ตอนที่ 95+96 เสียงบ่นของลู่เสี่ยวเซียว
เมื่อเจียงเหยาลงมาชั้นล่าง เธอเห็นเจียงเล่ยและลู่เสี่ยวเซียวกำลังโต้เถียงกันอยู่
เจียงเล่ยไม่สนใจแม้แต่ภาพลักษณ์ของเขาเอง และไม่อ่อนข้อให้กับลู่เสี่ยวเซียวด้วยเช่นกัน ทั้งคู่เถียงกันหน้าดำหน้าแด ผู้ใหญ่ต่างก็มองพวกเขาแล้วหัวเราะ แต่ก็ไม่ตั้งใจที่จะห้ามพวกเขา แม้แต่ลู่ไห่ชิงก็ยังยิ้มจนดวงตาของเขาโค้งเป็นเส้น
“พี่!” ลู่เสี่ยวเซียวเถียงแพ้เจียงเล่ย รีบวิ่งไปหาเจียงเหยาที่เพิ่งลงมาถึงชั้นล่าง “พี่รองของพี่ รังแกฉัน!”
“ลู่เสี่ยวเซียว เธอนี่ช่างกล้าจริง ๆ! เถียงแพ้แล้วยังกล้ามาว่าฉันอีก อีกอย่างนะ พี่สะใภ้ของเธอคือน้องสาวของฉัน เธอจะเข้ามายุ่งได้ยังไง!” เจียงเล่ยยืนอยู่ที่นั่นอย่างโอ้อวด
ลู่เสี่ยวเซียวเห็นด้วยกับคำพูดของเขา ดังนั้นเธอจึงวิ่งไปหาลู่ชิงสีแทน “พี่ เจียงเล่ย เจ้าเด็กบ้านั่น...”
ก่อนที่ลู่เสี่ยวเซียวจะพูดจบ ลู่ไห่ชิงก็พูดแทรกขึ้น “เซียวเซียว จะมีประโยชน์อะไร แม้ว่าเธอจะไปฟ้องพี่ชายของเธอ แต่เจียงเล่ยเขาเป็นพี่เขยของพี่ชายเธอนะ เขาจะเข้ามายุ่งหรือไงกัน”
ลู่ไห่ชิงมีความยินดี เขาไม่เคยเห็นลู่เสี่ยวเซียวถูกยั่วยุถึงขนาดนี้ และเขาคิดว่ามันน่าสนใจ
ลู่เสี่ยวเซียว เป็น้องคนสุดท้องในตระกูลลู่ ทั้งลู่อี้ชิงและลู่ชิงสีต่างยอมให้เธอเสมอ เธอจึงเป็นคนที่เอาแต่ใจในตระกูลลู่เสมอ โดยไม่มีใครคัดค้านสิ่งที่เธอพูด ในขณะเดียวกัน ในครอบครัวเจียง มีคนหนึ่งที่ไม่ได้มองว่าเธอเป็นราชินี และเขาก็โต้กลับในสิ่งที่เธอพูดอยู่เสมอ ลู่ไห่ชิงคิดว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สมมารถรับมือกับลู่เสี่ยวเซียวได้ จึงปล่อยให้เธอได้รับความรู้สึกนั้นบ้าง
“พ่ออะ!” ลู่เสี่ยวเซียวเกือบจะร้องไห้เพราะทั้งสองครอบครัวไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเธอเลย
“พอแล้ว พอแล้ว กินข้าวกันได้แล้ว” ในที่สุดแม่ลู่ก็ลากลู่เสี่ยวเซียวไปที่โต๊ะอาหารก่อนทีจ่ะเรียกให้ทุกคนมาทานอาหารเย็นด้วยกัน
ลู่อี้ชิงไม่ได้กลับมาทานอาหารเย็นด้วย เจียงเหยาไม่เห็นเธอและก็ไม่ได้ถามถึงเธอด้วยเช่นกัน เธอคิดว่าลู่อี้ชิงอาจจะกำลังยุ่งอยู่กับบางเรื่องและเพราะเรื่องนั้น เลยไม่ได้กลับมา หรือบางทีเธออาจเพิ่งหย้าร้างและต้องทำธุระบางอย่าง
หลังอาหารเย็น ลู่ไห่ชิงให้คนขับรถไปส่งตระกูลเจียงกลับบ้าน ลู่เสี่ยวเซียวและเจียงเล่ยกลายเปนคู่กัดกันจริง ๆ ขณะที่พวกเขากำลังยุ่งกับการโต้เถียงกันที่โต๊ะ ก็น่าแปลกที่ไม่มีใครหยุดพวกเขาได้ พวกเขาพูดโต้กลับกันโดยไม่มีใครยุ่งกับพวกเขา บรรยากาศเงียบสงบอย่างน่าประหลาดจริง ๆ
ก่อนออเดินทาง ลู่เสี่ยวเซียวรู้ว่าเจียงเล่ยกำลังจะไปดูหนังกับแฟนสาวของเขา เธอจึงสาปแช่งให้เขาถูกแฟนสาวทิ้งและต้องเสียใจจนไม่มีที่ไหนให้ร้องไห้
หลังจากที่ลู่เสี่ยวเซียวพูดถึงเรื่องนี้ เจียงเหยาก็นึกขึ้นได้ว่าเจ่ยเล่ยในตอนนั้นมีแฟนสาวเป็นพนักงานขายที่ห้างสรรพสินค้าในตัวเมือง
