ตอนที่แล้ว大姐大 บทที่ 1465 กลุ่มสัตว์เลี้ยงของเสี่ยวหรวน 9
ทั้งหมดรายชื่อตอน

大姐大 บทที่ 1467 กลุ่มสัตว์เลี้ยงของเสี่ยวหรวน 11 (อวสาน) (ฟรี)


กำลังโหลดไฟล์

หลิวถิงทำหน้าแปลกๆ เมื่อเขามองไปที่รูปร่างหน้าตาของเสี่ยวหรวนแล้ว ดูเหมือนว่าน้ำลายของเขากำลังจะไหลออกมา

"นายทําอะไรน่ะ" เวินเหยียนดึงหลิวถิงออกไป "อย่าหัวเราะแปลกๆกับหลานสาวฉัน"

เนื่องจากเท้าของเวินเหยียนฟื้นตัวเต็มที่แล้ว เขาจึงมาที่ลั่วไห่เซิ่นเพื่อเดินเล่นบ่อยๆและพบเจอกับหลิวถิงด้วย

"รอยยิ้มของฉันแปลกตรงไหน นายอิจฉาเหรอ" หลิวถิงยิ้มเยาะ

"อิจฉาทำไม? นายไม่สบายรึเปล่า ใครอิจฉา?"

"แน่นอนว่านายต้องกินน้ำส้มสายชูของหลานสาวนาย เพราะนายพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของฉัน" ความไร้ยางอายของหลิวถิงไม่ใช่มีมาเพียงแค่วันสองวัน

"นายคงจะป่วย" เวินเหยียนถลึงตาใส่หลิวถิง

"อย่าโกรธเลย เซียวหรวนหรวนน่ารักมาก ตามความสัมพันธ์ทางสายเลือดแล้วถือว่าฉันยังชมนายทางอ้อมด้วยนะ" หลิวถิงมีใบหน้าขี้เล่นและไม่จริงใจ

"ไสหัวไป" เวินเหยียนหันหลังให้หลิวถิง เขาอุ้มเสี่ยวหรวนหรวนไว้ในอ้อมแขน แล้วไล่ให้หลิวถิงออกไปด้วยความรังเกียจ

หลิวถิงหันไปบอกเจี่ยนอีหลิงว่า "คณบดี เธอดูญาติเธอสิ ทําหน้าบูดทั้งวัน ไม่ช้าก็เร็วหน้าคงแก่ก่อนวัย”

เจี่ยนอีหลิงมักเห็นว่าหลิวถิงทะเลาะกับเวินเหยียนเป็นประจำ "นายหยุดแกล้งเขาได้แล้ว"

หลังจากหยอกล้อเวินเหยียนมาหลายปี ทำไมหลิวถิงถึงไม่รู้จักเหนื่อย เมื่อรู้ว่าเวินเหยียนอารมณ์เสียได้ง่าย เขาก็ยังคงแกล้งอีกฝ่าย ทั้งยังสนุกกับมันอีกด้วย

"ฉันจะแกล้งเขาได้ยังไง" หลิวถิงไม่ยอมรับ "ในฐานะแพทย์ ฉันยังห่วงใยสุขภาพร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยเสมอ"

เหตุผลไม่ตรงไปตรงมาและทำให้ความโกรธรุนแรงขึ้น

"ลุง อย่าโกรธ" เซียวหรวนหรวนตบหน้าอกของเวินเหยียน "ปลอบโยน"

“อือ ลุงไม่โกรธ” เมื่อถูกปลอบจากเสี่ยวหรวน เวินเหยียนจะโกรธได้ยังไง?

หลิวถิงเยาะเย้ย "เสี่ยวหรวนหรวน เธอเก่งมาก!"

