บทที่ 43 ประโยคคุ้น ๆ
บทที่ 43 ประโยคคุ้น ๆ
หลังจากคัดกรองคนหายสองสามคนที่ตรงกับลักษณะของหญิงผู้ตาย หลินถงซูและสวีเสี่ยวตงจึงเดินทางไปเยี่ยมบ้านพักของพวกเธอทีละหลัง แต่ไม่พบคนที่มีลักษณะตรงกันกับผู้ตายเลยสักราย
ทั้งสองทุ่มเทเวลาไปกับการสืบหาตัวตนของผู้ตายตลอดทั้งวันจนร่างกายเริ่มเหนื่อยล้า หลินถงซูกลับถึงห้องพักแล้วโถมตัวลงนอนลงบนโซฟาและผล็อยหลับไปแทบจะทันที
เช้าวันรุ่งขึ้น แสงอาทิตย์ส่องทาบบนเปลือกตาหลินถงซู เธอกะพริบตาถี่ก่อนหันไปมองนาฬิกาและเห็นว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงสี่สิบนาทีแล้ว เธอไม่มีเวลาแต่งองค์ทรงเครื่องมากนักและรีบไปที่สถานีตำรวจทันที
เมื่อเธอตอกบัตรเรียบร้อยแล้ว เฉินฉีก็เดินเข้ามาในสถานีพร้อมกับถุงหนึ่งใบในมือ ใบหน้าของเขาค่อนข้างสดใสขณะทักทายเธอด้วยรอยยิ้ม “คุณหลิน เมื่อคืนนอนหลับไม่ค่อยสบายสิท่า?”
“เชอะ คุณยังมีหน้ามาทักทายฉันแบบนี้อีก เราสองคนวิ่งไปมาแทบทั้งวันจนเซลลูไลท์บนขาหายไปหมดแล้ว แต่กลับไม่พบเจออะไรที่เป็นประโยชน์เลย”
“คุณไม่ได้แปรงฟันมาใช่ไหม?”
“กลิ่นแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?” หลินถงซูรีบยกมือป้องปากและหายใจออกเพื่อพิสูจน์กลิ่น
“ปกติคุณจะเปลี่ยนเสื้อทุกวัน แต่วันนี้ผมเห็นว่าคุณยังใส่เสื้อตัวเมื่อวานอยู่เลย มุมตาก็ยังมีขี้ตาแห้งติดอยู่ ผมเลยเดาว่าคุณก็อาจจะไม่ได้แปรงฟันด้วย ทำงานหนักมากเลยสินะ” เขาพูดพลางหยิบเอาหมากฝรั่งรสมิ้นต์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อและยื่นให้เธอชิ้นหนึ่ง
“คุณถืออะไรมาด้วยน่ะ?” หลินถงซูถามขณะเคี้ยวหมากฝรั่ง
“ตัวอย่าง”
ทั้งสองเดินเข้าไปยังแผนกนิติเวช เผิงซื่อจวี๋ออกกฎอย่างเคร่งครัดห้ามไม่ให้ใครสูบบุหรี่ในห้องปฏิบัติการ แต่ถึงอย่างนั้นกลิ่นในห้องก็ไม่น่าอภิรมย์นัก พอเห็นใบหน้าเหนื่อยล้าอิดโรยของเจ้าหน้าที่แต่ละคนจึงพอคาดเดาได้ว่าพวกเขาต้องไม่ได้พักผ่อนตลอดทั้งคืนแน่
หลินชิวผูและเฉินฉีแบ่งหน่วยสืบสวนออกเป็นสองทีมเพื่อสืบคดีเดียวกัน ทำให้ปริมาณงานที่เผิงซื่อจวี๋รับผิดชอบมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีงานในส่วนอื่นที่เขายังต้องจัดการให้เสร็จสิ้น
“คุณทำงานหนักเกินไปแล้วหัวหน้าเผิง” เฉินฉีพูดด้วยรอยยิ้ม
เผิงซื่อจวี๋ยืนขึ้นพร้อมบีบดั้งเพื่อขับไล่ความง่วง “ขอบเขตและภาระงานค่อนข้างใหญ่เกินกำลัง เราไม่สามารถจบการชันสูตรภายในคืนเดียว มีผลการทดสอบเพียงไม่กี่รายการที่เสร็จสมบูรณ์จากผลลัพธ์ที่คุณขอมา” เขายื่นเอกสารที่พิมพ์ออกมาสองสามฉบับให้เฉินฉี
