WS บทที่ 308 การเปลี่ยนแปลงในตระกูล PART 1
ในท้องฟ้าสีคราม ฝูงนกสีขาวบินไปมาเป็นครั้งคราว แต่งแต้มสีสันให้กับท้องฟ้าที่งดงาม
บนต้นไม้ต้นเล็ก ๆ ริมฝั่งแม่น้ำ ต้นกล้าเริ่มแตกหน่อเช่นกัน โดยทาสีริมฝั่งแม่น้ำสีขาวด้วยเฉดสีเขียว ราวกับฤดูใบไม้ผลิ
*หวู่ม!*
ร่างทั้งสองลงจอดบนพื้นดินที่ว่างเปล่า ดูเหมือนที่ที่นี่จะรกร้างไร้วี่แววคนอาศัยเป็นเวลานาน
“พ่อมดเมอร์ลิน ที่นี่คือเมืองปรากาซใช่หรือไม่?”
ร่างทั้งสองที่ปรากฏขึ้นในทันใด พวกเขาคือเมอร์ลินและพ่อมดแบมมู ก่อนหน้านี้ทั้งสองใช้การบินเดินทางมาที่นี่ ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องความเร็วในการบินของพ่อมดแบมมูนั้นสามารถบินได้อย่างสม่ำเสมอ แต่ถ้าด้านเมอร์ลิน ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เนื่องจากเขาต้องพึ่งพาเข็มขัดสีเขียว อุปกรณ์เวทมนต์แบบบินซึ่งมันใช้พลังเวทย์มากเกินไป
ดังนั้น ระหว่างทาง เมอร์ลินจึงหยุดเป็นระยะเกือบตลอดเวลา โดยอาศัยหินธาตุอย่างต่อเนื่องเพื่อเติมพลังเวทย์มนตร์ซึ่งพ่อมด แบมมูมองด้วยความสนใจ หากเขามีหินธาตุจำนวนมาก เขาไม่จำเป็นต้องคว้าทุกวินาทีเพื่อเติมเต็มพลังเวทย์ของเขา
เมอร์ลินเหลือบมองกำแพงเมืองที่คุ้นเคยตรงหน้าและพยักหน้าด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน “ใช่ นี่คือเมืองปรากาซ เราเข้าไปกันเถอะ!”
เมืองปรากาซยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ต่างจากคราวที่แล้วที่เมอร์ลินจากไป แต่เห็นได้ชัดว่ามีคนอยู่บนถนนมากขึ้น เผยให้เห็นเศรษฐกิจที่เฟื่องฟู
เมอร์ลินคุ้นเคยกับเมืองปรากาซเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาไม่นานในการค้นหาปราสาทวิลสัน เขาเห็นว่าปราสาทวิลสันได้ขยายวงออกไป บริเวณโดยรอบก็เต็มไปด้วยทหารรักษาการณ์ ดูสง่างามมากกว่าตอนที่เมอร์ลินจากไปในตอนนั้น
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของเมอร์ลิน ทั้งปราสาทวิลสันได้เปลี่ยนไปเป็นรูปลักษณ์ใหม่ทั้งหมด
"ดูเหมือนว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับปราสาทจริง ๆ ตอนนี้ตัวปราสาทได้รับการคุ้มกันโดยวงแหวนเวทย์แล้ว!”
ดวงตาของเมอร์ลินเป็นประกายเล็กน้อย ด้วยพลังจิตของเขา เขารู้สึกว่าทั้งปราสาทวิลสันได้รับการคุ้มครองโดยวงแหวนเวทย์ขนาดใหญ่
นักเวทย์ธรรมดา ๆ จะไม่มีความสามารถในการสร้างวงแหวนเวทย์ขนาดใหญ่ได้ ถ้าบอกว่านี่เป็นฝีมือของพ่อมดพเนจรก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน พวกเขาอาจจะไม่สามารถเข้าถึงองค์ความรู้ด้านอักรรูนด้วยซ้ำและก็คงไม่ใช่ฝีมือของเอ็มม่าและเลอแรนก้า ทั้งคู่เป็นเพียงนักเวทย์ระดับเริ่มต้นเท่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะทุ่มเทในการเพื่อศึกษาอักษรรูนในดินแดนมนต์ดำก็ยังเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะสร้างวงแหวนเวทย์ขนาดใหญ่เช่นนี้
นอกจากนี้ เมืองปรากาซเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ และไม่มีที่ตั้งทางยุทธศาสตร์หรือทรัพยากร ดังนั้นจึงเป็นสถานที่เล็ก ๆ ที่ไม่เด่นสำหรับอาณาจักรแบล็กมูน
แม้ว่าจะอยู่ภายใต้อำนาจของดินแดนมนต์ดำแต่ในความเป็นจริงแล้วเหล่านักเวทย์ของดินแดนมนต์ดำไม่ค่อยปรากฏในเมืองปรากาซเลย
เมอร์ลินไม่คิดไม่ออกจริง ๆ ว่าจะจะมาทุ่มเทสร้างวงแหวนเวทย์ขนาดใหญ่สำหรับปราสาทวิลสันไว้โดยเฉพาะ
“พ่อมดเมอร์ลิน วงแหวนเวทย์พวกนี้ทำหน้าที่ในการแจ้งเตือน ทันทีที่เราเข้าใกล้มัน คนข้างในจะได้รับรู้ถึงตัวตนของเรา ท่านต้องการให้ฉันทำลายมันทันทีหรือไม่ขอรับ?”
พ่อมดแบมมูที่ตามหลังเมอร์ลินถามอย่างแผ่วเบา ต่อหน้าบุคคลภายนอก เมอร์ลินยังปล่อยให้พ่อมดแบมมูเรียกเขาว่า ‘พ่อมดเมอร์ลิน’ เพื่อไม่ให้มีใครสงสัยในความสัมพันธ์ของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม พ่อมดแบมมู ยังคงมีจิตสำนึกที่ทาสควรมี สำหรับวงแหวนเทย์แบบนี้ พลังภายในต้องแข็งแกร่งกว่านี้มาก แม้ว่าพ่อมดแบมมูจะไม่ได้ค้นคว้าเกี่ยวกับอักษรรูนมากนัก แต่ด้วยความแข็งแกร่งของคาถาระดับเจ็ดของเขา แม้ว่าเขาจะต้องฝืนทำลายมัน แต่เขามั่นใจว่าสามารถทำลายมันได้
เมอร์ลินหยุดชั่วคราว ดวงตาของเขาเหลือบไปมองวงแหวนเวทย์และพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบ “จะทำลายมันงั้นหรือ? เห็นได้ชัดว่าวงแหวนเวทย์มันกำลังปกป้องปราสาทวิลสันอยู่ มาเถอะ เราเข้าไปข้างในกันก่อนดีกว่า เราจะได้รู้ว่าคนที่สร้างวงแหวนเวทย์พวกนี้เป็นใคร…”
หลังจากนั้น เมอร์ลินกับพ่อมดแบมมูก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปในปราสาทวิลสันด้วยกัน
…
ในลานกว้าง มีเก้าอี้ยาวสีแดงสองสามตัว มีนักเวทย์ชรานอนอย่างเกียจคร้านบนนั้น เป็นชายหนึ่งคนและหญิงหนึ่งคน อย่างไรก็ตาม พวกเขามีรูปลักษณ์ที่แปลกประหลาด ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยสักแปลก ๆ และมีต่างหูขนาดใหญ่ติดหู แค่เพียงสายตาที่พวกเขาจ้องก็ทำให้ขนลุกได้
“ฮิฮิ วันแบบนี้ช่างน่าอยู่จริง ๆ”
พ่อมดแก่ที่ค่อนข้างอ่อนแอกำลังหมุนไวน์แดงอยู่ในมือที่ผอมบางของเขา อาบน้ำท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่นบนเก้าอี้เอนหลังขนาดใหญ่ ท่าทางของเขาดูผ่อนคลาย
“หึหึ ไอ้แก่ขี้เหร่ ฉันรู้ว่ามันสบายแต่ถ้าเราไม่สามารถทำภารกิจที่องค์ชายแปดมอบหมายให้สำเร็จได้ พวกเราจะตายกันหมด!”