"เธอไม่ได้สนใจเรื่องนี้" เวินเหยียนทำหน้าเคร่งขรึม

"ลุงอย่าส่งเสียงดัง" เซียวหรวนรวนโบกมือ โน้มน้าว

เธอเรียกเขาว่าลุงหลิวถิง

ตอนนี้เสี่ยวหรวนยังแยกลุงและอาของเธอไม่ออก

ดังนั้นนอกจากเจี่ยนหยุ่นโม่ที่เธอเรียกเขาว่าลุง ก็มีอารองของเธออีกคนคือจ๋ายอวิ๋นเฟิง ที่เธอก็เรียกเขาว่าอา

ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเสี่ยวหรวนหรวน เธออายุเพียงสองขวบและกำลังพยายามจดจําพี่ชายของตัวเอง

พี่ชายทั้งสามคนของเธอยังคงพอจําได้ แต่ญาติๆนั้นเธอยังไม่สามารถจำได้

หลัวซิ่วเอินเข้ามา ใช้สายตาเย็นชาบีบบังคับให้ทุกคนถอยออกไป "ไปๆ อย่ายุ่ง พวกนายห้ามโวยวายและรบกวนเรา”

เธอคว้าตัวเสี่ยวหรวนจากมือของเวินเหยียน

หลัวซิ่วเอินวางเสี่ยวหรวนหรวนไว้บนเบาะนุ่มที่มุมห้องปฏิบัติการ

นั่นคือสถานที่ที่พวกเขาสร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับเสี่ยวหรวน

คนในห้องแล็บจะผลัดกันดูแลเสี่ยวหรวนและเล่นกับเสี่ยวหรวน

ถึงแม้จะบอกว่าทุกคนช่วยเจี่ยนอีหลิงดูแลเสี่ยวหรวน แต่ในความเป็นจริงแล้ว เสี่ยวหรวนได้กลายเป็นแรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่สำหรับทุกคนในการมาทำงาน

เสี่ยวหรวนเหมาะสมที่จะอยู่ในแผนกส่งเสริมนักวิจัย

เพราะพวกเขาไม่ได้เพียงเล่นกับเสี่ยวหรวนเท่านั้น ในความเป็นจริงทุกคนพยายามที่จะให้เสี่ยวหรวนได้รับความรู้ในสาขาวิชาชีพของตัวเอง

เรียกอีกอย่างว่า เพื่อปลูกฝังงานอดิเรกเล็กๆน้อยๆให้เธอตั้งแต่อายุยังน้อย

เห็นได้ชัดว่าคนกลุ่มนี้แค่อยากให้เสี่ยวหรวนหรวนเรียนรู้จากพวกเขาในอนาคต

และเสี่ยวหรวนหรวนก็แตกต่างจากเด็กทั่วไป เธอไม่ชอบหนังสือเทพนิยาย ดังนั้นเธอจึงชอบที่จะฟังลุงและลุงกลุ่มนี้สอนเธอเกี่ยวกับความรู้และประวัติศาสตร์การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์

ต้องบอกว่ายีนของเจี่ยนอีหลิงนั้นแข็งแกร่งมาก ในแง่ของไอคิว เสี่ยวหรวนหรวนนั้นสืบทอดมาจากเจี่ยนอีหลิงอย่างสมบูรณ์ และความอัจฉริยะก็ถูกเปิดเผยออกมาตั้งแต่วัยเด็ก

คาดว่าน่าจะเป็นเจี่ยนอีหลิงคนที่สอง

คราวนี้พวกเขาต้องดูให้ดี จะปล่อยให้ลูกหมาป่าลักพาตัวไปเหมือนก่อนหน้านี้ไม่ได้

大姐大 บทที่ 1468 เสื้อกันหนาว

อากาศเริ่มเย็นลง

ปู่เจี่ยนมีลานดอกไม้ที่ล้ำค่าและหลากสีสันแล้ว

ดอกไม้บางชนิดจากทั่วโลกมีเฉพาะในสวนของเขา เพราะได้รับการปลูกเป็นพิเศษสำหรับเขาโดยหลานชายและหลานสาวของเขา

สำหรับดอกไม้นี้ ทำให้เพื่อนของปู่เจี่ยนต่างก็อิจฉาและเกลียดชังเขา

ล่าสุดปู่เจี่ยนค้นพบว่าหลานของตัวเองค่อยๆเริ่มใส่เสื้อคอเต่า ในสไตล์ที่คุ้นเคย

"ยายแก่ เสื้อกันหนาวที่เด็กๆสวมใส่เมื่อเร็วๆนี้ดูเหมือนจะใหม่ทั้งหมดใช่ไหม? ปู่เจี่ยนถามย่าเจี่ยน

“อือ หลานรักให้ผ้าลายใหม่พวกเขา” ย่าเจี่ยนทําหน้าเหมือนรู้อยู่แล้ว

"ผ้าใหม่?" ปู่เจี่ยนรีบถาม "ทําไมหลานรักไม่ได้ถักให้ฉันล่ะ?"