เฉินฉีเหลือบมองเอกสารในมือ “ข้อมูลพวกนี้เพียงพอแล้ว อ้อ ขอสำเนาข้อมูลสิ่งที่ค้นพบในกระเพาะอาหารของผู้ตายด้วยก็แล้วกันครับ”
“เสี่ยวหวาง ช่วยถ่ายเอกสารบันทึกการชันสูตรศพเมื่อวานนี้ให้เขาสักสองชุด”
เฉินฉีวางถุงที่ถือติดมือมาด้วยลงบนโต๊ะทำงานของอีกฝ่าย “ในถุงนี้มีตัวอย่างเถ้าบุหรี่หลายสิบยี่ห้อที่หาซื้อได้ทั่วไปตามท้องตลาด ผมเขียนชื่อยี่ห้อติดไว้อย่างชัดเจนแล้ว คุณช่วยเปรียบเทียบมันกับเศษขี้เถ้าที่พบบนตัวของผู้เสียชีวิตให้หน่อยได้ไหม? มีตัวอย่างครบแบบนี้คงใช้เวลาไม่นานหรอกเนอะ ถ้าข้อสรุปออกมาแล้วอย่าลืมแจ้งให้ผมทราบด้วย”
“ฮึ่ม! คุณนี่ไม่รู้จักเกรงใจกันบ้างเลย”
เฉินฉีตบบ่าของเผิงซื่อจวี๋ “ขอบคุณมากเพื่อนยาก”
“อย่ามาแตะต้องตัวผมนะ”
หลังจากเฉินฉีและหลินถงซูจากไปแล้ว เผิงซื่อจวี๋ก็เปิดปากถุงนั้นออก ด้านในนอกจากจะมีตัวอย่างเถ้าบุหรี่หลายชนิดตามที่เฉินฉีบอกแล้วยังมีกล่องอาหารเช้าที่ยังร้อน ๆ วางอยู่ในนั้น เขาหลุดหัวเราะออกมาก่อนหันไปสั่งงานให้ผู้ช่วย “นำตัวอย่างเหล่านี้ไปทดสอบกับคราบเขม่าที่พบบนศพเมื่อวานด้วย”
เฉินฉีเดินไปพลางอ่านเอกสารในมือไปพลาง หลินถงซูถามอย่างร้อนใจ “รายงานระบุไว้ว่ายังไงบ้าง?”
“เจอเอนไซม์ในน้ำลายของคนถึงหกคนบนร่างของผู้เสียชีวิต... เพราะฉะนั้น ‘คนเดียวลงมือข่มขืนซ้ำ ๆ’ ที่คุณสันนิษฐานไว้ก่อนหน้าถือเป็นอันตัดไป”
ใบหน้าหลินถงซูเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที “ฉันก็แค่ออกความเห็นเท่านั้นเอง ในเมื่อคดีนี้ค่อนข้างยาก เราก็ควรระดมสมองกันไม่ใช่เหรอ?”
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิความมั่นใจที่คุณมีซะหน่อย แค่พยายามกระตุ้นให้คุณคิดไปในหลายทิศทางมากขึ้น!”
ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่หลายคนก็เดินออกมาจากห้องประชุม พวกเขาพูดคุยและหัวเราะกันอย่างครื้นเครง ดูเหมือนพบเจอกับความคืบหน้าซึ่งเป็นไปในทิศทางที่ดี หลินถงซูรู้ทันทีเพราะทุกครั้งที่คดีมีความคืบหน้าที่สำคัญ สีหน้าของทีมสืบสวนจะแสดงออกถึงความยินดีอย่างชัดเจน
เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินออกมาหมดแล้ว ตามด้วยหลินชิวผูที่เดินออกมาเป็นคนสุดท้าย เขาหันไปมองทั้งสองที่เดินสวนมาพอดีพร้อมทักทายด้วยรอยยิ้ม “เป็นไงบ้าง? มีความคืบหน้าอะไรบ้างแล้วหรือยัง?”
“ดูจากสีหน้าของผู้กองหลินแล้ว ฝั่งของคุณต้องมีความคืบหน้าสำคัญแน่ ๆ” เฉินฉีถามกลับ
“ใช่ แต่ผมไม่บอกคุณหรอกนะ!”