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาได้จบลงจริง ๆ โดยที่เจียงเล่ยถูกแฟนสาวทิ้ง ไปคบกันคนที่ร่ำรวย
เจียงเหยาได้พบกับแฟนสาวคนปัจจุบันของเจียงเล่ยสองครั้งด้วยกัน
เอาจริง ๆ เจียงเหยาไม่ชอบเธอตั้งแต่แรกเห็น เธอรู้สึกว่า วิธีมองคนอื่นของผู้หญิงคนนั้นเหมือนกับเธอกำลังมองผลิตภัณฑ์ และคำนวณมูลค่าของผลิตภัณฑ์นั้น
แต่เจียงเล่ยก็รักเธออย่างไม่ลืมหูลืมตา หลังจากที่ถูกเธอทิ้ง เจียงเล่ยก็จมอยู่กับความเศร้าของเขาเป็นเวลานานมาก ทั้งครอบครัวคิดว่าเจียงเล่ยจะไม่มีลืมผู้หญิงคนนั้นได้เสียแล้ว ทว่าสุดท้ายเขาก็ดึงตัวเองออกมาและก้าวสู่การทำงาน เขาใช้เวลาไม่ถึงสองปี จึงจะประสบความสำเร็จได้อย่างแท้จริง
เจียงเหยาไม่คิดที่จะเข้าไปยุ่งกับชะตาของเจียงเล่ย หากเขาหลุดพ้นจากของปลอมพวกนี้ได้ เขาก็พบกับโชคดี
อย่างไรก็ตาม เจียงเล่ยไม่ได้แต่งงานแม้หลังจากที่เจียงเหยาเกิดใหม่
เจียงเหยากังวลเกี่ยวกับเขา เพราะเธอกลัวว่าเจียงเล่ยจะลืมผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ไปตลอดชีวิตที่เหลือของเขา
__
เพราะมัวยุ่งแต่กับลู่ชิงสี
เจียงเหยาจึงไม่ได้ก้าวออกจากบ้านเลยในช่วงสองสามวันที่ดรงเรียนของเธอใกล้จะเปิด ทั้งสองใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่บ้าน ในช่วงกลางวัน พวกเขาจะอ่านหนังสือ ดูโทรศัพท์ และพูดคุยกัน ในตอนกลางคืน พวกเขาจะเล่นไพ่กับพ่อและแม่ลู่ สี่คนตั้งวงเล่นเกมไพ่ด้วยด้วยกัน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเทอมแรกของมหาวิทยาลัยของเธอก็เริ่มต้นขึ้นในชั่วพริบตา
เพราะการเปลี่ยนแปลงกะทันหันของลู่ชิงสี ทำให้เจียงเจี่ยและเจียงเล่ยต้องยกเลิกตั๋วรถไฟ โดยที่ลู่ชิงสีจะเป็นคนไปส่งภรรยาของเขาลงทะเบียนเข้าเรียนด้วยตัวเอง
ตั้งแต่เช้าตรู่ แม่ลู่เริ่มจู้จี้เล็กน้อย เพราะเธอกังวลเกี่ยวกับเจียงเหยาที่จะต้องเดินทางไกลเป็นครั้งแรก เธอใช้เวลาพักหนึ่งในการเตือนนั่นนี่กับเจียงเหยาเรื่องให้พกของติดตั้งไปด้วย ต่อมาเธอก็แนะนำให้เจียงเหยาเรียนหนังสือโดยไม่ให้มีปัญหา แต่หลังจากที่เธอพูดจบไปได้ไม่ถึงสองวินาที เธอก็แก้ตัวว่าที่บอกไม่ได้กลัวว่าเธอจะสร้างปัญหา แต่ถ้าเธอเกิดปัญหา ทำอะไรผิดพลาดให้บอกกับพวกเขาได้ตลอดเวลา
“เข้าใจแล้วครับแม่ เราไปกันได้แล้ว” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลู่ชิงสีสัมผัสถึงความจู้จี้ของแม่ตนเอง ตอนที่เขาเข้ามหาวิทยาลัยครั้งแรก เขาไม่อนุญาตให้ครอบครัวมาส่งเชา เขาจึงถูกเธอดุไปถึงสองสามวันเช่นกัน
“เจียงเหยาไม่ใช่เด็กสามขวบนะคุณ ไม่ต้องกังวลไปหรอก” พ่อลู่แนะนำแม่ลู่จากด้านข้าง
“แม่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ หนูรู้ อยู่ข้างนอกหนูจะอดทนให้มาก อะไรที่ทำไม่ได้ หนูจะไม่ทำ จะไม่ไปยั่วยุใครด้วย แต่ถ้าใครมาสร้างเรื่องยุ่งยากให้กับหนู หนูจะไม่เก็บเงียบไว้คนเดียวแน่นอนค่ะ” แน่นอนว่าเจียงเหยารู้ว่าคุณนายลู่เป็นห่วงเธอ หากเธอไม่ใช่ภรรยาของลู่ชิงสี แม่ลู่หรือจะกังวลกับคนนอก?
