1061-1062
3/8
ซูเฉินรีบเปิดใช้งาน [เทคนิคปลุกศูนย์รวมวิญญาณสวรรค์] เมื่อร่างเขาสูงเป็นสิบจั้ง กลิ่นอายอันน่าสะพรึงก็แพร่กระจายออกมา
ระดับเทวะขั้น 6 ...
ซูเฉินยกระดับไปอีกขั้นแล้ว!
ฉีชิงเฉวียน และคนอื่นๆ ตกใจจนอธิบายไม่ถูก พวกเขาจดจำได้ดี ในช่วงงานประลองระดับดวงดาว ซูเฉินยังอยู่แค่ ระดับเทวะขั้น 4 เท่านั้น แต่ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วัน ก็สามารถยกระดับไปอีกขั้นแล้ว
ความไวในการพัฒนาระดับนี้ สามารถอธิบายได้ด้วยคำว่า ‘น่าสะพรึง’ เท่านั้น
และพวกเขายังตระหนักได้เช่นกัน ว่าหลังจากซูเฉินยกระดับแล้ว นั่นหมายความว่าเขาสามารถบดขยี้เฟิงเล่ยเหอได้อย่างแน่นอน
“ซูเฉินจะน่ากลัวเกินไปหน่อยไหม?” ฉีมู่เล่ยอ้าปากกว้าง เป็นเวลานานไม่อาจหุบลงได้
จนถึงตอนนี้ ถึงค่อยฉุกคิดได้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมซูเฉินถึงไม่เห็นตระกูลเฟิงอยู่ในสายตา ที่แท้ก็เป็นเพราะเขายกระดับจนสามารถคุกคามผู้นำตระกูลเฟิงได้แล้วนั่นเอง
“ระดับเทวะขั้น 6? เจ้าทำได้อย่างไร??”
ลมกรรโชกพัดฮือปะทะใบหน้า ทำให้เฟิงเล่ยเหอหยุดฝีเท้าลง เหม่อมองซูเฉินด้วยอาการเหม่อลอย บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ก่อนจะมาที่นี่ เขาได้สืบค้นข้อมูลทุกอย่างมาแล้ว ว่าต่อให้ซูเฉินแปลงร่าง มากสุดก็ขยับขึ้นมาแค่ ระดับเทวะขั้น 5 เท่านั้น
เพราะรู้แบบนี้ เขาเลยกล้าบุกเข้ามาสร้างปัญหากับซูเฉิน หากรู้ว่าซูเฉินยกระดับแล้ว ต่อให้ถูกทุบตีจนตาย เขาคงไม่สร้างเรื่องหายนะให้ตนเองเช่นนี้
“ฉันทำได้ยังไง ต้องรายงานแกด้วยหรอ?”
ซูเฉินเบ้ปาก กล่าวดูแคลน
เฟิงเล่ยเหอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แม้ได้ยินคำนี้ แต่เขาไม่เพียงไม่โกรธ กลับเผยรอยยิ้มเจื่อนแทน “ซูเฉิน ตระกูลเฟิงของเราไม่มีความแค้นใดๆกับเจ้า เรื่องก่อนหน้านี้เป็นความเข้าใจผิด ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
เขาเคยได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งของซูเฉินมาก่อน
ในงานประลองระดับดวงดาว อีกฝ่ายอาศัยวิชาแปลงร่างทะยานสู่ระดับเทวะขั้น 5 สามารถสังหารระดับเทวะขั้น 6 ถึง 4 คนในกระบี่เดียว นั่นบ่งบอกชัด ว่าการสังหารข้ามขั้นสำหรับซูเฉินแล้ว ง่ายพอๆกับการยกน้ำขึ้นดื่ม
และปัจจุบันซูเฉินยกระดับขึ้นมาอีกขั้นเรียบร้อยแล้ว หรือก็คือน้อยกว่าเขาหนึ่งขั้น ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ แม้เขาจะมีความกล้ากว่านี้อีกสิบเท่า ก็ไม่กล้าทำอะไรซูเฉินอีกต่อไป
“แต่ฉันเพิ่งฆ่าเฟิงจ้านไปนะ แกในฐานะบรรพชนตระกูลเฟิง ไม่อยากล้างแค้นให้เขาหรอ?”
ซูเฉินยกนิ้วชี้ขึ้นปาดจมูก กล่าวอย่างเฉยเมย
“เฟิงจ้านไม่รู้จักฟ้าสูงดินต่ำ เป็นเขาที่กล้ามาท้าประลองกับเจ้า เมื่อถูกฆ่าก็ได้แต่ต้องโทษตัวเอง”
เฟิงเล่ยเหอกล่าวขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน
“ไอ้แก่นี่เพื่อเอาชีวิตรอด ยอมไร้ยางอายได้ถึงขนาดนี้เชียว” ซูเฉินอดเดาะลิ้นไม่ได้
ฉีชิงเฉวียนและคนอื่นๆพากันแสดงสีหน้าดูถูกเฟิงเล่ยเหอ
บรรพชนตระกูลเฟิงในฐานะผู้แข็งแกร่งระดับเทวะขั้น 7 ภายใต้การข่มขู่ของซูเฉิน ถึงกับกล่าวคำเช่นนี้ออกมา นับเป็นความอัปยศของระดับเทวะขั้นสูง ทำให้ทุกคนต้องอับอาย!
“ถึงเรื่องที่แกพูดจะฟังดูเป็นข้อแก้ตัวที่ไม่เลว แต่น่าเสียดาย ยังไงฉันก็ไม่ยอมปล่อยแกไปอยู่ดี!”
ซูเฉินมองเฟิงเล่ยเหอ พ่นลมหายใจเบาๆ
ตัดหญ้าแต่ไม่ถอนโคน เมื่อสายลมหน้าฝนมาเยือน มันก็จะเติบโตอีกครั้ง เช่นเดียวกับผู้แข็งแกร่งอย่างเฟิงเล่ยเหอ หากปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไป นับเป็นหายนะครั้งใหญ่
นอกจากนี้ เขาไม่อยากพลาดโอกาสดรอปชิ้นส่วน นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า เฟิงเล่ยเหอต้องตาย!!
“นี่เจ้า ..!” มุมปากของเฟิงเล่ยเหอกระตุก ใบหน้าซีดเผือด ปั่นความคิดในใจเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจหันหลังและหลบหนีไป
เขากระจ่างดีแก่ใจ ว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูเฉิน หากอยากรอดชีวิต มีทางเดียวคือหนีเท่านั้น
“ไม่เคยมีใครหน้าไหนรอดพ้นจากเงื้อมมือของฉันได้!” ซูเฉินแค่นเสียงเย็น ร่วมมือกับจิตจำลอง ออกตามล่า
อย่าเห็นว่าเฟิงเล่ยเหอเป็นแค่ระดับเทวะขั้น 7 ธรรมดาๆ เอาจริงๆความว่องไวของเขาห่างชั้นกับซูเฉินไม่ถึงครึ่งก้าว ดังนั้นหากคิดไล่ให้ทัน ต้องเปิด [รองเท้าเพิ่มความเร็ว] แปรเปลี่ยนตนเป็นเส้นแสงดารา สุดท้ายไล่ตามเฟิงเล่ยเหอทันในไม่กี่อึดใจ
ต่อมา เขาปลดปล่อยพลังจิตเข้าพันธนาการเฟิงเล่ยเหอ
“ซูเฉิน! หากเจ้ากล้าฆ่าข้า ป้อมปราการเฮยอวิ๋นจะไม่ละเว้นเจ้า!”