“อะแฮ่ม เราตกลงกันแล้วนี่ว่าเราต้องแลกเปลี่ยนข้อมูล ห้ามปิดปังกัน”
หลินชิวผูที่ถูกตอกกลับไปหนึ่งยกหรี่ตาลง “งั้นคุณเล่ามาก่อนสิ”
“พวกเรายังไม่ได้เริ่มเลย”
“ฮ่าๆๆ!” หลินชิวผูได้ยินแล้วยิ่งลำพองใจ “คุณต้องรีบหน่อย ทางเราพบคราบเลือดบนมีดของอาชญากรแซ่เจี่ย ผมสันนิษฐานว่าต้องเป็นเลือดมนุษย์แน่ สนับสนุนความจริงว่าเขาเพิ่งทำการฆ่าคน”
หลินถงซูอ้าปากค้างอย่างลืมตัวด้วยความตกใจ ครั้งนี้เธอจะพ่ายแพ้ให้กับพี่ชายตัวเองจริง ๆ เหรอเนี่ย?!
“งั้นดูเหมือนคนแซ่เจี่ยต้องมีเพื่อนร่วมก่อคดีหลายคนเลยล่ะ” เฉินฉีหัวเราะอย่างไม่ครั่นคร้ามและชูเอกสารผลการทดสอบในมือขึ้น “เราพบเอนไซม์ในน้ำลายบนร่างของผู้ตายซึ่งเป็นของคนอย่างน้อยหกคน เพราะงั้นคุณจะอธิบายเรื่องนี้ยังไงล่ะ?”
หลินชิวผูขมวดคิ้วทันที “จุดที่ดูไม่สมเหตุสมผลในคดี มักเป็นจุดที่มีความก้าวหน้าสำคัญที่สุด... ผมจะค้นหาคำตอบเอง”
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณจำประโยคนี้มาจากใคร แต่ผมคิดว่าคุณใช้มันในบริบทที่ไม่ถูกต้อง จุดที่ดูไม่สมเหตุสมผลในสมมติฐานโดยรวมของคุณคือสิ่งที่ไม่นำไปสู่ความก้าวหน้าเลยต่างหาก”
“โอ้ จริงเหรอ? เดี๋ยวอีกไม่นานเราก็รู้กันแล้ว!”
หลินชิวผูเดินห่างออกไป แต่ไม่สายหมุนตัวกลับมาบอกเขา “คนเคยพูดประโยคนี้เขาเก่งกว่าคุณไม่รู้ตั้งกี่เท่า!”
“หืม งั้นเหรอ? ผมว่าผมรู้จักเขานะ” เฉินฉียิ้มแฝงเลศนัย
หลินชิวผูเดินจากไปแล้ว หลินถงซูรีบพูดขึ้น “ถ้าเรายึดตามความคิดของพี่ชายฉัน บางทีน้ำลายของคนหกคนอาจยังใช้เป็นหลักฐานทางคดีไม่ได้ คุณจำคดีแรกได้ไหม? บางทีผู้ตายอาจมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นก่อนที่จะถูกฆ่า”
“ผมเคยคิดข้อนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ความน่าจะเป็นไม่สูงเท่าเนี่ยสิ”
“ทำไมล่ะ?”
“ผู้ชายหกคนต่อผู้หญิงแค่คนเดียว ในหนัง AV ออกจะถมเถไป”
ใบหน้าหลินถงซูแดงก่ำอีกครั้งก่อนแค่นเสียงตำหนิเขา “โรคจิต!”
“ทำไมต้องด่ากันด้วยล่ะ? ผมแค่พูดถึงข้อเท็จจริงเอง!”
เฉินฉีเรียกสวีเสี่ยวตงมาร่วมสืบคดีด้วยและขอใช้รถของเขาในการเดินทาง ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “พี่เฉิน วันนี้เราจะไปสืบคดีที่ไหนกันดี?”
