บทที่ 509 สัญญา(ตอนฟรี)
บทที่ 509 สัญญา
สวัสดีวันปีใหม่~
ปีใหม่ปีนี้ผู้แปลคงไม่มีอะไรจะมอบให้ มีแต่ความห่วงใยและความใส่ใจ มอบให้แก่ผู้อ่านทุกท่าน ขอให้ปีใหม่นี้เป็นปีที่เต็มไปด้วยความทรงจำที่หวานชื่น เป็นปีที่มีแต่วันดีๆ และค่ำคืนที่น่าจดจำสำหรับผู้อ่านทุกท่านนะคะ~
เช้าวันรุ่งขึ้น จี้เฟิงตื่นแต่เช้าโดยไม่มีเซียวหยูซวนและถงเล่ยอยู่ข้างๆ เหมือนอย่างที่เคยเป็น
เพราะความจริงแล้วหลังจากช่วงเวลาที่พวกเขาสามคนมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกัน พวกเขาได้บรรลุถึงการหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว จี้เฟิงจึงเคยชินกับการที่มีทั้งสองสาวอยู่ข้างกายเวลานอน
แต่ตอนนี้เซียวซูเหม่ยแม่ของเขาและจี้หยินหงก็อยู่ที่วิลล่าด้วย เซียวหยูซวนและถงเล่ยจึงไม่เห็นด้วยที่จะนอนเตียงเดียวกันกับเขา และยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าจะนอนแยกห้องกัน
โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าเซียวซูเหม่ย ทั้งสองสาวไม่อาจปล่อยวางได้ เพราะพวกเธอกับจี้เฟิงยังไม่ได้แต่งงานกันอย่างเป็นทางการ จึงไม่แปลกที่พวกเธอจะรู้สึกเขินอายเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่
จี้เฟิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนอนในห้องนอนของเขา และตอนนี้เขาก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย ทำไมเขาต้องซื้อวิลล่าหลังใหญ่ขนาดนี้ด้วย เพราะถ้าเขาซื้อบ้านขนาดกลางที่มีห้องนอนแค่สองห้องและห้องรับแขกอีกซักห้องหนึ่ง บางทีเขาอาจได้นอนเบียดเสียดกันแฟนสาวทั้งสองคนของเขาโดยที่พวกเธอไม่มีข้ออ้าง!
แน่นอนว่าการนอนคนเดียวก็มีประโยชน์เช่นกัน เขามีเวลามากพอที่จะฝึกสมองและยิมนาสติกชุดที่ 2 ต่อไป จนถึงตอนนี้ เขาเข้าใจการเคลื่อนไหวชุดที่สองได้เป็นอย่างดีแล้ว แต่สิ่งที่ขาดในตอนนี้คือความชำนาญของการปฏิบัติเท่านั้น
ตามคำกล่าวของสมองหมายเลข 1 เมื่อใดที่จี้เฟิงสามารถใช้ท่าที่สองได้ และสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวชุดที่สองได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนอย่างท่าแรก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เขาก็สามารถเคลื่อนไหวท่วงท่าเหล่านั้นได้ เขาจึงต้องเรียนรู้ท่วงท่าเหล่านั้นอย่างจริงจัง
นอกจากนี้จี้เฟิงยังมีเวลาอีกมากในการคิดและวางแผนการทํางาน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคืนจี้เฟิง นอนอยู่บนเตียงคนเดียว เขาคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ตั้งแต่เรื่องนายน้อยเหอมาเจียงโจว และเรื่ององค์กรที่ซ่อนตัวอยู่ในโลกแห่งความมืดที่เขาเพิ่งสัมผัสเมื่อคืนนี้ “หวางฉาว!”
“ฮึ้บ—!”
จี้เฟิงที่สวมกางเกงในเพียงตัวเดียวลุกขึ้นยืน กล้ามเนื้อที่เหมือนกับก้อนเหล็กบนร่างกายของเขาเผยออกมาโดยไม่มีอะไรปิดบัง เขาบิดขี้เกียจเล็กน้อย นั่นทำให้ร่างกายและกล้ามเนื้อของเขาถึงกับส่งเสียงเพี๊ยะๆออกมา มันเพียงพอที่จะบอกได้ว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งขนาดไหน!
“ฟืดดดด—! ฟู่~~!”
จี้เฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ จากนั้นก็เดินไปที่หน้าต่างเพื่อเลื่อนผ้าม่านให้เปิดออก และพบว่าที่ด้านนอกมันขาวโพลนไปหมด
“แค่คืนเดียว หิมะตกหนักขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?” จี้เฟิงยิ้มและพูดกับตัวเอง “ฉันนี่จะโชคร้ายเกินไปแล้ว ถ้านัดกับเหอหงเหว่ยในวันนี้ นักฆ่าสองคนนั้นก็คงจะทำภารกิจลอบสังหารไม่ได้ง่ายๆเลยสินะ? แต่ฉันเลือกที่จะนัดเจอกับเหอหงเหว่ยเมื่อวาน...”