เมื่อได้ยินคำตอบของเจียงเหยา แม่ลู่ก็หยุดกังวล
“เธอนี่ฉลาดมากจริง ๆ เข้าใจสิ่งที่แม่พูดเสมอ ไปเถอะ รีบไปขึ้นรถ เดี๋ยวจะตกรถไฟเอา”
ลู่ชิงสีจับมือเจียงเหยาทันทีหลังจากที่แม่ลู่พูดจบ แล้วพากันจากไป กระเป๋าเดินทางของพวกเขาอยู่บนรถอยู่แล้ว และคนขับรถก็รอได้สองสามนาทีแล้ว
ใช้เวลาไม่นาน พวกเขาก็มาถึงสถานีรถไฟในตัวเมือง หลังจากที่พวกเขาลงขากรถแล้ว ลู่ชิงสีถือกระเป๋าเดินทางทั้งสองใบ ในขณะที่เจียงเหยาสะพายกระเป๋าไว้บนบ่าของเธอ
“เอากระเป๋าเดินส่งมาสิ ส่งใบที่เบากว่ามาก็ได้” เจียงเหยาอยากจะช่วยเขา
เธอจะอยู่ที่มหาวิทยาลัยเป็นเวลานาน จึงนำเสื้อผ้ามาค่อนข้างมาก กระเป๋าก็หนักมากด้วย ในขณะที่กระเป๋าเดินทางของลู่ชิงสีนั้นไม่หนัก เธอคิดว่าเธอสามารถแบกไหว
ลู่ชิงสีเอี้ยวตัวหลบมือของเจียงเหยา ซึ่งเอื้อมมือไปหาเขา เขาส่ายหน้า “อาหารบนรถไฟไม่อร่อย รอแปบหนึ่ง ผมจะไปซื้อจากร้านอาหาร”
พวกเขามาถึงก่อนเวลา ยังไม่มีการเรียกตรวจตั๋ว หลังจากที่ลู่ชิงสีบอกเธอ เขาก็วางของไว้บนพื้นและปล่อยให้เจียงเหยาอยู่เฝ้าสัมภาระ จากนั้นก็หันหลังเดินไปที่ร้านขายของตรงทางเข้าของสถานีรถไฟ
เจียงเหยานั่งอยู่ที่นั่น มองดูลู่ชิงสีเดินจากไป เธอยิ้มเบา ๆ เขาคงคิดว่าเธอเป็นเด็กสามขวบจริง ๆ ล่ะสินะ ใช้เวลาเดินทางบนรถไฟสี่ชั่วโมง แต่เขายังอยากจะซื้อขนมให้เธออีก
ลู่ชิงสีออกจากสถานีไฟแล้ว เจียงเหยามองไม่เห็นเขาอีกต่อไป เธอมอบไปรอบ ๆ ด้วยความรู้สึกเบื่อ นี่เป็นช่วงใกล้เปิดเทอม จึงมีนักศึกษาและนักศึกษาเข้าใหม่อย่างเธอคับคั่งที่สถานีรถไฟ ทุกคนมีมาพร้อมกับเพื่อน ๆ รอยยิ้มเปื้อนอยู่บนใบหน้า
ที่ประตูตรวจตั๋ว ชายคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าปอน ๆ มองไปรอบ ๆ ราวกับว่าเขากำลังรอใครสักคนอย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อเจียงเหยามองไปที่เขา หากไม่ใช่เพราะเสื้อผ้าที่สะอาดนั่น เธอคงคิดว่าเขาเป็นขอทานที่อยู่สถานีรถไฟแห่งนี้มาโดยตลอด