แม่มดอัปลักษณ์ข้าง ๆ เขา ได้เยาะเย้ยและแสดงให้เห็นฟันสีเหลืองเต็มปากซึ่งดูน่าเกลียดและน่าขยะแขยงมาก
“แม่มดเฒ่า แกยังกล้าพูดว่าฉันน่าเกลียดเหรอ? แม้ว่าฉันจะขี้เหร่ แต่ฉันก็ยังดูดีกว่าแก อย่างน้อย ๆ คนในปราสาทก็ทนฉันได้มากกว่าแกล่ะกัน”
“หนอย ไอ้แก่เอ๊ย!!” แม่มดดูเหมือนจะค่อนข้างโกรธและหันไปมองไปรอบ ๆ ผู้คุมและบริวารก็ถอยห่างออกไปทันที เห็นได้ชัดว่ากลัวพวกเขามาก
แม่มดกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้น ระลอกคลื่นก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าที่สงบในตอนแรกอย่างน่าประหลาดใจ การแสดงออกของสองนักเวทย์ชราก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ใครเข้ากันที่เข้ามาในปราสาท”
“ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร จับพวกเขาให้ได้ก่อนแล้วค่อยคุยกันทีหลัง เฮ้ แม่มดเฒ่า คราวนี้แกอย่าเพิ่งทำอะไร ให้รอคำสั่งจากฉันก่อน!”
นักเวทย์ชราทั้งสองมองหน้ากันและแสดงความตื่นเต้น
*พรึ่บ! หรึ่บ!*
จากนั้นทั้งสองยืนขึ้นทันทีและร่างอันบอบบางเหล่านั้นก็หายวับไปในชั่วพริบตา ราวกับปีศาจ
…
เมอร์ลินและพ่อมดแบมมูเข้ามาให้ปราสาทอย่างลับ ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน การหลีกเลี่ยงยามธรรมดาเหล่านั้นจึงง่ายดาย
ท้ายที่สุดแล้ว เมอร์ลินสามารถสร้างความสับสนให้กับคนธรรมดาจำนวนนับไม่ถ้วนด้วยภาพลวงตาธรรมดา ๆ ตราบใดที่บุคคลนั้นไม่มีพลังจิตที่แข็งแกร่ง เขาหรือเธอก็จะตกสู่ภาพลวงตา
“พ่อมดเมอร์ลิน มีคนกำลังมา ดูเหมือนว่าพวกเราจะถูกค้นพบแล้ว!”
พลังจิตของพ่อมดแบมมูจดจ่ออยู่กับสถานการณ์ภายในวงแหวนเวทย์ตลอดเวลา ตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาเข้าไปในปราสาทวิลสัน พ่อมดแบมมูรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถหลอกนักเวทย์ที่ติดตั้งวงแหวนเวทย์รูนได้
“หึหึ พวกแกไม่รู้หรือว่าที่นี่คือปราสาทวิลสันที่ได้รับการปกป้องโดยองค์ชายแปดของพระองค์เป็นการส่วนตัวแล้ว? ไม่ว่าพวกแกจะเป็นใคร หากกล้าเข้ามาที่แห่งนี้ พวกแกจะต้องถูกจับและคายแผนการออกมาให้หมด!”
นักเวทย์ที่น่าเกรงขามบินออกจากปราสาทวิลสันอย่างรวดเร็ว
“พลังรูน ควบคุมน้ำแข็ง ไป!”