เขาเงี่ยหูฟังและพบว่าชั้นล่างมีเสียงเหมือนมีคนกำลังทําอาหารเช้า
จี้เฟิงรีบใส่เสื้อผ้าทันที และเดินลงบันไดไปโดยสวมรองเท้าแตะ เขาพยายามไม่ส่งเสียงมากนัก เพราะตอนนี้เพิ่งจะหกโมงเช้าเท่านั้น อาจจะยังมีคนนอนหลับอยู่
บางทีอาจจะเป็นเพราะความเคยชินตั้งแต่เด็กๆ ที่เขาเป็นคนขี้เกรงใจจนเกินไป เพราะเมื่อจี้เฟิงจะทำอะไร เขามักจะคิดก่อนว่าการกระทำของเขามันจะสร้างปัญหาให้กับผู้อื่นหรือไม่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเล็กๆน้อยๆ มันจะยิ่งเห็นผลได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
นิสัยนี้ติดตัวเขาจนมาถึงตอนนี้ บางครั้งเขาก็อดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้ แม้ว่าตัวตนของเขาจะเปลี่ยนไป แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า และมักจะระมัดระวังในการจะทำอะไร
“แต่ความรู้สึกต่ำต้อยก็ดีกว่าการที่รู้สึกว่าตัวเองอยู่สูงกว่าคนอื่นและทำตัวหยิ่งยโสอยู่เสมอ!” จี้เฟิงยิ้มและเดินไปที่ห้องครัว และเขาก็ต้องตกใจ
ตอนแรกเขาคิดว่าคนที่เตรียมอาหารเช้าในห้องครัวน่าจะเป็นเซียวหยูซวนหรือไม่ก็ถงเล่ย เพราะก่อนหน้านี้พวกเธอมักจะรับหน้าที่นี้มาโดยตลอด แต่ตอนนี้เขาเพิ่งเห็นว่าคนที่ทำอาหารอยู่ในครัวกลับเป็นแม่ของเขาเอง...
จี้เฟิงยกมือขึ้นและมองไปที่นาฬิกา หกโมงสิบนาที...
ทันใดนั้นอารมณ์ที่ซับซ้อนและยากที่จะอธิบายผุดขึ้นมาในใจของเขา ราวกับว่าเป็นภาพที่เขาได้เห็นมันเมื่อหนึ่งปีก่อน ทุกเช้าแม่ของเขาจะตื่นแต่เช้าเพื่อไปขายผัก และในตอนเย็นหลังจากที่เขาเลิกเรียน แม่ของเขาก็จะเตรียมอาหารเย็นไว้ให้พร้อมแล้ว
แม้ว่าวันเวลาเหล่านั้นจะยากลำบาก แต่แม่ก็พยายามที่จะปรับปรุงและทำให้ชีวิตลูกชายของเธอดีขึ้นให้ได้มากที่สุด...
“เฮ้อ...” จี้เฟิงถอนหายใจเบาๆอยู่ในใจ เขาส่ายหัวเล็กน้อย และคิดกับตัวเองว่า “ช่างมันเถอะ ต่อให้ในใจฉันจะรู้สึกรังเกียจแค่ไหน แต่ฉันก็ต้องคิดถึงความรู้สึกของแม่ให้มากที่สุด... ในเมื่อแม่อยากกลับหมางซือ... งั้นก็กลับไป!”
เขาส่ายหน้าและอดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อนๆ ตั้งแต่วินาทีที่ออกมาจากเขตหมางซือ เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าชาตินี้เขาจะไม่กลับไปเหยียบที่นั่นอีกแม้แต่ก้าวเดียว นอกเสียจากเหตุผลเดียวเท่านั้น นั่นก็คือพาถงเล่ยกลับไปหาพ่อแม่ของเธอ
แต่ข่าวที่แม่นำมา ทำให้จี้เฟิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากล้มเลิกการตัดสินใจของเขา
จี้เฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆ และรีบเดินเข้าไปหา “แม่ ทำไมแม่ถึงตื่นเช้าจัง? เราไม่ได้มีชีวิตแบบเดิมแล้ว ไม่เห็นต้องเหนื่อยทำอาหารเลย แม่อยากกินอะไรล่ะ เดี๋ยวผมออกไปซื้อให้...”
“เราจะไปรู้อะไร!”
เซียวซูเหม่ยยิ้มและพูดว่า “ซื้อข้างนอกกิน เราจะแน่ใจได้ยังไงว่าเขาจะทำสะอาดถูกสุขลักษณะหรือเปล่า ถ้านานๆทีก็พอได้ แต่ถ้าจะให้ดี ซื้อของสดมาทำเองจะดีที่สุด กินได้อย่างสบายใจ!”
จี้เฟิงหัวเราะคิกคักและกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ลำบากแม่แล้ว ฮี่ฮี่!”
“เจ้าเด็กคนนี้!” เมื่อเห็นท่าทางของลูกชาย เซียวซูเหม่ยก็อดยิ้มไม่ได้ เธอจึงพูดขึ้นว่า “รีบออกไปล้างหน้าล้างตาเถอะ แม่ต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะทำอาหารเช้าเสร็จ!”
จี้เฟิงลังเลอยู่ครู่หนี่ง ก่อนจะพูดขึ้น “แม่ครับ เหลืออีกสองวัน ผมก็จะสอบแล้ว และใช้เวลาสอบทั้งหมดสามวัน...”
“งั้นลูกก็ต้องตั้งใจทบทวนบทเรียนให้ดีๆ อย่าหวังพึ่งพาแต่ฐานะของคุณปู่กับพ่อ! อนาคตไม่มีอะไรแน่นอนแต่ยังไงความรู้ก็ติดตัวเราไปจนตายนะลูก!” เซียวซูเหม่ยกำชับลูกชายด้วยความเป็นห่วง “อีกอย่างหนึ่ง ตอนอยู่หยานจิง พ่อของลูกก็พูดอยู่ว่า ตอนนี้มีคนจับตามองลูกอยู่เยอะแยะ ดังนั้นอย่าประมาทเด็ดขาด!”
จี้เฟิงพยักหน้าทันที “ครับแม่ วางใจเถอะ ผมรู้ว่าต้องทำยังไง!”
เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตะโกน “แม่ครับ...”
“มีอะไรเหรอ?” เซียวซูเหม่ยเห็นท่าทางของลูกชายที่เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดพูดไป จึงถามอย่างแปลกใจ “เสี่ยวเฟิง ลูกมีอะไรอยากจะพูดหรือเปล่า? ไม่ว่าเรื่องอะไร ลูกก็พูดกับแม่ตรงๆได้เลยนะ ไปสร้างปัญหาอะไรมาอีกหรือเปล่า?”
หน้าผากของจี้เฟิงปรากฏเส้นเลือดสีดำปูดขึ้นมาทันทีเขายิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “แม่... ในสายตาของแม่ ผมเป็นคนชอบก่อปัญหาขนาดนั้นเลยเหรอ? ผมแค่อยากจะบอกว่า ก่อนสอบจนถึงวันสอบ ผมอาจจะไม่มีเวลา แต่หลังจากสอบเสร็จ ผมจะกลับไปที่หมางซือกับแม่!”
“อะไรนะ?!”
เซียวซูเหม่ยตกใจและถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เสี่ยวเฟิง เมื่อกี้ลูกพูดว่าอะไรนะ?!”
เมื่อเห็นท่าทางดีใจของแม่ จี้เฟิงก็รู้สึกผิดเล็กน้อย เขาไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของแม่เลย เขาเลยพูดขึ้นว่า “แม่ ผมหมายถึง ถ้าผมสอบเสร็จ ผมจะกลับไปที่เขตหมางซือกับแม่... แต่ผมขอไม่รับประกันนะว่าจะรักษาเขาได้หรือเปล่า ผมยังคงยืนยันคำเดิม ผมเป็นแค่นักเรียนไม่ใช่หมอเทวดา!”
เซียวซูเหม่ยจะสนใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร เธอรีบพยักหน้าและกล่าวว่า “ได้ๆๆ ได้สิ ขอแค่ลูกเต็มใจไปกับแม่ แม่รู้ว่าลูกจะลองพยายามทำให้ดีที่สุด!”
เมื่อจี้เฟิงเห็นว่าแม่ของเขามีความสุขมากขนาดนี้ เขาก็คิดว่าตัดสินใจถูกแล้วที่จะพาเธอไป เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งและอดพูดไม่ได้ว่า “แม่.. ถ้าพวกเรากลับไป ผมไม่อยากให้คนอื่นมายุ่งวุ่นวาย...”
เซียวซูเหม่ยเข้าใจความหมายของลูกชายทันที เขาไม่อยากเจอคนที่ไม่เกี่ยวข้องกัน และยิ่งไม่อยากให้ใครมาสร้างปัญหา
“ลูกวางใจเถอะ ถึงตอนนั้นแม่จะไม่ยอมให้พวกเขามารบกวนลูกแน่นอน!” เซียวซูเหม่ยรีบพูดทันที
“ถ้าอย่างนั้น...” จี้เฟิงโพล่งออกมาทันที ‘แล้วแม่ล่ะ? คนพวกนั้นเคยปฏิบัติต่อแม่แย่ขนาดนั้นแล้วพวกเขาจะฟังแม่เหรอ?’
