บทที่ 10 นางรู้ถึงความร้ายกาจของฉมวกไม้ไผ่
บทที่ 10 นางรู้ถึงความร้ายกาจของฉมวกไม้ไผ่
หญิงสาวที่สง่างามรวมทั้งจำนวนคนมากมายทำให้เผ่าต้าเจียงทำได้แค่หยุดยืนมองและไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
ไป๋หยา พยายามทำให้จิตใจสงบ นางวิ่งตาม มู่เฟิง ไปและเห็นผู้หญิงชุดขาวที่งดงามนั่งอยู่บนหลังสัตว์ นางรู้สึกอับอายจึงก้มหัวลงโดยไม่รู้ตัว
คนรอบข้างไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของจิตใจของหญิงสาว ความสนใจของพวกเขามุ่งเน้นไปที่กลุ่มแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
หลี่หูเดินไปด้านหลัง มู่เฟิง มองดูจำนวนคนและเครื่องแต่งกายตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หลังจากเห็นหญิงสาวในเสื้อคลุมสีขาวแถมพาหนะที่นางขี่ หลี่หูพูดเสียงต่ำ “มังกรดินหุ้มเกราะ!”
“มังกรดินหุ้มเกาะอย่างนั้นหรอ?” มู่เฟิง ตกตะลึง เขาสื่อสารกับระบบอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นก็มีข้อมูลของมังกรดินหุ้มเกราะ ความจริงแล้วมันเป็นลูกหลานของมังกรหัวค้อนไดโนเสาร์กินพืชในสมัยโบราณ ทั้งตัวสวมเกราะศีรษะและหางเป็นก้อนขนาดใหญ่บนตัวมีเกล็ดปกคลุม
พูดกันตามความจริงแล้วมังกรดินที่สวมเกราะไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ป่า หญิงสาวที่สามารถใช้อสูรเกราะเป็นพาหนะได้แน่นอนว่าฐานะและภูมิหลังของนางจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
แตกต่างจากความกังวลใจของหลี่หู มู่เฟิง กำลังครุ่นคิดถึงความทรงจำอย่างละเอียดด้วยสีหน้าผ่อนคลาย เขาใช้มารยาทของชนเผ่าโบราณโดยการใช้มือซ้อนทับที่อก
“ขอถามหน่อยว่าเบื้องบนมาที่นี่ด้วยเรื่องอะไรหรือ”
“เบื้องบน” การพูดถึงคำว่าเบื้องบน เป็นการยกย่องเผ่าใหญ่หรือไม่ก็พันธมิตรของเผ่า
เพียงคําเดียวที่ มู่เฟิง แสดงออกถึงท่าทีออกมาหญิงสาวที่อยู่บนมังกรดินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นางเป็นลูกสาวที่หยิ่งยโสในเผ่า นางเคยไปเผ่าเล็กๆมามากมายและเคยชินกับความกระวนกระวายใจเมื่อมีคนได้พบเห็นนาง พวกเขาไม่เคยมีใครกล้ามองนางตรงๆ แต่เด็กหนุ่มที่ดูเหมือนอายุพอๆกับนางนั้นยังคงดูสงบนิ่งและไม่ตื่นตระหนกอะไรเลย?
เขารู้ถึงมารยาทของชนเผ่าโบราณได้อย่างไร อีกทั้งเขายังอายุน้อยทำไมถึงออกมายืนแถวหน้าได้?
ชายหนุ่มคนหนึ่งสูงกว่า 180 เซนติเมตรและแข็งแกร่งกว่า หมิงกวง เสียงดังว่า
“เจ้ากล้าดีอย่างไรในเมื่อรู้ว่าพวกเราเป็นเบื้องบนทำไมยังไม่คุกเข่าคำนับอีก!”
“หืม?” หัวใจของ มู่เฟิง จมดิ่งเขาหรี่ตาและมองไปที่ชายคนนั้น เห็นได้ชัดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ชายคนนั้นถูกมอง เขารู้สึกไม่สบายใจมาก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและก้าวออกมาด้านหน้า
สีหน้าของหลี่หูและ หมิงกวง เปลี่ยนไปพวกเขาเองก็ก้าวออกมาด้านหน้าพร้อมกัน คาดไม่ถึงว่าหญิงสาวชุดขาวผู้นั้นจะเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับนกไนติงเกล
“อากู่ลี่ อย่าหยาบคาย!”
เมื่อพูดเช่นนั้นหญิงสาวก็กระโดดลงจากมังกรดินและก้าวไปข้างหน้า 1ก้าว สองมือของนางซ้อนทับกันเหมือนกับ มู่เฟิง เพียงแต่นางไม่ได้วางมันลงบนหน้าอก การแสดงออกของนางเป็นมิตร
“สวัสดี ข้าชื่อ เคอฉางหนิง ข้ามาจากเผ่าวิหคเขียว!”
