ตอนที่ 83+84 คำขอโทษ
ลู่อี้ชิงกลับเข้ามาในห้องด้วยความเหนื่อยล้าที่ฉายออกมาจากใบหน้า เธอเข้ามาและเห็นว่าเจียงเหยาฟื้นแล้ว เธอแสดงความกังวลออกมาทันที
“จ้าวจวนซ่งและคนของเขาถูกจับได้แล้วล่ะ หลังจากที่เข้าไปหลบซ่อนตัวในป่า”
“ดี ดีมาก!” พ่อเจียงฝืนยิ้มออกมา หลังจากได้ทราบข่าว
เจียงเหยาไม่สมควรได้เจอกับเรื่องแบบนี้เลย
พวกเราควรจะพูดถึงคุณค่าของเจียงเหยาที่มีต่อตระกูลเจียงออกมาบ้างดีหรือไม่? คงไม่ต้องบอกว่าคนในครอบครัวจะปวดใจมากขนาดไหนที่เธอเข้าไปช่วยเก็บกวาดแล้วถูกเสี้ยนตำเช่นนี้ แม้ครอบครัวเจียงจะยากจน แต่เจียงเหยาก็ไม่เคยต้องทนทุกข์ทรมานใด ๆ พ่อแม่เจียงไม่เคยเลยที่จะให้เจียงเหยาต้องเจ็บปวด
เพราะแบบนี้ เมื่อพวกเขารู้ข่าวว่าเจียงเหยาถูกทำร้าย ถึงขั้นหมดสติแล้วถูกนำส่งโรงพยาบาล พวกเขาทั้งคู่ต่างกังวลใจอย่างมาก เมื่อพวกเขามาถึงโรงพยาบาลและเห็นใบหน้าฟกช้ำและบาดแผลที่หลังของเธอ พวกเขาไม่สามารถพูดอะไรได้เลย ใจเจ็บปวดร้าวไปเสียหมด
“เจียงเหยา ฉันทำให้เธอต้องตกอยู่ในอันตรายไปด้วย แต่ไม่ต้องกังวลไป อาลู่และพ่อแม่สามีของเธอจะไม่ปล่อยให้ไอ้เลวนั่นรอดไปได้ง่าย ๆ” จิตใจของลู่อี้ชิงสับสน หากสิ่งเหล่านั้นไม่เกิดขึ้น เธอคงไม่มีวันเชื่อว่าชายที่เธอเคยตกหลุมรักจะน่าขยะแขยงได้ถึงเพียงนี้ นี่ไม่ได้หมายถึงรูปลักษณ์ของเขา แต่หมายถึงจิตใจอันบูดเน่าในตัวเขา
เธอพบว่ามันยากที่จะเชื่อว่าหลังจากเขาทรยศต่อความสัมพันธ์ระหว่างเธอ จ้าวจวนซ่งยังต้องการให้ตระกูลลู่เลี้ยงดูลูกนอกสมรสของเขาอีก เขาต้องการเพียงใช้ประโยชน์จากตระกูลลู่ เขาเป็นคนโลภและไม่เคยเรียนรู้ที่จะเพียงพอ เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่านอกจากเขาจะเป็นคนโลภแล้ว เขายังสกปรกและไร้มโนธรรมได้ถึงเพียงนี้
ลู่อี้ชิงเชื่อว่าร่างกายของเธอได้ถูกปนเปื้อนเพราะสัตว์ร้ายตัวนั้นมาตลอดหลายปี เธอใช้ชีวิตร่วมกับจ้าวจวนซ่งตลอดหลายปี เพียงเพื่อพบว่ามันน่าหัวเราะและน่าสมเพช
ลู่อี้ชิงเคยนึกเสียใจที่ไม่สามารถมีลูกกับเขาได้ แต่ตอนนี้ เธอรู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินที่ยังสามารถดึงตัวเองออกจากความยุ่งเหยิงนั้นได้
“ยังดีที่บาดแผลไม่เลวร้ายนัก ไม่อย่างนั้น...” แม้ว่าลู่ชิงสีไม่โทษว่าเป็นความผิดของเธอ แต่เธอก็คงจะรู้สึกเสียใจกับเจียงเหยาไปตลอดชีวิต
“พี่คะ เรื่องนี้เป็นก็เป็นผู้รับเคราะห์ด้วยเหมือนกัน ไม่ต้องโทษตัวเองหรอกคะ หมอยังบอกอีกว่าแผลนี้ไม่เป็นอะไรมาก ฉันสบายดี” เจียงเหยาส่งยิ้มหวานให้กับลู่อี้ชิง
“ตอนนี้แผลพวกนี้อาจจะดูน่ากลัว แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร อีกหน่อยฉันก็จะเป็นหมอนะคะ ฉันอ่านข้อมูลพวกนี้มาเมื่อไม่นานนี่เอง ฉันรู้ว่าอะไรควรเลี่ยง อะไรควรป้องกัน พี่เห็นไหมล่ะ ว่าฉันเรียนรู้ได้เร็วขนาดไหน?”