แต่เขาพูดออกไปได้แค่สองสามคำ ประโยคหลังเขาไม่ได้พูดออกไป เพราะถ้าเขาพูดออกไปตรงๆแบบนั้น แม่จะต้องเสียใจแน่ๆ และนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จี้เฟิงอยากเห็น
เขาแอบพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา เมื่อถึงตอนนั้น ถ้าเหล่าบรรดาญาติๆของเขาไม่ทำอะไรที่มากเกินไปก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าพวกเขาล้ำเส้นเมื่อไหร่ รอบนี้เขาจะไม่ปล่อยไปง่ายๆและจะต้องหาโอกาสแก้แค้นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในเขตหมางซือ ถงไค่เต๋อเป็นเลขาธิการพรรคของเขตนั้น และถงไค่เต๋อก็คือพ่อของถงเล่ย นั่นก็เท่ากับว่าที่นั่นเป็นอาณาเขตของเขา!
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย เขายิ้มและพูดว่า “แม่ครับ ผมจะไปล้างหน้าล้างตาก่อน แล้วจะรอกินอาหารเช้าฝีมือแม่นะ!”
“ไปเถอะ!” เซียวซูเหม่ยกล่าวด้วยความยินดี
จี้เฟิงเดินออกไปด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวอย่างลับๆ เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกหมดหนทางจริงๆ ถ้าตามความคิดของเขาจริงๆ แม้ว่าลุงป้าน้าอาจะมาขอร้อง เขาก็จะไม่มองหน้าบรรดาญาติพวกนั้นเลย ไม่ต้องพูดถึงการช่วยชีวิต แต่ต่อหน้าแม่ เขาทำได้เพียงแค่กัดฟันทนและยอมทำตามเท่านั้น
ใครมันจะอยากไปช่วยเหลือคนที่เคยเยาะเย้ยถากถางตัวเองจนจำฝังใจมาจนทุกวันนี้ นอกเสียจากว่าเป็นคนที่ปลงตกหรือใจกว้างดั่งแม่น้ำเท่านั้น เพราะถ้าเป็นคนปกติส่วนใหญ่แม้จะตอบตกลงอย่างเสียไม่ได้ แต่ในใจของพวกเขาก็ต้องรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
น่าเสียดายที่จี้เฟิงไม่เคยคิดว่าตัวเขาเองเป็นคนใจกว้างขนาดนั้น เขาคิดมาตลอดว่าถึงแม้เขาจะไม่ได้นึกถึงเรื่องในอดีตตลอดเวลา แต่อย่างน้อยเขาก็พูดได้ว่าเขามีความแค้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันเป็นความแค้นที่ทำให้เขาจดจำมามากกว่าสิบปีและแน่นอนว่าจะไม่สามารถลืมมันไปได้ง่ายๆ
“หยูซวนกับเล่ยเล่ยยังหลับอยู่อีกเหรอเนี่ย?” หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ เขาก็เห็นว่าเซียวหยูซวนและถงเล่ยยังไม่ออกมาจากห้อง เขาจึงยิ้มและเดินไปเคาะประตู “ตื่นได้แล้ว! เล่ยเล่ย เธอใกล้จะสอบแล้วไม่ใช่เหรอ?!”
“ทำไมเงียบแปลกๆ...” จี้เฟิงรออยู่พักหนี่ง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ เขาอดตกใจไม่ได้ ปกติถงเล่ยแม้จะนอนหลับสนิท แต่ถ้าได้ยินเสียงข้างนอกดังแม้เพียงเล็กน้อย เธอก็จะตื่นง่ายมาก แล้วทำไมวันนี้ถึงได้นอนหลับลึกขนาดนี้?!
จี้เฟิงรีบเดินลงบันไดและตะโกนว่า “แม่! แม่เห็นหยูซวนกับเล่ยเล่ยออกไปข้างนอกหรือเปล่าครับ?!”
“พวกเธอตื่นตั้งแต่เช้ามืด อยากมาทำอาหารเช้า แต่แม่ไม่ยอม!” เซียวซูเหม่ยกล่าวว่า “สามีของอาหงของเรากำลังจะมา พวกเธอก็เลยไปรับเขากับอาหง!”
จี้เฟิงตกใจและรู้สึกอับอาย สามีของจี้หยินหงมาตั้งหลายวันแล้ว แต่จี้เฟิงยังไม่ได้ไปเจอกับเขาเลย คราวที่แล้วที่บ้านของอารองเขาก็ไม่ทันได้เจอ เขาจำได้ว่าเขาเคยสัญญากับอาหงที่หยานจิงว่าจะพาสามีของเธอไปดูที่โรงงานยา แต่เขากลับผิดสัญญาซะได้...
...จบบทที่ 509~❤️