ชายคนนั้นถอยหลังออกไปแต่สีหน้าของเขายังคงหยิ่งยโส
หญิงสาวชุดขาวยิ้มราวกับดอกไม้บานในสายลม “ข้าและคนในตระกูลของข้าผ่านมาเท่านั้นไม่ได้มีเจตนาร้าย!”
หลี่หูและ หมิงกวง ค่อยวางใจ พวกเขามองหน้ากัน และมองออกถึงความยินดีในแววตาของอีกฝ่าย แต่ใบหน้าของหลี่หูเผยสีน่าตกตะลึงออกมาอีกครั้ง “เผ่าวิหคเขียวงั้นหรือ?”
เผ่าวิหคเขียวส่วนใหญ่อยู่ทางตะวันตกที่ห่างไกลและเป็นหนึ่งในสามเผ่าที่ใหญ่ที่สุดในโลก มนุษย์ในเผ่ามีมากกว่าชนเผ่าต้าเจียงหลายร้อยเท่า!
ที่เขารู้ก็เพราะเผ่าต้าเจียงอพยพมาจากดินแดนตะวันตกเช่นกัน แต่ มู่เฟิง ไม่รู้เรื่องนี้อย่างชัดเจนเขามองไปที่หญิงสาวที่เรียกตัวเองว่า “เคอฉางหนิง”ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาพยักหน้าและกล่าวว่า
“ในเมื่อพวกท่านเพียงแค่ผ่านมาพวกเราก็ขอตัวก่อน!”
พร้อมกันนั้น มู่เฟิง ก็ส่งสัญญาณให้หลี่หูและ หมิงกวง
“เดี๋ยวก่อน!” เคอฉางหนิง พูดขึ้น
“ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า!”
“มีเรื่องจะถามข้างั้นหรอ เรื่องอะไร?” มู่เฟิง ประหลาดใจ
“พวกเจ้าจับปลาได้เยอะขนาดนี้ได้อย่างไร?” เคอฉางหนิง มองตรงมายัง มู่เฟิง ดวงตาของนางราวกับมีประกายระยิบระยับ
“หืม?” มู่เฟิง คิดอย่างรอบคอบ เขากังวลว่าหากเขาพูดวิธีตกปลาออกไปแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่พวกเขาอาจจะสูญเสียแหล่งเสบียงไป
หลี่หูและ หมิงกวง ด้านหลังพูดอย่างร้อนรนว่า “มู่เฟิง!”
มู่เฟิง คิดอย่างรวดเร็วและมองไปที่หญิงสาว ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความหวังและดวงตาของนางเต็มไปด้วยความจริงใจ เขาจึงตัดสินใจทันทีและกล่าวว่า “ไม่มีปัญหา!”
“โอ้..”เคอฉางหนิงเบิกตากว้าง ใบหน้าประดับไปด้วยความประหลาดใจ
“ไหนเจ้าลองพูดมาสิ!”
มู่เฟิง เล่าเรื่องการขุดน้ำแข็งให้นางฟังหลังจากพูดจบหญิงสาวก็มีสีหน้าประหลาดใจ “แค่นี้งั้นหรือ?”
มู่เฟิง พยักหน้า “แค่นี้แหละ!”
หญิงสาวครุ่นคิดและพูดกับตัวเองว่า
“เหตุผลง่ายๆเช่นนี้ทำไมไม่มีใครคิดออกก่อนหน้านี้ล่ะ!”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่นางก็นึกอะไรขึ้นมาได้เงยหน้าขึ้นมามองไปที่ มู่เฟิง และพูดว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าทำฉมวกจากไม้ไผ่อย่างนั้นหรือ!”
“ใช่” มู่เฟิง พยักหน้าและรู้สึกประหลาดใจ
เพียงเพราะหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้ามีไอคิว และปฏิกิริยาตอบสนองสูงกว่าคนรอบข้างอย่างเห็นได้ชัด และดูเหมือนว่านางจะเห็นความพิเศษของฉมวกไม้ไผ่! เป็นที่ทราบกันดีว่าทุกความคืบหน้าในยุคดึกดำบรรพ์นั้นแม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆแต่ก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง เช่นการเจาะไม้จุดไฟ เพื่อให้มนุษย์ไม่ต้องกินเนื้อดิบหรืออาหารดิบ!
การล่าสัตว์ด้วยหินสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างมนุษย์และสัตว์ป่า! แม้แท่งหินที่เรียบง่ายและไม้ก็สามารถครองความได้เปรียบในการต่อสู้ในยุคดึกดำบรรพ์
การใช้ไม้ไผ่ทำฉมวกแทงปลา คนอื่นอาจไม่สังเกตเห็นอะไรแต่ผู้ที่มีความสามารถสามารถรู้ถึงความดีและข้อเสียของมัน!
เพราะมันคือ “อาวุธ”ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน