WMR ตอนที่ 3 คาถาวอเทอร์บอล
“มิเชล เมื่อเรื่องนี้จบลง เราออกจากที่นี่และไปเฟเรลเดนกันเถอะ”
หลังจากแสดงความรักระหว่างพี่น้องสิ้นสุดลง พวกเขาก็ออกเดินทางอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศในทีมกลับแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง พวกเขาสื่อสารกันบ่อยมากขึ้นเช่นเดียวกับพี่น้องทางสายเลือด ความเย็นชาและน่าอึดอัดก่อนหน้านี้จางหายไปไม่เหลือแม้แต่นิดเดียว
“แน่นอน ข้าอยากออกจากที่นี่นานแล้ว” มิเชลตอบเสียงเบา
แน่นอนว่าความอบอุ่นนี้ไม่ได้มีกู้เป่ยรวมอยู่ด้วย
เขายังคงได้รับการปฏิบัติเหมือนเมื่อก่อน --- เชือกถูกผูกแน่นจนมือชา ขาสั่นจากการเดินอันยาวนาน และไม่มีสิทธิ์พูด หากเขาเปิดปาก แอนนี่ที่ดูยิ้มแย้มจะเฆี่ยนเขาด้วยแส้สองสามครั้ง
สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือดูเหมือนเขาจะสามารถโต้ตอบกับระบบได้เท่านั้น
"นี่ ลองบะหมี่ผัดแครอทสูตรโฮมเมดของฉันดูสิ"
“บะหมี่นี่มันหวานเกินไปจนทำให้ฉันปวดฟัน...”
กู้เป่ยขัดจังหวะ “นายคิดจะหาทางให้เราหนีบ้างไหม?
ระบบเงียบราวกับไม่เคยมีตัวตน
แน่นอน กู้เป่ยรู้ว่าเขาไม่สามารถพึ่งพาระบบที่ดูไม่ค่อยหน้าเชื่อถืออันนี้ได้ เขาถามคำถามกับระบบเพื่อให้มันเงียบก็เท่านั้น
เขาพูดกับตัวเองต่อไป:
“เราต้องคิดหาทางบอกทหารที่ตามมาโดยไม่ให้มิเชลสังเกตเห็น และฉันต้องแน่ใจด้วยว่าเธอจะไม่มีเวลามาฆ่าฉัน....”
ระบบหยุดชะงัก: "อัตราความสำเร็จต่ำเกินไป ทำไมท่านไม่ลองเกลี้ยกล่อมมิเชลดู อย่างน้อยอัตราความสำเร็จก็อยู่ที่ 25 เปอร์เซ็นต์"
“...”
กู้เป่ยคิดเกี่ยวกับข้อเสนอนี้อย่างจริงจังอยู่พักหนึ่ง และในที่สุดก็พูดกับระบบว่า: "ไปให้พ้น"
ทั้งสามยังคงเดินหน้าต่อไป ขณะติดตามมิเชลกู้เป่ยแสร้งทำราวกับจะตายตลอดเวลาเพื่อให้แอนนี่ย่ามใจ แต่จริง ๆ แล้วเขารู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่และแอบคิดหาวิธีหลบหนี
ทันใดนั้นเมื่อเขามองไปที่มิเชล ประกายแห่งแรงบันดาลใจก็จุดขึ้นในใจของเขา ไม่นานความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว
“ฉันต้องทำเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นโอกาสคงไม่มีอีกแล้ว”
แอนนี่รีบเร่งให้เขาเดินต่อไป แน่นอนว่าเขาทำตามอย่างเชื่อฟัง แต่ทันใดนั้นเขาก็หยุดเคลื่อนไหว แสร้งทำเป็นสลบและล้มลงกับพื้น
เขาหลับตาและไม่มีทีท่าว่าจะขยับ
มิเชลหยุดเดินแล้วหันกลับมา ขณะที่แอนนี่สังเกตกู้เป่ยอย่างใกล้ชิดครู่หนึ่งและส่ายหัว:
"เขาเป็นลม"
มิเชลไม่ได้พูดอะไร แต่ก้มหน้าครุ่นคิด ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“พวกขุนนางไร้ประโยชน์จริง ๆ”
แอนนี่ไม่พอใจและเตะกู้เป่ยอย่างแรง
กู้เป่ยอดทนต่อความเจ็บปวดและพยายามไม่สะดุ้ง
ขณะเดียวกัน เขาก็ได้เขียนคำว่า ----"คลังสมบัติ" ลงบนพื้นด้วยมือที่อยู่ด้านหลังของเขา
นี่คือสิ่งที่กู้เป่ยคิด: เขาจะแกล้งเป็นลมเพื่อทิ้งเบาะแสไว้ให้ทหารที่ตามมารู้ว่าจุดประสงค์ของมิเชลคืออะไร ด้วยเหตุนี้พวกเขาอาจไปดักรอซุ่มโจมตีอยู่ที่คลัง
เนื่องจากการเคลื่อนไหวของเขาถูกปกปิดไว้ดีพอ แอนนี่และมิเชลล์จึงไม่ได้สังเกตว่าเขาทิ้งรอยไว้บนพื้น
“ท่านคิดว่าสิ่งนี้จะช่วยได้จริง? แม้ทหารจะสังเกตเห็นเบาะแสนี้และไล่ตามมาทัน มิเชลก็ยังมีเวลามากพอจะฆ่าท่านอยู่ดี”
ระบบกล่าวในหัวของเขา
“ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย” กู้เป่ยคิดในใจ
อันที่จริง หากทหารสามารถซุ่มโจมตีและฆ่ามิเชลล์ที่กำลังตกใจได้สำเร็จ โอกาสรอดของเขาก็จะมีสูง ความพยายามจะเสียดสีของระบบไม่เป็นผล เนื่องจากเขาสังเกตเห็นว่ามิเชลเคร่งเครียดกับเรื่องนี้มากแค่ไหน ตระกูลลิเธอร์ควรมีความสามารถอยู่บ้าง
ดังนั้นเขาจึงหวังกับแผนนี้ไว้สูง
ทันทีที่กู้เป่ยทิ้งรอยไว้บนพื้น จู่ ๆ เขาก็ได้ยินคำพูดแปลก ๆ ที่เขาไม่เคยได้ยินหรือเข้าใจมาก่อนดังขึ้นมา
เป็นแอนนี่ที่กำลังร่ายคาถาบางอย่าง น้ำเสียงของเธอแตกต่างจากเสียงที่เธอพูดปกติอย่างสิ้นเชิง เสียงทุ่มต่ำแลดูลึกลับเหล่านี้ดังกังวานไปทั่วป่าราวกับมีมนต์แฝง มันทำให้กู้เป่ยอยู่ในภวังค์
เขาสัมผัสได้ว่าแม้แต่วิญญาณของเขาก็สั่นสะท้าน!
ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนอง ทันใดนั้นบอลน้ำก็ปรากฏขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่าทำให้เขาเปียกโชกทันทีส่งผลให้เขาไม่สามารถแกล้งสลบต่อไปได้
หลังจากที่ร่างกายสั่น ไม่นานเขาก็ "ตื่น" ขึ้น
“เปลืองพลังเวทย์ของข้าจริง ๆ” แอนนี่พูด ตอนนี้เสียงของเธอกลับมาเป็นปกติแล้ว
กู้เป่ยยังคงตกตะลึง
เมื่อกี้มันอะไรกัน? คำสาป? เวทมนต์?
แม้จากการสนทนาก่อนหน้ากู้เป่ยจะเข้าใจถึงการตั้งค่าของโลกนี้ และได้เรียนรู้ว่าทั้งมิเชลและแอนนี่เป็นผู้วิเศษ แต่อย่างไรก็ตามเขายังไม่เคยเห็นเวทย์มนตร์ของผู้วิเศษด้วยตาเขาเอง
ขณะที่ร่ายคาถา มันให้รู้สึกราวกับโลกทั้งใบพลิกกลับ
เวลาชะงักงัน ดินและต้นไม้ในระยะเอื้อมถึงพร่ามัวและดูห่างไกลออกไป ความกลัวและความตื่นเต้นในวิญญาณผสานเข้าด้วยกัน ทุกสิ่งรอบตัวเหมือน... เหมือน...