เมื่อเห็นว่าหนีไม่พ้น เฟองเล่ยเหอหวาดกลัวอกแทบแตกตาย ทำได้เพียงยกป้อมปราการเฮยอวิ๋นขึ้นมาบังหน้า เพื่อให้ซูเฉินรู้สึกหวาดกลัว
“ถ้าเซียวซานมันโง่ไม่มีสมอง ฉันก็จะส่งมันตามแกไปอยู่ในนรกเหมือนกัน!” ซูเฉินแค่นเสียงหัวเราะ จากนั้นเปิดใช้งาน [ทักษะต่อสู้หมื่นแสงสิบเงาสะท้อน]
ท่ามกลางเสียงกระหน่ำโจมตีดังกึกก้อง ร่างของเฟิงเล่ยเหอถูกระเบิดจนตาย ศพหายไปไม่เหลือแม้แต่กระดูก
4/8
Ep.1062
“ช่างเป็นกระบวนท่าสังหารที่น่ากลัวจริงๆ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูเฉินได้แสดง [ทักษะต่อสู้หมื่นแสงสิบเงาสะท้อน] ให้ซางฉุยซานได้เห็น
พลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงนี้ ทำให้อีกฝ่ายตกใจเป็นอย่างมาก
“ไพ่ตายของซูเฉินมีไม่สิ้นสุดจริงๆ” ฉีชิงเฉวียน เองก็ตกใจมากเช่นกัน ถึงกับต้องสูดหายใจลึก
ส่วนซางเฟยและคนอื่นๆไม่ต้องพูดถึง เวลานี้ตะลึงลาน ผ่านไปนานก็ยังไม่ได้สติกลับมา
ความแข็งแกร่งของซูเฉิน มันเหนือกว่าจินตนาการของพวกเขา
สามารถสังหารระดับเทวะขั้น 7 ได้ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ สำหรับฉีมู่เฟิงและรุ่นเยาว์คนอื่นๆ แม้มีฐานะเป็นอัจฉริยะของตระกูล แต่เมื่อเทียบกับซูเฉิน พวกเขาเป็นได้แค่ขยะเท่านั้น โดยเฉพาะฉีมู่สือ ในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่น
เขายังจำตอนที่ซูเฉินมาเยือนป้อมปราการมิติครั้งแรกได้ดี เป็นตนที่เอ่ยปากขอท้าประลองกับซูเฉิน ตอนนี้พอมาลองนึกย้อนดู การกระทำของเขาในเวลานั้น ไม่ต่างอะไรกับการเล่นตลก
ซูเฉินเก็บชิ้นส่วนเสร็จ ก็เรียกจิตจำลองกลับคืนสู่ร่าง จากนั้นเดินมาเบื้องหน้าฉีชิงเฉวียน และคนอื่นๆ เอ่ยปากถาม “ผู้อาวุโส เขตแดนลับมิติใกล้เปิดแล้ว พวกเราจะออกเดินทางกันเมื่อไหร่?”
เขตแดนลับมิติมีสมบัติที่จำเป็นต่อเขา เรื่องนี้ไม่อาจล่าช้าได้
ฉีชิงเฉวียนได้สติกลับมา รีบตอบอย่างรวดเร็ว “เช่นนั้นพวกเราไปกันตอนนี้เลยดีหรือไม่?”
ซูเฉินเองก็มีความคิดแบบนี้เช่นกัน เร่งนำ [รถศึกอัจฉริยะ] ออกมา แล้วเชิญทุกคนขึ้นรถ
หลังจากนั้น ภายใต้การนำทางของฉีชิงเฉวียน [รถศึกอัจฉริยะ] สตาร์ทเครื่อง มุ่งหน้าสู่พิกัดของเขตแดนลับมิติ
ระหว่างทาง ฉีชิงเฉวียนเดินมาข้างๆซูเฉิน กระซิบเตือนว่า “ซูเฉิน หากพวกเรามุ่งหน้าสู่เขตแดนลับมิติตามเส้นทางนี้ ข้าเกรงว่าจะไม่อาจหลีกเลี่ยงป้อมปราการเฮยอวิ๋นได้”
ซูเฉินเพิ่งฆ่าเฟิงจ้านกับเฟิงเล่ยเหอมา ด้วยอุปนิสัยของเซียวซาน เขาต้องดักรอเพื่อแก้แค้นอย่างแน่นอน