"ตาแก่ ใครว่าตอนนั้นไม่อยากให้หลานรักทำงานหนัก?"

"ยายแก่ กี่ปีแล้วคุณจําได้ยังไง?”

"ทำไม? แล้วคุณเปลี่ยนใจแล้วเหรอ? คุณยอมให้หลานรักทํางานหนักแล้วเหรอ?”

"อยู่ไหน ผมกำลังคิดว่า หลานรักต้องถักให้เด็กเหลือขอพวกนั้นน้อยลงหน่อย แล้วมาถักให้ฉันดีกว่า เพราะพี่น้องมีมากมาย แต่ฉันเป็นปู่เพียงคนเดียว” ปู่เจี่ยนมีใบหน้าที่ภาคภูมิใจ

"เอาล่ะ คุณอย่าอิจฉาหลานๆที่ได้เสื้อกันหนาว เสื้อกันหนาวของคุณหลานรักก็ถักให้คุณแล้ว" ย่าเจี่ยนยิ้มกว้าง

"เอ๊ะ? ถักเสร็จแล้วเหรอ? อยู่ไหน?” ปู่เจี่ยนไม่รู้เลย

"หลานรักให้ฉันแล้วเมื่อสองเดือนก่อน” ย่าเจี่ยนกล่าว

"ยายแก่ หลานรักให้คุณ ทำไมคุณไม่บอกผมแถมยังเอาไปซ่อนอีก” ปู่เจี่ยนบ่น

"อากาศยังไม่หนาวพอที่จะใส่เสื้อกันหนาว ฉันจะเอามาให้คุณทำไม คุณยังใส่ไม่ได้หรอก"

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องให้ผมดูได้ หลานรักของผมถักให้ผม!” ปู่เจี่ยนหาไม่เจอ “ตอนนี้อากาศหนาวแล้ว ได้เวลาสวมเสื้อกันหนาวแล้ว! คุณรีบเอาเสื้อกันหนาวที่หลานรักถักมาให้ผมเถอะ!”

"ตกลง ฉันจะเอามาให้คุณ คุณจะได้ใส่เสื้อกันหนาวที่ถักโดยหลานรักนอนในตอนกลางคืน"

"ถ้างั้นคุณก็ไม่ต้องดูแลแล้ว" ปู่เจี่ยนหัวเราะ ฮึ!ฮึ!

ย่าเจี่ยนเอาเสื้อกันหนาวที่เจี่ยนอีหลิงถักมาให้กับปู่เจี่ยน ปู่เจี่ยนเห็นแล้วดีใจมาก เขาถือไว้ในมือไม่ยอมวางลง

บางทีก็อย่างที่นายหญิงผู้เฒ่าพูด กลางคืนปู่ต้องนอนใส่เสื้อกันหนาว

สักพักหลังจากนั้น ปู่เจี่ยนก็นึกอะไรขึ้นมาได้ "ยายแก่เสื้อกันหนาวที่หลานรักถักในครั้งนี้มีให้กับเด็กเหลือกี่คน?"

"เกิดอะไรขึ้น? มีปัญหาอะไรรึเปล่า?”

"ไม่ ของเด็กเสี่ยวน่าวคนนั้น..."

ย่าเจี่ยนเข้าใจความหมายของปู่ทันที "คุณไม่ต้องกังวล เสี่ยวน่าวเองก็มีส่วนเช่นเดียวกันเพียงแต่ว่าเขาถักผ้าค่อนข้างช้า อาจจะต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะได้มา”

เสื้อกันหนาวของเจี่ยนอีหลิงถูกถักทีละตัว และจัดให้ตามลำดับความอาวุโส

ตัวแรกเป็นของปู่

เจี่ยนหยุ่นน่าวได้ทีหลังสุด

"ดีมาก ดีมาก" ปู่เจี่ยนพูดซ้ำๆ

มันหนาวจริงๆ เมื่อเร็วๆนี้เจี่ยนหยุ่นน่าวสังเกตเห็นว่าเสื้อกันหนาวของพี่ชายมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งแต่สียังคงเหมือนเดิม รูปแบบมีการเปลี่ยนแปลงเป็นรุ่นใหม่ที่นิยมมากที่สุดในปีนี้

ไม่ต้องถามเขาก็รู้ได้ว่าน้องสาวเป็นคนถัก

เจี่ยนหยุ่นน่าวก้มหัวลงเล็กน้อย ถึงแม้เขาจะรู้มานานแล้วว่าของตัวเองจะไม่มี แต่ก็ยังคงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

ในเวลานี้ จางหยุนกลับมาจากโรงพยาบาล ตอนนี้เธอเป็นหมอประจําสาขาเป่ยจิงของลั่วไห่เซินแล้ว

เธอถือถุงกระดาษอยู่ในมือ

ถุงกระดาษถูกวางไว้ตรงหน้าเจี่ยนหยุ่นน่าว

เจี่ยนหยุ่นน่าวอึ้งไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเสื้อกันหนาวที่ถูกหุ้มไว้ในถุงกระดาษ หัวใจของเจี่ยนหยุ่นน่าวเหมือนถูกกระแทกอย่างแรง แล้วความคิดหนึ่งก็พุ่งออกมา

เจี่ยนหยุ่นน่าวเปิดถุงกระดาษอย่างใจจดใจจ่อ

เสื้อกันหนาว เสื้อกันหนาวแบบเดียวกับพี่น้องคนอื่นๆ

สีฟ้า

นี่คือสีที่เจี่ยนอีหลิงเป็นคนเลือก

เจี่ยนหยุ่นน่าวกอดเสื้อกันหนาวไว้ในอ้อมแขนเขา

สัมผัสความนุ่มและความอบอุ่นของเสื้อกันหนาว

สุดท้าย...ในที่สุดเขาก็ได้อยู่ในใจเธอ เหมือนกับคนอื่น

น้องสาว......ในที่สุดเธอก็ยอมรับพี่ชายอย่างเขาอีกครั้ง

—----------------------------------------------------------------------------------

จากผู้แต่ง

นิยายจบแล้วค่ะ

เวอร์ชันกระดาษนั้นอยู่ในระหว่างเตรียมการ อาจมีฉบับพิเศษให้จัดพิมพ์

นอกจากนี้ มีแนวโน้มที่จะดัดแปลงเป็นฉบับการ์ตูน ซึ่งกำลังหารือเกี่ยวกับสัญญา โปรดคอยติดตาม~

—-----------------------------------------------------------------------------------

จากผู้แปล

ในที่สุดเรื่องนี้ก็แปลจบไปแล้วนะครับ อย่าลืมคิดถึงอีหลิงและย้อนกลับมารำลึกอ่านซ้ำอีกครั้งบ่อยๆนะครับ

อย่าลืมแวะไปเยี่ยมชม แฟนเพจนะครับ facebook.com/nosplusplus

แล้วพบกันใหม่

—-----------------------------------------------------------------------------------

โปรโมทเรื่องใหม่

หลังอ่านหนังสือ ฉันก็กลายเป็นขวดน้ำมันน้อย

ซูจิ่วเสียชีวิตในวันเกิดปีที่ 18 ของเธอ และเธอก็ได้เข้าไปในนิยายรักซาดิสม์และมาโซคิสม์เก่าแก่ และกลายเป็นเด็กน่ารักอายุ 4 ขวบ

 

เมื่อเด็กน้อยผู้น่ารักโตขึ้นมาเป็นนางรองตัวร้ายในหนังสือ ยังไม่พอ พ่อเธอยังเป็นคนที่ประสบกับความพ่ายแพ้ในชีวิต?

 

ซูจิ่วบอกว่าเธอต้องใจสลายเพราะพ่อคนนี้

 

“ป๊ะป๋า ห้ามกินไปมากกว่านี้ ระวังรักษารูปร่างให้ดี!”

 

“ป๊ะป๋า จะมีประกาศพรุ่งนี้เช้า เตรียมตัวให้พร้อม!”

 

“ป๊ะป๋า เป็นกำลังใจให้หนูหน่อยนะ! ไม่อยากหาแม่เลี้ยงให้หนูหน่อยเหรอ?”

 

“ป๊ะป๋า เขากำลังจะให้รางวัลป๊ะป๋าแล้ว รีบคิดคำที่จะพูดบนเวทีเร็วเข้า!”