กู้เป่ยไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนี้อย่างไรดี
“เหมือนเป็นธรรมชาติมากขึ้น” จู่ ๆ ระบบก็พูดขึ้นในหัว
ใช่ เหมือนเป็นธรรมชาติมากขึ้น!
กู้เป่ยรู้สึกตื่นเต้น ขณะที่คาถาปรากฏขึ้นมันให้ความรู้สึกราวกับเขาเพิ่งได้คุยกับตัวตนที่แท้จริงของเขา
ความรู้สึกนั้นวิเศษพอๆ กับครั้งแรกของเขา แต่กลับลึกซึ้งและน่าจดจำยิ่งกว่าครั้งแรก เสมือนการผจญภัยที่น่าตกตะลึง แต่มันก็เหมือนความเจ็บปวดจากก้นบึ้งที่ไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน มันสร้างความรู้สึกที่เขามิอาจสั่นคลอนได้
ร่างกายของเขาหยุดสั่นไม่ได้
“นี่คือ.... เวทมนต์?”
กู้เป่ยอดพูดออกมาไม่ได้
เขาต้องการมากกว่านี้
ขณะเดียวกันเขาก็ยังจำเสียงที่เกิดขึ้นจากคาถาได้
“ใช่ มันคือเวทมนต์”
น่าแปลกที่แอนนี่ตอบสนองต่อเสียงพึมพำของกู้เป่ย
ราวกับคำพูดของเขาไปจี้จุด เธอเงยหน้าขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง:
“จะแปลกใจอะไรนักหนา? เจ้ากับพวกของเจ้าอยากตอกมันไว้ในโลงและฝังมันลงดินก่อนที่พวกเจ้าจะรู้เรื่องเวทย์มนตร์ด้วยซ้ำ! ดังนั้นเจ้าจะเข้าใจมันได้อย่างไร?”
กู้เป่ยกลับมารู้สึกตัวอีกครั้งและมองไปที่แอนนี่ด้วยความสงสัย
ดูเหมือนมีบางอย่างทำให้แอนนี่อารมณ์เสียเนื่องจากเธอพ่นคำพูดที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังออกมาทีละคำ:
“พวกเจ้ามันขี้ขลาด พวกเจ้านั้นกลัวสิ่งที่แตกต่างไปจากตนเอง เฉพาะเมื่อทุกคนกลายเป็นคนธรรมดาและไร้ประโยชน์เช่นเจ้าเท่านั้นพวกเจ้าถึงจะพอใจ แต่เจ้ากลับไม่ละอายเลยแม้แต่น้อย เจ้าสวมหมวกที่เรียกว่าอัจฉริยะครอบความชั่วร้ายของเจ้าเอาไว้ และใช้สิ่งที่เรียกว่าคนปกติเป็นเพียงข้ออ้างสำหรับทำบาป!”
ยิ่งพูดแอนนี่ก็ยิ่งดูเกรี้ยวกราด
“พอได้แล้วแอนนี่!”
มิเชลขัดจังหวะเธอ: "เจ้าจะพูดให้เขาฟังไปเพื่ออะไร?"
แอนนี่ตกใจและหยุดสิ่งที่เธอพูด เธอตระหนักว่าเธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เธอจึงมองมิเชลด้วยความกังวล:
“ขอโทษ ข้าอารมณ์เสียไปหน่อย”
มิเชลพยักหน้าและดูไม่สนใจ
"เราเสียเวลามามากพอแล้ว อย่าลืมว่าตอนนี้เราเป็นอาชญากรที่ศาสนจักรต้องการตัว" เธอเหลือบมองกู้เป่ยแล้วกล่าวอย่างเร่งรีบ: "ไปกันเถอะ"
แอนนี่พยักหน้าเห็นด้วย เธอหันกลับมาเตะกู้เป่ย และกระตุ้นให้เขาลุกขึ้นยืน
“รีบลุกขึ้นได้แล้วเจ้าตัวไร้ค่า!”
กู้เป่ยไม่ได้โกรธ เขากระทั่งไม่ตอบสนองต่อคำด่าของแอนนี่เลยด้วยซ้ำ ราวกับร่างกายของเขาอ่อนแอกว่าก่อนหน้าเล็กน้อยและติดตามมิเชลอย่างเชื่อฟัง
แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาในตอนนี้มีความสุขมากแค่ไหน
“อีกครั้ง! อีกครั้ง!”
เขาตะโกนใส่ระบบในหัวของเขา
ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเสียงกลไกอันเย็นเยียบจะทำให้เขาตื่นเต้นได้ขนาดนี้ เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีวันที่เขาไม่สั่งให้มันหุบปาก แต่ต้องการให้มันพูดมากยิ่งกว่านี้
ระบบที่ปกติช่างพูดดูเหมือนจะมีความเขินอายมาแทนที่ หลังจากครึ่งค่อนวันมันถูกบังคับให้พูดเพียงประโยคเดียว
ประโยคเดียวที่กู้เป่ยไม่เข้าใจเลยสักนิด
แต่นั่นก็ไม่สำคัญ เพราะนี่คือคาถาวอเทอร์บอล(บอลน้ำ)ของแอนนี่
ระบบได้บันทึกและจำลองทุกคำตามที่แอนนี่พูด
กล่าวอีกนัยหนึ่งเขาสามารถฟังคาถานี้ซ้ำ ๆ ได้ตลอดเวลา!
เมื่อคาถานี้ถูกเล่นโดยระบบ ความรู้สึกลึกลับและมหัศจรรย์อย่างที่เคยมีมาไม่มีอยู่อีกต่อไปราวกับมันเป็นเพียงเรื่องไร้สาระของคนบ้าเท่านั้น แต่กู้เป่ยไม่สนใจ เขารู้ว่ามันต้องการบางอย่างเพื่อเปลี่ยนสิ่งนี้ให้กลายเป็นคาถาที่แท้จริงและมอบพลังพิเศษให้แก่เขา
เขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะค้นหาตัวเร่งปฏิกิริยานั้นให้พบ
ใช่แล้ว นับตั้งแต่วินาทีที่เขาได้ยินคาถา กู้เป่ยก็ตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะเป็นนักเวทย์
ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการอำนาจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการได้เป็นตำนานอีกด้วย
ตั้งแต่ตอนที่เขาถูกย้ายมาที่นี่จนถึงตอนนี้ เขามักคิดอยู่เสมอว่าทำไมต้องเป็นเขา? ทำไมเขาถึงถูกพามาที่นี่? บางทีทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่เรื่องบังเอิญหมายถึงสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
และตอนนี้ เขาคิดว่าเขาได้พบคำตอบแล้ว
เขารู้สึกได้เลยว่าเวทมนตร์มันกำลังเรียกหาเขาอยู่
เขาได้หลุดพ้นจากชีวิตแสนธรรมดาที่เขามี เดินทางผ่านช่วงเวลาและมิติมายังพื้นที่ที่ไม่รู้จัก ไม่ใช่ว่านั่นดีกว่าจมอยู่ในฟันเฟืองของโรงงานที่เรียกว่าสังคมและเป็นเพียงคนธรรมดาหรอกเหรอ?
เช่นเดียวกับผีเสื้อที่กระพือปีกครั้งแรก กู้เป่ยในเวลานี้ราวกับเพิ่งออกจากรังไหมและพบจุดหมายของชีวิต
ตอนนี้ทั้งหมดที่เขาต้องทำคือจดจ่ออยู่กับคาถานี้
“นายสามารถพูดประโยคนี้ซ้ำได้ทั้งวัน ฉันจะไม่ขอให้นายหุบปากอีก”
กู้เป่ยเต็มไปด้วยความตื่นเต้นขณะที่เขาพูดสิ่งนี้
"...ท่านครับ ข้าสงสัยว่าท่านกำลังเป็นโรคสตอกโฮล์มซินโดรม1"
เสียงกลไกที่เย็นเยียบฟังดูราวกับหมดหนทาง
เช่นเดียวกับกู้เป่ยที่พยายามฟังคาถาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปลายอีกด้านหนึ่งก็มีคนกำลังเดือดอยู่ไม่แพ้กัน
ณ เมืองชั้นในของเฮเวนไรท์ ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนอันเงียบสงบและเคร่งขรึม
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์
ระหว่างเสาหินอ่อนสีขาว เสียงฝีเท้าที่แลดูเร่งรีบดังขึ้นก่อนมาหยุดอยู่ตรงโถงทางเดินของวิหาร วิหารในตอนกลางคืนว่างเปล่า แต่ให้ภาพลวงว่าเต็มไปด้วยผู้คน
“ท่านบิชอป มีบางอย่างเกิดขึ้นกับ 'มัน'!”