ป้อมปราการเฮยอวิ๋นตั้งอยู่บนเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่เขตแดนลับมิติ ซึ่งหากไม่เปลี่ยนเส้นทาง เกรงว่าคงได้เผชิญหน้ากับพวกเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
“ไม่ต้องสนใจ แค่เดินหน้าต่อไปตามเส้นทางเดิมก็พอ” ซูเฉินกล่าวอย่างสบายๆ
หากเปลี่ยนเส้นทาง แล้วเกิดเข้าเขตแดนลับมิติล่าช้าขึ้นมา มันจะเป็นปัญหาเอา
เรื่องของเซียวซานแห่งป้อมปราการเฮยอวิ๋น ต่อให้อีกฝ่ายเป็นระดับเทวะขั้น 8 ก็ไม่นับว่าอยู่ในสายตาเขา
ด้วยแต้มพลังงานที่สำรองไว้ในปัจจุบัน มันมากพอแล้วที่จะช่วยให้เขายกระดับสู่ ระดับเทวะขั้น 6
หากคิดกุดหัวเซียวซาน นั่นไม่ใช่ปัญหา
แน่นอน ซูเฉินไม่อยากจะยกระดับรวดเร็วขนาดนั้น แต่หากเซียวซานเข้ามาสร้างปัญหาจริงๆ เขาคงไม่มีทางเลือกอื่น
เมื่อเห็นว่าซูเฉินตัดสินใจแล้ว ฉีชิงเฉวียนก็ไม่พูดอะไรอีก
หลังจากนั้น ซูเฉินเอนตัวลงบนเบาะคนขับและเริ่มจัดแจงชิ้นส่วน
ครึ่งชั่วโมงต่อมา การคัดแยกชิ้นส่วนก็เสร็จสมบูรณ์ เขาเปิด [พื้นที่เพาะปลูก] อีกครั้ง ตรวจดูการเจริญเติบโตของต้นไม้แห่งชีวิต
เมื่อเห็นว่าต้นไม้แห่งชีวิตเติบใหญ่สูงเป็นสิบเมตรแล้ว หัวใจของซูเฉินก็เริ่มเต้นแรง หันไปถามต้นผลอายุวัฒนะว่า “เสี่ยวโซ่ว ต้นไม้แห่งชีวิตสามารถผลิตน้ำแห่งชีวิตได้รึยัง?”
หากได้น้ำแห่งชีวิต เขาจะสามารถฟื้นคืนชีพต้นผลสายฟ้าและพืชวิญญาณต้นอื่นๆได้
สำหรับเรื่องนี้ เขาตั้งตารอชมเป็นอย่างยิ่ง
ดูเหมือนว่าต้นผลอายุวัฒนะจะเดาใจซูเฉินออก มันกล่าวตามตรงว่า “เจ้านาย น้ำแห่งชีวิตได้ถูกผลิตขึ้นแล้ว และฉันได้เอามันไปรดลงบนแก่นอสูรของต้นผลสาฟ้าห้าสายและพืชวิญญาณต้นอื่นๆเป็นที่เรียบร้อย เชื่อว่าอีกไม่นาน พวกเขาทั้งหมดจะสามารถฟื้นคืนชีพได้”
“ดีมาก!”
ซูเฉินปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นถามว่า “แล้วต้องใช้เวลานานแค่ไหนว่าพวกมันจะสุกงอม”
“หากมี [อุปกรณ์เร่งเวลา] ควบคู่ไปกับการได้รับน้ำแห่งชีวิตอย่างต่อเนื่อง ประมาณสองเดือนที่จะถึงก็คงสุกแล้ว”
ต้นผลอายุวัฒนะคิดครู่เดียวก็ตอบคำถาม
“ไม่เลว งั้นฉันจะเอา [อุปกรณ์เร่งเวลา] กลับมา” ซูเฉินกล่าว
ก่อนหน้านี้ เขานำ [อุปกรณ์เร่งเวลา] ไปใส่ใน [พื้นที่เลี้ยงสัตว์] เพื่อช่วยเร่งเวลาดูดซับศิลาฟ้ากระจ่างแก่เหล่าสัตว์เลี้ยงวิญญาณ
ปัจจุบันศิลาฟ้ากระจ่างหมดแล้ว เหล่าสัตว์เลี้ยงวิญญาณส่วนหนึ่งเองก็เลื่อนขั้นได้สำเร็จ
หาก [อุปกรณ์เร่งเวลา] ยังคงอยู่ใน [พื้นที่เลี้ยงสัตว์] เกรงว่าคงเป็นได้แค่เครื่องประดับ
ต่อมา ซูเฉินวาง [อุปกรณ์เร่งเวลา] ลงใน [พื้นที่เพาะปลูก] แล้วสนทนากับต้นผลอายุวัฒนะอีกสักพัก ก่อนปิด [พื้นที่เลี้ยงสัตว์] ไป