกาสนี้” ระบบกล่าว “เมื่อทหารเข้ามาใกล้พวกเธอคงไม่มีเวลามาจับตาดูมากเหมือนแต่ก่อน และเมื่อพวกเธอเริ่มมีปากเสียงกันความสนใจของพวกเธอก็จะเบี่ยงเบนไปทางอื่น หากใช้โอกาสนั้นความเป็นไปได้ที่จะหลบหนีของท่านก็จะมีสูงมาก”
จริงอย่างที่ระบบว่า
กู้เป่ยพยักหน้าและถามระบบอีกครั้ง “เอาล่ะ งั้นนายคิดว่าควรเริ่มจากตรงไหน?”
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เขาจึงแค่ถามไปเล่นๆ เพราะไม่คิดว่าจะหวังพึ่งมันได้
แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิม
“โปรดรอสักครู่...”
เสียงของคอมพิวเตอร์ที่กำลังทำงานด้วยความเร็วสูงดังขึ้นในใจของกู้เป่ย และดูเหมือนว่ามันจะมาพร้อมกับเสียงพัดลมหมุนไปพร้อมกับเสียงกลไก ราวกับระบบกำลังดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่บางไฟล์ และทุกส่วนกำลังทำงานหนักเพื่อมัน
มันพบบางอย่าง?
กู้เป่ยตั้งตาคอยอย่างคาดหวัง
เป็นไปได้ไหมว่า...... ระบบจะพบวิธีแก้ปัญหาแล้ว?
ในตอนนั้นเองหน้าจอขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา กรอบสีน้ำเงิน จอสีขาว ทั้งหมดลอยอยู่ในอากาศและโปร่งแสง มันดูดีมีระดับมากและให้ความรู้สึกราวกับหลุดออกมาจากหนังไซไฟ
บนหน้าจอสามารถเห็นตัวเลขสามตัวได้อย่างชัดเจน:
404
....
มิติ กับพื้นที่คืออันเดียวกันนะครับผมจะใช้สลับกันเเล้วเเต่โอกาส