นักบวชหนุ่มหยุดและพูดด้วยความกังวล
“หลายปีผ่านไป ไม่มีปีไหนที่ ‘มัน’ ไม่สร้างปัญหา ดังนั้นเจ้าไม่ต้องตื่นตระหนกไป”
บิชอปตอบกลับอย่างเป็นกันเองและแลดูจะไม่ใส่ใจเรื่องที่รายงานเท่าไหร่นัก
เขายืนอยู่บนแท่นโดยหันหลังให้ทางเข้าหลักขณะก้มหน้าและพลิกอ่านหนังสือ เสื้อคลุมสีแดงขนาดใหญ่ของเขาถูกรีดอย่างประณีต
ซ้ายชวาของเขาเป็นที่นั่งสีดำล้วน ประกอบกับผนังสีขาวครีมทำให้มีความสมมาตรอย่างพิถีพิถัน และเมื่อรวมเข้ากับสีแดงเลือดที่อยู่ตรงกลาง มันก็ก่อทำให้เกิดภาพราวงานศิลปะที่มีชีวิตชีวา
แสงจันทร์ส่องผ่านบนกระจกสีลากเส้นหนาทึบบนหน้าต่างกระจกสีทีละเส้น
“ท่านบิชอป ครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิม!” นักบวชหนุ่มไม่สามารถสงบสติได้อีกต่อไป: “ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ ‘มัน’ เท่านั้น แต่วัตถุศักดิ์สิทธิ์ก็ยังผิดปกติ ยิ่งกว่านั้นเรายังได้รับคำพยากรณ์ด้วย!”
หยาดเหงื่อไหลผ่านหน้าผากของเขา
ในที่สุดบิชอปก็หันกลับมา เขามีจมูกงุ้มแหลมและจ้องเขม็งมาจากเบ้าตาลึกของเขา:
“การเปิดเผยได้รับการแปลแล้วหรือรึไม่?”
นักบวชหนุ่มพยักหน้า นอกเหนือจากความวิตกกังวลแล้ว ยังมีร่องรอยของความหวาดกลัวอย่างลึกซึ้งอยู่ในดวงตาของเขาอีกด้วย:
“แปลเสร็จแล้วครับ”
น้ำเสียงของบิชอปยังคงสงบดังเดิม “ไหนบอกข้าสิว่าได้ความอย่างไร?”
นักบวชกลืนน้ำลาย แอปเปิลของอดัม2ขยับขึ้นลง
เขาอ้าปากและพยายามสงบสติ แต่เสียงที่ออกมากลับทำให้เขาตกใจ เสียงของเขาแหบแห้งอย่างน่า ใจหายราวกับคนนอกศาสนาที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ดื่มน้ำในศูนย์ฟื้นฟูมาได้สามวัน
นี่คือคำที่เขาพูดทวน:
“พระองค์ตรัสว่า วันที่เจ็ด ระฆังสิ้นเสียง”
………….
โรคสตอกโฮล์มซินโดรม1 เป็นอาการของคนที่ตกเป็นเชลยหรือตัวประกันเกิดมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนคนร้ายหลังจากต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกันระยะหนึ่ง และอาจจะลงเอยด้วยการแสดงอาการปกป้องคนร้ายหรือยอมเป็นพวกเดียวกัน
แอปเปิลของอดัม2 ลูกกระเดือก