เจียงเหยาพยายามทำให้ดูสนุกสนาน แม้ว่าทุกคนจะรู้ว่าเจียงเหยากำลังปลอบโยนลู่อี้ชิง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถกลั้นหัวเราะออกมาได้
“เอ่อ มีคนเข้าไปไล่ล่าจ้าวจวนซ่งในป่า หลังจากที่ฉันหมดสติไปแล้วใช่ไหมคะ? มีใครเห็นสัตว์ตัวสีขาว ๆ ไหม? ดูเหมือนจะเป็นลูกแมว ตัวเล็กมาก ๆ” เจียงเหยาถามด้วยความกังวล เธอไม่รู้เหมือนกันว่านั่นคือแมวหรือเปล่า
เจ้าตัวเล็กที่ต่อว่าเธอว่าเป็นผู้หญิงโง่ ได้ช่วยชีวิตเธอทันเวลาและยังสามารถพูดภาษามนุษย์ได้อีกด้วย ไม่น่าตกใจหรือไร้สาระไปหน่อยเหรอ? นั่นคือเหตุผลที่เธอไม่กล้าพูดว่าแมวเป็นผู้ช่วยชีวิตเธอ
“แม่ไม่ได้ยินใครพูดถึงเรื่องนั้นนะ” แม่ลู่กล่าว
“แมวเหรอ?” ลู่อี้ชิงพูดออกมาทันที
“ฉันได้ยินตำรวจว่าหน้าของจ้าวจวนซ่งมีรอยแมวข่วน หนักเอาเรื่องเหมือนกัน”
เจียงเหยาได้ยินเธอและกล่าวเสริมว่า
“ใช่แล้วค่ะ แมวตัวนั้นกระโดดออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้และเริ่มข่วนจ้าวจวนซ่งไม่หยุดเลย นั่นล่ะถึงทำให้ฉันมีโอกาสหนีออกมาได้ จะบอกว่าแมวเป็นผู้ช่วยฉันก็ได้ค่ะ ฉันไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ แต่ฉันอยากจะขอบคุณเจ้าเหมียวน้อยตัวนั้นเสียจริง”
__
ทุกคนที่อยู่ในห้องพักผู้ป่วยคงยากที่จะเชื่อเรื่องนี้ หลังจากได้ยินเรื่องราวจากเธอ ก็สันนิษฐานว่าเจ้าของแมวน่าจะเห็นเหตุการณ์ แต่ไม่กล้าปรากฏตัวเพราะกลัวจะสู้กับกลุ่มคนเหล่านั้นไม่ได้ จึงส่งแมวให้ออกมาข่วนจ้าวจวนซ่งเพื่อช่วยเหลือเจียงเหยา
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทุกคนก็พยักหน้า “ใช่แล้ว เราสมควรขอบคุณเจ้าของแมวตัวนั้น แม้ว่าเขาจะไม่ปรากฏตัว แต่เขาก็ได้ช่วยเหลือเจียงเหยาเอาไว้ ต่อไปฉันจะลองถามดูว่าเพื่อนบ้านคนไหนเลี้ยงแมวบ้าง”
คำพูดพ่อลู่เป็นความคิดของผู้ใหญ่ทุกคนในห้องต่างเห็นพ้องกัน น่าแปลกใจที่ไม่มีใครรู้ว่าเจียงเหยาพยายามอธิบายว่าสัตว์ตัวเล็ก ๆ ในฐานะลูกแมวตัวนั้นแหละ เป็นผู้ช่วยชีวิตเธอไว้ แล้วลูกแมวตัวเล็ก ๆ จะสามารถขีดข่วนใบหน้าของผู้ชายตัวโตได้ขนาดนั้นได้อย่างไร?