เมื่อเห็นเมอร์ลินและพ่อมดแบมมู หนึ่งในนักเวทย์ก็ดูตื่นเต้นมาก พวกเขาไม่ได้พูดอะไรเลยในขณะที่เขาเอื้อมมือขึ้นไปบนฟ้าและชี้ขึ้นไป
ทันใดนั้นท้องฟ้าอันเงียบสงบก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท อักษรรูนลึกลับตกลงมาจากท้องฟ้าและกลายเป็นทรงกลมน้ำแข็งขนาดใหญ่ กำลังจะห่อหุ้มเมอร์ลินและพ่อมดแบมมู
ดวงตาของเมอร์ลินหรี่ลงเล็กน้อย นี่คือพลังของตัวอักษรรูน พวกมันมีพลังทั้งในด้านโจมตีและป้องกัน บุคคลธรรมดาไม่สามารถเข้าถึงศาสตร์ด้านอักษรรูนอย่างแน่นอน นอกจากนี้ นักเวทย์ทั้งสองดูเหมือนจะกล่าวถึง ‘องค์ชายแปด’ ด้วย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอีกฝ่ายได้เปิดฉากโจมตีไปแล้ว เมอร์ลินก็ไม่มีเจตนาที่จะอธิบายเช่นกัน เขาเอื้อมมือออกไปทันที ฝ่ามือที่มีผิวสีขาวจับลูกบอลน้ำแข็งขนาดใหญ่บนท้องฟ้า
“ฉันไม่คิดเลยว่าแกกำลังรนหาที่ตาย พลังอักษรรูนอันนี้เทียบได้กับพลังสูงสุดของคาถาระดับสาม แกไม่มีทางรับมือมันได้หรอก!”
เมื่อเห็นเมอร์ลินจับมันโดยตรงด้วยมือของเขา นักเวทย์ผู้น่าเกลียดสองคนก็แสดงสีหน้าเยาะเย้ย
“ม่านธรณี!”
ในไม่ช้า ร่องรอยของม่านแสงสีกากีก็ปรากฏขึ้นบนมือของเมอร์ลิน ซึ่งห่อหุ้มทรงกลมน้ำแข็งไว้อย่างง่ายดาย ทว่าลูกบอลน้ำแข็งทั้งหมดเป็นเหมือนของเล่นในมือของเมอร์ลิน ไม่สามารถทำอันตรายใด ๆ ต่อเขาได้
“ไม่เลว มันยังเทียบได้กับพลังของคาถาระดับสามและมันก็ไม่ได้ใช้พลังงานมากนัก นี่คือความยิ่งใหญ่ของอักษรรูน!”
เมอร์ลินรู้สึกถึงพลังของมันอย่างถี่ถ้วน เขารู้โดยธรรมชาติว่าทรงกลมน้ำแข็งถูกควบแน่นจากวงแหวนเวทย์ มันเป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของความรู้เกี่ยวกับอักษรรูน พวกมันมีพลังเทียบเท่ากับคาถา
ในสมัยโบราณ ในยุคที่รุ่งโรจน์ที่สุดของนักเวทย์ที่มีการพัฒนาศาสตร์ต่าง ๆ จนถึงจุดสูงสุด แม้แต่นักเวทย์ที่อ่อนแอ หากพวกเขาหรือเธอเชี่ยวชาญเรื่องอักษรรูน พวกเขาจะสามารถครอบครองพลังอันยิ่งใหญ่ได้
พลังของพวกเขามันขึ้นอยู่กับพลังของวงแหวนเวทย์!
อย่างไรก็ตาม วงแหวนเวทย์ประเภทนี้ที่สามารถโจมตีและป้องกันได้ นอกจากในดินแดนมนต์ดำกับหมู่เกาะเคิร์ดมันสลาแล้ว เมอร์ลินยังไม่เคยเห็นมันที่ไหนเลย ดังนั้นเขาจึงอยากรู้เรื่องนี้มาก
"ทะเลเพลิงแห่งการชำระ!"
