HO บทที่ 191 สะพาน
แดดยามบ่ายที่แผดเผาเหนือศีรษะขณะที่ซินหยาและเพื่อน ๆ ของเขาเดินไปตามถนนลูกรังที่จะนำพวกเขาไปยังใจกลางเมือง แม้ว่าแถบพลังกายของพวกเขาจะต่ำแต่จิตวิญญาณของพวกเขาก็สูง และได้ยินการสนทนาที่มีชีวิตชีวาระหว่างพวกเขาทั้งสี่ขณะที่พวกเขาเดินทางผ่านพื้นที่เพาะปลูกอันเขียวชอุ่ม
เมื่อการสนทนาเริ่มเงียบลง ซินหยาเริ่มสงสัยว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าพวกเขาจะผ่านเขตชนบท เมื่อตรวจสอบแผนที่ของเขา เขาเห็นว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะมาถึงสะพานที่พวกเขาต้องข้ามเพื่อออกจากบริเวณนี้
เขาทำได้แค่ถอนหายใจเพราะอีกชั่วโมงก็จะค่ำและผู้ฝึกสอนจะออกจากตำแหน่งในตอนกลางคืนเสมอ ตอนนี้พวกเขามักจะต้องรอจนถึงพระอาทิตย์ขึ้นเพื่อลงทะเบียนกับพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ไม่ได้ทำให้ซินหยาลำบากใจมากนัก เพราะเขาไม่ต้องลงทะเบียนจริง ๆ ไม่เหมือนคนอื่น ๆ สิ่งเดียวที่เขาต้องทำคือตามหาอาจารย์เมลวินและบอกเขาว่าเขามาถึงแล้ว
แม้ว่าสิ่งนี้จะไม่รบกวนจิตใจเขา แต่เขาไม่แน่ใจเกี่ยวกับคนอื่น ๆ เขารู้สึกว่าเว่ยกับวอนเดอร์ริ่งซาวด์อาจเร่งเพื่อเริ่มการเดินทางของพวกเขา
เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกอย่างนั้น ในเมื่อทั้งสองคนไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับความต้องการจากไปหลังจากที่พวกเขาทำธุระที่อาร์คาล่าเสร็จ อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขามั่นใจว่าพวกเขาจะทำเช่นนั้นและเขาเชื่อในสัญชาตญาณของเขาเสมอ
แม้ว่าซินหยาจะคิดถึงพวกเขา เขาก็พร้อมแล้วสำหรับเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ได้เห็นพวกเขาอีกเลยและเขาจะได้รับข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาทำจากเว่ยทุกครั้งที่เขาออกจากเกม
เมื่อเห็นการแสดงออกอย่างครุ่นคิดบนใบหน้าของชายผมสีเขียว เมลติ้งสโนว์ก็ถามขึ้นว่า “พี่ดริฟ พี่กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?”
“ฉันเหรอ” ซินหยาตอบ จู่ ๆ ก็สังเกตเห็นว่าทุกคนต่างให้ความสนใจเขา “ฉันเพิ่งดูแผนที่และรู้ว่าต้องใช้เวลาสักครู่ก่อนที่เราจะไปถึงใจกลางเมืองและหวังว่ารถม้ารูปคัพเค้กของฉันจะใช้งานได้”
“จริงสิ นายมีรถม้านี่น่า! ฉันเกือบลืมไปเลยว่านายซื้อมันมา” เว่ยกล่าว เธอเพิ่งนึกออกว่าซินหยาเคยเล่าเรื่องนี้ให้พวกคนฟัง เนื่องจากมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นจึงทำให้ทุกคนลืมเรื่องนี้ไปซะสนิท
วอนเดอร์ริ่งซาวด์ขมวดคิ้วถาม “ทำไมคุณไม่ใช้งานมันล่ะ ฉันก็ลืมไปแล้วว่าคุณเคยพูดถึงมัน”
“ที่ฉันไม่ใช้เพราะมันต้องเทียมด้วยสัตว์ ดังนั้นมันจึงต้องการบางอย่างเช่นม้าหรือสิ่งมีชีวิตอื่นที่ใหญ่พอที่จะดึงมันได้” ซินหยาอธิบาย
“อ๋อ เข้าใจแล้ว” วอนเดอร์ริ่งซาวด์พูดก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงสงสัย “งั้น คุณจะไปซื้อสัตว์สำหรับลากรถม้างั้นเหรอ?”
ซินหยาส่ายหัว เขาเอื้อมมือเข้าไปในคลังของเขาและดึงไข่ออกมา โชว์ให้คนอื่นดู "ฉันมีไข่ฟิอานน่าซิเด้ เมื่อฉันฟักออกมาแล้ว ฉันจะใช้มันเพื่อเป็นพาหนะสำหรับรถม้าของฉัน"
“ผมรู้จักไข่นั่น!” เมลติ้งสโนว์อุทานด้วยความประหลาดใจ “นั่นมันไข่ที่เราได้จากราชาเบลลี่บอร์กไม่ใช่หรือ?”
“ใช่ ไข่ใบนี้แหละ” ซินหยาตอบ เขาตะลึงเล็กน้อยที่เด็กชายจำไข่ใบนี้ได้เพียงแค่มองดู
“ราชาเบลลี่บอร์ก นั่นตัวอะไรน่ะ?” เว่ยถาม เธฮรู้สึกสับสนเล็กน้อยกับสิ่งที่พวกเขาพูด
เมลติ้งสโนว์ตกตะลึง เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอไม่รู้ว่าราชาเบลลี่บอร์กเป็นมอนสเตอร์ประเภทไหน วิดีโอที่เขาบันทึกเกี่ยวกับเขาและดริฟติ้งคลาวด์ต่อสู้กับมันจนกลายเป็นไวรัล ทำไมเธอไม่เคยได้ยินเรื่องนี้
“พี่ไม่เคยดูวิดีโอของผมเหรอ?” เด็กหนุ่มถาม
“ไม่เลย” เว่ยตอบด้วยรอยยิ้มเขินอาย
"จริง ๆ แล้ว ฉันก็ไม่ได้ดูวิดีโอนั้นด้วย" ซินหยากล่าว
“พี่ไม่จำเป็นต้องดูวิดีโอหริกเพราะพี่ได้เห็นเหตุการณ์นี้กับตาตัวเองมาแล้ว” เมื่อพูดกับดริฟติ้งคลาวด์เสร็จ เมลติ้งสโนว์ก็หันมามองโรมมิ่งวินด์
มีบรรยากาศแห่งความเงียบที่น่าอึดอัดใจขึ้นมา ซินหยาได้ส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ เพื่อทำลายบรรยากาศดังกล่าว
“ถ้าอย่างนั้นทำไมเธอไม่ลองเล่าให้โรมมิ่งวินด์ฟังเกี่ยวกับการผจญภัยของเรากับราชาเบลลลี่เบิร์กล่ะ”
“เป็นความความคิดที่เยี่ยมไปเลย พี่โรมมิ่งวินด์ พี่วอนเดอร์ริ่งซาวด์ ต้องไม่เชื่อผมแน่ ๆ ว่าผมไปเจอราชาเบลลี่บอร์กยังไง!” เมลติ้งสโนว์กล่าว
วอนเดอร์ริ่งซาวด์เหลือบมองไปที่เด็กหนุ่มที่ตื่นเต้นแล้วพูดว่า "แต่ฉันดูวิดีโอแล้วนะ ฉันรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น"
“พี่ดูมันด้วยเหรอ! แต่วิดีโอเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ประสบการณ์ของจริงกับในวิดีโอมันแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง” เมลติ้งสโนว์บอกเขา “มันเริ่มต้นขึ้นเมื่อฉันกับพี่ดริฟไล่ตามเจ้าเบลลลี่บอร์กตัวปกติและพยายามจะฆ่าพวกมัน…”
ในขณะที่เมลติ้งสโนว์เล่าเรื่องให้เว่ยกับวอนเดอร์ริ่งซาวด์ฟัง ซินหยาสังเกตเห็นกระท่อมที่พวกเขาเดินผ่านมา
เมื่อเขาเข้ามาในเมืองครั้งแรก เขาไม่เห็นบ้านเรือนใด ๆ แต่ตอนนี้เขาเริ่มเห็นบ้างประปรายแล้ว เขารู้ว่ามีผู้เล่นเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถเป็นเจ้าของพื้นที่การเกษตรในอาร์คาล่าได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยความรู้ที่เขามีตั้งแต่เกิดใหม่ เขารู้ว่าสถานที่แห่งนี้จะสามารถรองรับผู้เล่นได้มากกว่าหนึ่งแสนคน เขารู้ว่าพื้นที่เพาะปลูกรอบ ๆ ตัวพวกเขาเป็นพื้นที่สำหรับแสดงและผู้เล่นจะทำฟาร์มในพื้นที่ตัวอย่างได้
พื้นที่นี้เชื่อมต่อกับกระท่อมของผู้เล่นและสามารถอัพเกรดได้ อย่างไรก็ตาม ขนาดของพื้นที่นั้นขึ้นอยู่กับประเภทของกระท่อมที่ผู้เล่นมีอยู่
ยกตัวอย่างเช่น ผู้เล่นสร้างกระท่อม เริ่มต้นด้วยพื้นที่เกษตรกรรมหนึ่งเอเคอร์และสามารถอัพเกรดเป็นห้าเอเคอร์ได้ ในขณะที่กระท่อมที่สร้างด้วย NPC เริ่มต้นด้วยพื้นที่ห้าเอเคอร์และสามารถอัพเกรดเป็นยี่สิบเอเคอร์ได้
ซินหยารู้ว่าเขาสามารถทำอะไรได้มากมายกับพื้นที่ 20 เอเคอร์ นั่นคือเหตุผลที่เขาต้องการซื้อกระท่อมที่สร้างโดย NPC ไม่ใช่เพียงเพราะที่ดินที่มากกว่าเท่านั้นแต่ก็มีอีกเหตุผลหนึ่งที่กระท่อมของ NPC มาพร้อมกับบัฟประเภทต่าง ๆ
ปัญหาเดียวคือกระท่อม NPC นั้นค่อนข้างหายากเพราะ NPC ยังคงอยู่ในนั้นและการพยายามบอกให้พวกเขาขายบ้านโดยไม่มีเหตุผลที่ดีก็เป็นเรื่องยากที่จะทำ
แม้ว่านี่จะไม่ใช่ปัญหาสำหรับซินหยา เขามั่นใจว่าเขาจะไม่มีปัญหาในการได้กระท่อมที่เขาต้องการและเขาก็จะสามารถซื้อได้ในราคาถูกเช่นกัน
“ดูสิ มาถึงสะพานแล้ว” เว่ยประกาศ ทำให้ซินหยาตกใจตื่นขึ้นจากความคิดของเขา
“ใช่ เมื่อเราข้ามแล้ว เราจะเข้าสู่เขตเมือง” ซินหยากล่าวขณะมองดูสะพานหินที่อยู่ห่างออกไปสองสามฟุต “แต่น่าเสียดายที่มันมืดแล้ว เราต้องรอจนถึงพระอาทิตย์ขึ้นเพื่อหาปรมาจารย์ของเรา”
“ไม่เป็นไร เราไม่รังเกียจที่จะรออีกสองสามชั่วโมง” เว่ยบอกเขาด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นคนอื่น ๆ เห็นด้วยกับคำพูดของเว่ย ซินหยาก็ยิ้มให้พวกเขาทั้งหมด พวกเขากำลังจะข้ามสะพานแต่อยู่ ๆ ก็มีเมื่อมีการแจ้งเตือนปรากฏขึ้นมา
คุณได้เข้าสู้ระบบมา 22 ชั่วโมง 50 นาที! คุณมีเวลา 10 นาทีในการออกจากระบบ!
“ดูเหมือนว่าเราต้องรออีกหน่อย” วอนเดอร์ริ่งซาวด์หัวเราะ
“ผมก็ว่าอย่างนั้น” เมลติ้งสโนว์หัวเราะตาม “แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องทำระหว่างรอตอนกลางคืน”
เว่ยพยักหน้า “จริงด้วย หลังจากนี้ ฉันจะได้กินของอร่อยของดริฟติ้งคลาวด์ล่ะ”
“แล้วยังไง พี่ดริฟเขาก็จะทำให้ผมกินทีหลังด้วยเหมือน!” เมลติ้งสโนว์กล่าวขณะแลบลิ้นออกใส่เว่ย
ขณะที่เมลติ้งสโนว์กับเว่ยหยอกล้อกันเรื่อย ๆ ทั้งกลุ่มก็เดินไปที่จุดว่างใกล้สะพานและกล่าวลาอย่างรวดเร็ว พวกเขาทั้งหมดเริ่มออกจากเกมทีละคน