เมื่อรู้ว่าเจียงเหยาประสบอุบัติเหตุ ลู่ชิงสีไม่มีเวลาแม้แต่จะจัดการภารกิจในกองทัพ เขายืนกรานที่จะลาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม จากนั้นก็บินตรงกลับมาที่เมือง แล้วนั่งแท็กซี่ที่ลู่ไห่งชิงเตรียมไว้ให้ รีบตรงมายังโรงพยาบาล
ตอนที่เขาไปถึงก็ตีห้าแล้ว ดวงอาทิตย์เพิ่งจะปรากฏขึ้นบนเส้นขอบฟ้า ทางเดินในโรงพยาบาลเงียบสนิทเพราะยังไม่มีใครตื่น
ลู่ชิงสีเดินตรงเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยของเจียงเหยา
เธอนอนคว่ำหน้าอยู่ในห้องเพียงลำพัง อาจเพราะอาการปวดหลัง ทำให้เธอนอนไม่หลับ เสียงเปิดประตูปลุกให้เธอตื่น เธอลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ หันศีรษะไปรอบ ๆ อย่างไม่ชัดเจน และมองไปยังชายที่เดินเข้ามาในห้อง
ไม่มีใครอยู่ในห้องพักผู้ป่วยด้วย เพราะเจียงเหยาได้ร้องขอให้ทุกคนกลับไปพักที่บ้าน แล้วส่งอาหารมาให้เธอในตอนเช้าแทน เตียงเสริมของโรงพยาบาลทั้งแข็งทั้งแคบ เธอไม่อยากให้ใครต้องลำบากเพราะเธอ
“ผมปลุกคุณหรือเปล่า หรือไม่ได้นอนตลอดทั้งคืนเลย?” ลู่ชิงสีวางสัมภาระที่เขาถืออยู่ลงและเดินเข้าไปหาเธอ
“เจ็บมั๊ย? บาดแผลเป็นยังไงบ้าง?”
เขาเดินเข้ามาหาเธอและมองเข้าไปใกล้ ๆ ใบหน้าของเจียงเหยาที่ยังบวมแดงอย่างเห็นได้ชัด มีรอยฟกช้ำที่มุมปากของเธอ ลู่ชิงสีกำหมัดแน่นและคลายกำปั้นลงอย่างอีก
เขาไม่สามารถบรรยายความเจ็บปวดในใจออกมาเป็นคำพูดได้
ไม่มีคำพูดใดที่สามารถแสดงความโกรธของเขาได้
“ฉันนอนแล้ว แต่นอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่” เจียงเหยาเอื้อมมือออกไปและจับกำปั้นของลู่ชิงสี เธอตบเบา ๆ ที่มือของเขา
“ฉันสบายดี แผลอาจจะดูน่ากลัว หมอบอกว่าให้พักค้างคืนเพื่อดูอาการเฉย ๆ ถ้าไม่มีอะไร ก็ออกจากโรงพยาบาลไปพักที่บ้านได้แล้วล่ะ”
“ดีแล้วล่ะ” เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือของเจียงเหยา เธอใช้ปลายนิ้วแตะฝ่ามือเขาเบา ๆ ขณะที่บีบกำปั้นที่กำแน่นของเขาช้า ๆ ราวกับว่าเธอกำลังบอกเขาว่าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเธอ และเธอไม่เป็นไร
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าบาดแผลของเธอไม่ร้ายแรง แต่ลู่ชิงสีเจ็บปวดนักเมื่อมองดูเธอที่นอนอยู่บนเตียง
“นอนลง ให้ผมดูแผลที่หลังคุณหน่อย”
“ไม่เอา” เจียงเหยาเป้ปาก หลังจากที่เธอเข้ามารักษาที่โรงพยาบาล แม่เจียงและแม่ลู่ได้ช่วยเธอเปลี่ยนชุดเป็นชุดผ้าฝ้ายของโรงพยาบาล บาดแผลของเธอถูกทาด้วยไขผึ้ง ทำให้เธอไม่ได้สวมอะไรเลยภายใต้ชุดผ้าฝ้ายนี้
ลู่ชิงสีไม่รู้ว่าเจียงเหยาจะอาย เขาจ้องมองไปที่เจียงเหยาที่จิตใจกำลังล่องลอยไปที่อื่น เขาพยุงเจียงเหยาขึ้นเบา ๆ และปล่อยให้เธอนอนบนต้นขาของเขา ใบหน้าเธอหันไปทางพื้น เขาค่อย ๆ เอื้อมมือไปดึงเสื้อด้านหลังของเธอขึ้นโดยไม่รอช้า
ผ่านไปหนึ่งคืน บาดแผลที่หลังของเจียงเหยาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด บาดแผลถูกทาด้วยครีมเนื้อสีขาวและบาง่ส่วนแผลจางจนมองเห็นรอยแผลไม่ชัดแล้ว กระนั้นในสายตาของลู่ชิงสีก็ยังน่ากลัวอยู่ดี
“เจ็บมากไหม?” ลู่ชิงสีถามเสียงต่ำ หลังจากสังเกตเห็นเจียงเหยาที่นอนอยู่บนต้นขาของเขา สูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นเขาดึงเสื้อของเธอลง
“เจ็บสิ! เจ็บมากเลยล่ะ” แม้ต่อหน้าผู้อาวุโสทั้งสองบ้าน เธอจะบอกพวกเขาว่าไม่เป็นไร แต่เธอไม่ต้องการแสดงความเข้มแข็งและความอดทนต่อหน้าลู่ชิงสี