หลังจากสัมผัสถึงพลังของทรงกลมน้ำแข็ง เมอร์ลินก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรมากที่จะต้องศึกษาเกี่ยวกับมัน ท้ายที่สุดมันก็ศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับอักษรรูน เมอร์ลินไม่มีเรี่ยวแรงที่จะศึกษาอักษรรูนเลย ดังนั้นเขาจึงเริ่มใช้คาถาธาตุไฟระดับสองในร่างกายของเขา นั่นคือทะเลเพลิงแห่งการชำระ มันยังนำพลังของเพลิงวินาศมาสู่มือของเขาโดยตรง ห่อหุ้มลูกบอลน้ำแข็งขนาดมหึมาทั้งหมด
*ครืน! ครืน! ครืน!*
เปลวไฟสีซีดปกคลุมทรงกลมน้ำแข็ง น่าแปลกที่น้ำแข็งทรงกลมกลายเป็นไอน้ำในชั่วพริบตา สลายไปในอากาศ นักเวทย์ทั้งสองต่างตกตะลึงเมื่อมองดูภพตรงหน้า
“ยัยแก่ ดูเหมือนว่าเรากำลังเจอศัตรูที่แข็งแกร่ง รีบจัดการพวกมันกันเถอะ!”
นักเวทย์น่าเกลียดสองคนเฝ้าดูขณะที่เมอร์ลินทำลายการโจมตีของพวกเขาอย่างไม่ตั้งใจ ดังนั้นการแสดงออกของพวกเขาจึงกลายเป็นเรื่องจริงจัง มือของพวกเขารีบเคาะอักษรรูนลึกลับออกมาทีละอันอย่างรวดเร็ว
อักษรรูนเหล่านี้ผสานเข้ากับท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว โดยการสัมผัสโดยใช้พลังจิตเท่านั้นที่จะแน่ใจได้ว่าอักษรรูนเหล่านี้เป็นพลังที่ระดมพลังแห่งวงแหวนซึ่งปกคลุมทั่วทั้งปราสาทวิลสัน
“พลังรูน ควบคุมไฟ!”
นักเวทย์ทั้งสองดูเหมือนจะใช้พลังของวงแหวนเวทย์รูนทั้งหมด ออร่าที่ผันผวนบนร่างกายของพวกเขานั้นอยู่ในระดับที่มากที่สุดของนักเวทย์ระดับสามเท่านั้น แต่ตอนนี้ ด้วยอักษรรูนที่พวกเขาสร้างขึ้น ท้องฟ้าทั้งหมดเริ่มแผดเผา ประกายไฟที่ควบแน่นเป็นประกายซึ่งคล้ายกับคาถาระดับสี่สูงสุด
*บูม!*
วงล้อเพลิงสีแดงขนาดใหญ่ก็ตกลงมาจากอากาศ พุ่งเข้าหาเมอร์ลินและพ่อมดแบมมูอย่างดุเดือด
พ่อมดแบมมูมองด้วยความตกใจ ขณะที่เขากำลังจะทำลายวงแหวนเวทย์ทั้งหมด เมอร์ลินก็เอื้อมมือออกไปขวางเขาไว้
“มันเป็นแค่คาถาระดับสี่เท่านั้น ม่านธรณี!”
เมอร์ลินไม่ได้แสดงสัญญาณของการล่าถอยแม้แต่น้อย เมื่อเห็นวงล้อเพลิงขนาดใหญ่บนท้องฟ้า รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขาแทน ดังนั้นเขาจึงรวบรวมพลังงานทั้งหมดของเขาและร่ายเวทมนตร์ธาตุ ระดับที่สอง ม่านธรณี
นี่เป็นคาถาที่หลอมรวมกับดินลาวา หลังจากฝึกฝนพลังปีศาจแพนโดร่า ผสานผืนพิภพ มันเป็นครั้งแรกที่เมอร์ลินได้ปลดปล่อยม่านธรณีอย่างเต็มที่ เมอร์ลินยังต้องการเห็นอีกว่าหลังจากคาถาได้หลอมรวมกับผสานผืนพิภพแล้ว พลังป้องกันของมันจะสูงขนาดไหนกันนะ?