“ไปหาข้าวกินกันก่อน”
“หือ? ตอนนี้เพิ่งจะแปดโมงเช้าเองนะ”
เฉินฉียิ้มและหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิด GPS นำทางเพื่อค้นหาจุดที่ฆาตกรนำศพมาทิ้ง และใช้นิ้วมือวาดวงกลมรอบ ๆ สถานที่นั้น “เราจะเริ่มจากการสืบหาจากบรรดาร้านอาหารที่อยู่ภายในรัศมีสิบกิโลเมตรจากจุดพบศพ”
“ถ้าเราต้องไล่ตรวจสอบทีละร้านจริงไม่ต้องใช้เวลาเป็นเดือนเลยเหรอ?” สวีเสี่ยวตงโอดครวญด้วยความท้อแท้ทันที
“จากเบาะแสที่เรามีอยู่ในมือตอนนี้ ทำให้เราต้องเริ่มสืบหาจากวิธีนี้เท่านั้น”
หลินถงซูถาม “งั้นคุณตัดร้านอาหารบางแห่งภายในรัศมีสิบกิโลเมตรที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปได้ไหมล่ะ? ร้านอาหารในละแวกที่คุณว่ามีเป็นร้อยที่เลยนะ”
“ไหนผมขอดูหน่อย” เฉินฉีหยิบสำเนาบันทึกผลการชันสูตรออกมากางและเริ่มอ่านอย่างละเอียด
ทั้งสามช่วยกันไล่ไปตามรายชื่อวัตถุดิบในอาหารที่พบในกระเพาะอาหารของผู้ตาย หลินถงซูพูดขึ้น “พริกหยวกสีเขียว พริกหยวกสีแดง ถั่วฝักยาว... วัตถุดิบพวกนี้เป็นส่วนผสมที่ใช้กันทั่วไปในอาหารเสฉวนหรือหูหนาน”
สวีเสี่ยวตงออกความเห็นบ้าง “มีเนื้อเต่าและหอยเชลล์จีนด้วย เพราะงั้นต้องมาจากร้านอาหารเกรดสูงแน่ ๆ”
เฉินฉีออกความเห็น “มีสัตว์น้ำตั้งสี่ชนิดในกระเพาะอาหารของเธอ ผมคิดว่าร้านอาหารนี้ต้องขายพวกอาหารทะเลควบคู่กับอาหารธรรมดา... อาหารเสฉวนชั้นยอด หรือร้านอาหารหูหนานที่ขายอาหารทะเล! ได้คีย์เวิร์ดหลักแล้ว ออกเดินทางกันเถอะ”
งานสืบสวนอันน่าเบื่อดำเนินต่อไปจนถึงตอนเที่ยง แต่พวกเขายังไม่ได้ข้อมูลใด ๆ ที่พอเป็นประโยชน์ ทั้งสามจึงแวะพักทานมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
หลินถงซูถาม “ถ้ายังหาไม่เจออยู่แบบนี้แล้วจะทำยังไงต่อไป?”
เฉินฉีตอบอย่างไม่แยแส “ตรวจสอบตามร้านต่อไปนี่แหละ อาจจะต้องขยายขอบเขตมากกว่ารัศมีสิบกิโล”
สวีเสี่ยวตงพูดบ้าง “แล้วถ้ายังหาไม่เจออีกล่ะ?”
“การนำศพมาทิ้งควรกระทำโดยคนสองคนขึ้นไป และพวกเขาต้องเดินทางมาโดยรถยนต์ ด้วยความที่พวกเขามีกันหลายคนก็ต้องมีการปรึกษาหารือเรื่องการทิ้งศพเป็นธรรมดา พอประสบการณ์ระหว่างพวกเขาประสานกันต้องมีประสิทธิภาพมากกว่าการไม่ได้ระดมสมองแน่ เพราะงั้นสถานที่ที่พวกเขาเลือกน่าจะเป็นสถานที่ซึ่งหนึ่งในกลุ่มฆาตกรเคยเห็นขับผ่านบ่อย ๆ ดังนั้นสถานที่ทิ้งศพไม่น่าไกลจากสถานที่ก่อเหตุนักหรอก ผมเดาว่ามันต้องอยู่ภายในรัศมีสิบกิโลเมตรนี่แหละ” เฉินฉีตอบพลางตักน้ำแกงจากชามขึ้นซด
“พี่รู้ได้ยังไงว่าผู้ก่อเหตุต้องมีมากกว่าสองคนขึ้นไป?” สวีเสี่ยวตงถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
“อย่าลืมนะว่าสถานที่ทิ้งศพอยู่ติดถนน แล้วข้างถนนก็เต็มไปด้วยหินกรวดจำนวนมาก ตอนนี้ได้รับการยืนยันแล้วว่าศพต้องถูกบรรจุลงในกล่องก่อนนำออกมาวางทิ้งไว้ แต่กลับไม่มีร่องรอยการลากกล่องตามพื้นหินกรวดที่ว่าเลย สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าต้องเป็นคนอย่างน้อยสองคนที่ช่วยกันยกมา ไม่ใช่คนเดียวที่ยกไม่ไหวจนต้องลากเอาแน่ ๆ”
สวีเสี่ยวตงประทับใจในคำอธิบายของเฉินฉีมากและพยักหน้าซ้ำ ๆ อย่างเห็นด้วย แต่หลินถงซูกลับคัดค้าน “ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้นเสมอไปซะหน่อย สมมุติฆาตกรมีร่างกายกำยำบึกบึนและแข็งแรงมากจนยกคนเดียวไหวล่ะ?”