 

ภายใต้การช่วยเหลือของเธอ พ่อของเธอได้กระโดดขึ้นมาจากดาวสีดำมืดสนิทดวงเล็กๆ ระดับ 18 จากโลกออนไลน์ ไปเป็นซุปตาร์แถวหน้าและหาเงินได้มากมายนับไม่ถ้วน ในฐานะทายาทเพียงคนเดียว ซูจิ่วมีทรัพย์สินนับพันล้านและมีความสุขกับชีวิตที่สวยงาม เธอสามารถกินอยู่รอความตายได้อย่างสบายใจ แต่…

 

เดี๋ยวก่อน สำหรับวายร้ายที่มืดมิด หวาดระแวง และโหดเหี้ยมในหนังสือเหมา ทำไมไม่ตามตื๊อนางเอก แต่กลับมากวนเธอแทน? Σ(°△°|||)

 

เธอไม่ได้คิดถึงเขาเพราะการที่เธอส่งความอบอุ่นไปให้เขาหลายครั้งเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็กหรอกนะ?

 

อีกอย่าง เขาไม่ใช่เครื่องหาเงินที่ไม่มีอารมณ์ไม่ใช่เหรอ ทำไมเขาถึงอยากทำน้ำจิ้มด้วย

 

 

หลายปีต่อมา บอสวายร้ายได้ปิดบังท้องฟ้าด้วยมือของเขาในธุรกิจและวงการบันเทิง กลายเป็นนายทุนของพ่อ!

 

ในฐานะที่เป็นพ่อที่บ้าลูกสาว ในที่สุดพ่อก็ตระหนักว่ามีหมาป่าตัวหนึ่งกำลังจับตาดูลูกสาวของตนเองอยู่ และเขาก็พยายามให้ความรู้ด้านความปลอดภัยทุกรูปแบบให้กับเธออย่างหวาดกลัว หวงชีวิตของลูกสาวและให้อยู่ห่างจากนายใหญ่

 

วายร้ายเยาะเย้ยอย่างเย็นชา “เสี่ยวจิ่ว แต่งงานกับฉันซะ ฉันจะให้ทุกอย่างกับเธอ แล้วชีวิตของเธอจะได้เป็นของเธอ มิฉะนั้น ฉันจะปิดกั้นพ่อของเธอ ปล่อยให้เขาตะเกียกตะกายถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้ และล้มลงอย่างน่าสังเวช!”

 

ซูจิ่ว "...???"

-----------------------------------------------------------------

บทที่ 1 ไอ้สวะนั่นเป็นพ่อหนูเหรอ

ค่ำคืนนี้ แสงไฟเมืองเจียงเฉิงก็เปิดขึ้น ไฟนีออนสว่างไสวที่ทางเข้าบาร์แห่งหนึ่งใจกลางเมือง ยามรักษาความปลอดภัยตัวสูงและแข็งแรงกำลังจ้องมองไปที่เด็กหญิงตัวเล็กๆ

ห้านาทีต่อมา เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยไม่ได้ตั้งใจจะจากไป ยามรักษาความปลอดภัยก็อดถามไม่ได้ว่า "หนูน้อย หนูหลงทางเหรอ"

"ไม่"

"แล้วทำไมหนูถึงอยู่ที่นี่?"

"หนูกำลังมองหาป๊ะป๋า"

"อะไรนะ" ยามรักษาความปลอดภัยรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า เด็กเล็ก 3-4 ขวบที่ยังไม่หย่านมคนนี้ มัดผมเป็นเปียเล็กๆสองเส้น สวมกระโปรงผ้าฝ้ายสีขาว ถือกระเป๋านักเรียนกระต่ายสีชมพู และถือกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ หนูน้อยมาที่นี่เพื่อตามหาพ่อจริงๆเหรอ?

หนูน้อยรู้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหน?

เด็กหญิงตัวน้อยชี้นิ้วเล็กๆที่ขาวและนุ่มนวลไปที่ประตูบาร์ กระพริบตาและพูดว่า "ป๊ะป๋าหนูอยู่ข้างในนั้น"

ยามรักษาความปลอดภัยรู้สึกว่าหนูน้อยน่ารักมาก ใบหน้าเล็กๆที่เหมือนหยกแกะสลักอย่างประณีตนั้น รวมถึงเสียงที่ยังไม่หย่านมน่ารักนั้น ทําให้หัวใจที่หยาบกระด้างของเขากลายเป็นอ่อนโยน ถ้าไม่ใช่เพราะหนูน้อยมีพ่อ เขาคงอยากลักพาตัวกลับไปเลี้ยงที่บ้านของตัวเองจริงๆ

"หนูแน่ใจนะว่าพ่อหนูอยู่ในนั้น อยากให้ลุงพาหนูเข้าไปหาไหม"

เด็กหญิงตัวน้อยกำลังจะตกลง แต่เมื่อเห็นประตูบาร์ถูกผลักเปิดออกและชายขี้เมาคนหนึ่งเกาหัวเดินออกไป หนูน้อยก็จำได้อย่างรวดเร็วว่านี่คือคนที่หนูน้อยกำลังมองหา...ซูเชิ่งจิ่ง

## เรื่องใหม่มาแล้ว รับรองสนุกไม่แพ้ หนูน้อยเปลี่ยนไปเป็นเจ้าพ่อ

"ขอบคุณลุง ป๊ะป๋าออกมาแล้ว"

ยามรักษาความปลอดภัยเหลือบมองชายคนนั้นด้วยสีหน้าซับซ้อนอย่างมาก "ไม่จริง ไอ้สวะนั่นเป็นพ่อของหนูเหรอ"

ซูจิ่วก็อยากจะถามเหมือนกันว่าชายคนนี้เป็นพ่อของหนูน้อยจริงเหรอ?

เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นลุงอ้วน

ซูจิ่วเป็นคนที่ค่อนข้างรักความสะอาด เด็กน้อยมองไปที่ "ลุงอ้วนวัยกลางคน" ที่กำลังเดินไปทางของตัวเองด้วยสีหน้ารังเกียจ

ซูจิ่ว เธออายุสิบแปดปี ทั้งสูงและหน้าตาดี คาดไม่ถึงว่าจะถูกฟ้าผ่าตายตอนได้รับการส่งตัวไปเรียนยังมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศจีน พอตื่นมาก็พบว่าตัวเองเข้าไปอยู่ในนิยายที่เธออ่านตอนว่างๆ เบื่อๆ ชื่อ "รักร้อนCEOเผด็จการ"

และกลายเป็นนางรอง ซูจิ่ว ที่มีชื่อและนามสกุลเดียวกันกับเธอ ตามเนื้อเรื่องปกติของนวนิยายของบอสจอมเผด็จการนี้ เมื่อนางรองนี้โตขึ้น นางจะแข่งขันกับตัวเอกหญิงแย่งตัวเอกชาย และทำเรื่องชั่วทุกประเภท สุดท้ายชีวิตของเธอก็ไม่จบด้วยดี

ปัจจุบันตัวเธอเองได้กลายเป็นนางรอง ซึ่งเมื่อตอนที่นางรองยังเป็นเด็ก นางได้ถูกทอดทิ้งในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่แรกเกิด และนางก็มีเล่ห์กลมากมายตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ต่อมานางถูกรับอุปการะจากพ่อแม่บุญธรรมซึ่งเป็นพ่อแม่ของนางเอก ในขณะที่นางรองได้แบ่งปันความรักของนางเอก นางก็พยายามทำร้ายอีกฝ่ายทุกวิถีทาง

เมื่อโตขึ้น นางรองก็ได้บังเอิญรู้ว่าใครเป็นพ่อแม่โดยกำเนิดของตัวเอง แต่นางถูกแม่แท้ๆ ทอดทิ้งอย่างไร้ความปราณีในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และนางจึงเก็บความแค้นไว้ เมื่อพ่อแท้ๆ ของนางไร้ความสามารถและทักษะ ทำให้นางรู้สึกขายหน้า นางจึงไม่ยอมรับพ่อแม่ของตนเอง และยิ่งหวาดระแวงต้องการครอบครองพ่อแม่นางเอกและพระเอกมากยิ่งขึ้น…

ซูจิ่วคิดว่าถ้านางต้องการอยู่ในโลกนี้ นางไม่ควรเดินตามเนื้อเรื่องของนวนิยายและเข้าไปพัวพันกับนางเอก

ดังนั้น นางจึงยอมรับความจริงที่ตนเองเข้ามาอยู่ในหนังสืออย่างรวดเร็ว และก่อนที่พ่อแม่บุญธรรมของนางเอกจะไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อรับเลี้ยงตัวนางเอง นางจึงมาพบกับพ่อก่อน

พ่อแท้ๆ ของเด็กหญิงตัวน้อยก็คือ ซูเชิ่งจิ่ง

เดิมเขาเป็นดารา เมื่อตอนที่เขาเป็นที่นิยมอย่างมาก ในงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อธุรกิจ มีคนได้เพิ่มส่วนผสมบางอย่างลงในไวน์ เขาเข้าไปในห้องพักด้วยความงุนงง พอดีมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามา และทุกอย่างก็เกิดขึ้น

เมื่อทารกในครรภ์อายุสามหรือสี่เดือน แม่แท้ๆ ของทารกก็รู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์และต้องการจะกำจัดออกไป แต่หมอบอกว่า ตัวนางเองมีร่างกายที่พิเศษ ถ้าหากทำแท้งแล้ว นางอาจจะไม่สามารถที่จะให้กำเนิดบุตรได้อีก นางจึงทำได้แต่คลอดทารกออกมาเท่านั้น

—------------------------------------------------------------------------------

(拖油瓶 ขวดน้ำมัน สแลงภาษาจีน หมายถึง ลูกที่ติดแม่มา ในสมัยโบราณ ภัยพิบัติทางธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้นเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้เกิดการพลัดพรากกันเป็นจำนวนมาก และโดยทั่วไปภูมิหลังทางครอบครัวของคนยุคโบราณก็ไม่ค่อยดีนัก หญิงม่ายแต่งงานใหม่เป็นเรื่องปกติ และเมื่อลูกของหญิงม่ายมีข้อบกพร่องสักสองสามอย่าง พวกเขาก็มักจะตำหนิตระกูลของสามีเก่า เพื่อหลีกเลี่ยงจากการเข้าไปพัวพันดังกล่าว สามีของหญิงม่ายจึงขอให้ใครสักคนเขียนบันทึกเมื่อแต่งงานกับหญิงม่าย ให้ระบุว่าลูกของอดีตสามีป่วยเมื่อพวกเขามาถึง และอุบัติเหตุใดๆ ในอนาคตจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสามีใหม่ ดังนั้น ผู้คนจึงเรียกบุตรของหญิงที่แต่งงานใหม่ว่า "ป่วยเรื้อรัง" เนื่องจากการออกเสียงที่คล้ายกันของ "拖有病(ป่วยเรื้อรัง)" และ "拖油瓶(ขวดน้ำมัน)" ต่อมาพวกเขาจึงถูกเรียกว่า "ขวดน้ำมัน")

บทที่ 2 ทำตัวออดอ้อน น่ารัก และร้องไห้สะอึกสะอื้น

แต่แม่แท้ๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะเลี้ยงดูลูกสาวที่เป็นนางรอง เด็กน้อยถูกส่งไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่นานหลังจากที่เธอเกิด และตั้งแต่นั้นมาแม่แท้ๆ ก็ระเหยหายไปจากโลกมนุษย์และไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย…

ตามที่เขียนไว้ในนิยาย ณ เวลานี้ ซูเชิ่งจิ่งอายุเพียง 24 ปี ยังเป็นจุดสูงสุดของชีวิตวัยรุ่น แต่ก็กลับทำลายตัวเองจนกลายเป็นแบบนี้

หลังจากที่เผชิญกับความสับสนเขาก็ทอดทิ้งตัวเอง อ้อยอิ่งอยู่บริเวณบาร์นี้ทุกคืน และผ่านวันเวลาไปอย่างเสื่อมโทรม

เมื่อตอนที่เขาอายุได้สิบแปดปี เขาก็ได้เดบิวต์ในฐานะหนุ่มหล่อที่สุดของโรงเรียนแห่งชาติ ภาพเขายืนอยู่ใต้ร่มไม้ในโรงเรียน มองย้อนกลับไปแล้วยิ้ม ยังคงเป็นเหมือนแสงจันทร์ที่สาดส่องอยู่ในใจของสาวๆหลายคน

แต่ผู้ชายคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าหนูน้อยเป็นตัวอะไรกัน?

ผมที่ยาวถึงคอยุ่งเหยิงเหมือนรังนก ไม่รู้ว่าตัดไปนานแค่ไหน ใบหน้าซีดเซียว รอยคล้ำใต้ตาเข้มเท่ากับแพนด้า หนวดเคราไม่ได้โกน และรูปร่างเขาอ้วนฉุ สวมเสื้อยืดสีขาวยับยู่ยี่ กางเกงชายหาด และรองเท้าแตะ เขาดูเหมือนคนที่หนีออกมาจากสลัม และดูแก่กว่าอายุจริงถึงสิบปี

ซูจิ่วรู้สึกไม่พอใจ และรังเกียจเป็นอย่างมาก

ในฐานะดารา เงื่อนไขด้านภาพลักษณ์ต้องผ่านก่อนใช่ไหม?

คนที่ไม่ใส่ใจภาพลักษณ์ของตัวเอง แม้ว่าหน้าตาจะดูไม่ดี แต่สภาวะจิตใจของพวกเขาก็ควรจะดี

ตอนนี้ซูเชิ่งจิ่งดูไม่เหมือนหนุ่มหล่อที่สุดของโรงเรียนแห่งชาติในตอนนั้นเลย

## ติดตามเรื่องราวของเด็กหญิงตัวเล็กได้ที่ thai-novel.com หรือ mynovel.co ได้เลยนะคะ

ยามรักษาความปลอดภัยลดเสียงลงพูดกับซูจิ่วว่า "หนูน้อย ลุงขอเกลี้ยกล่อมหนูให้รีบกลับบ้านเถอะ ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนดีอะไร สิบนิ้วเล็บดำของตนเองเขาก็ยังนับไม่หมด ถ้าหนูไปหาเขา บางทีเขาอาจจะขายหนูไปอยู่ซอกหลืบที่ไหนก็ได้นะ ที่นั่นจะต้องมีลุงป้าแปลกๆเยอะแยะเลย หนูไม่กลัวเหรอ?”

ซูจิ่วส่ายหน้า "ป๊ะป๋าไม่ใช่คนแบบนั้น"

หลังจากนั้น เธอก็ก้าวเท้าออก วิ่งไปที่ซูเชิ่งจิ่งซึ่งยังไม่ได้สังเกตเธอ และเธอก็ตะโกนอย่างไม่พอใจว่า "ป๊ะป๋า"

ซูเชิ่งจิ่งคืนนี้ดื่มเยอะไปหน่อย ทั้งร่างรู้สึกเวียนหัว ได้ยินเสียงเด็กน้อยแต่ขณะที่ยังไม่สามารถตอบสนองได้ทัน ต้นขาก็ถูกสองมือเล็กๆกอดไว้

ซูเชิ่งจิ่งมองลงไปก็เห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆอายุสามหรือสี่ขวบ เขาผงะและสมองก็ตื่นตัวขึ้นเล็กน้อย "หนูน้อยตะโกนเรียกฉันว่าอะไรนะ"

เด็กหญิงตัวน้อยเงยหน้าขึ้น มองเขาอย่างมีความสุข "ป๊ะป๋า"

ซูเชิ่งจิ่ง "..."

สาวน้อยคนนี้น่ารักมาก ดวงตาคู่นั้นทั้งโตและเป็นประกายราวกับองุ่นดำ ทั้งยังเหมือนลูกกวางแรกเกิด น่ารักแทบตาย

แต่ซูเชิ่งจิ่งไม่ค่อยมีความสนใจในเด็กเล็ก เขาขมวดคิ้วและพูดว่า "หนู ฉันไม่ใช่ ฉันจำหนูไม่ได้"

ซูจิ่วพูดอย่างจริงจังว่า "ป๊ะป๋าเป็นป๊ะป๋า หนูชื่อซูจิ่ว เป็นลูกสาวของป๊ะป๋า"

ซูเชิ่งจิ่ง "..."

หนูน้อยคนนี้รู้มาจากไหนว่าฉันเป็นพ่อของเธอ เธอรู้อย่างงั้นเหรอ?

อย่าคิดว่าเธอเป็นเด็ก ฉันไม่ระวัง แล้วจะโดนเธอหลอก

อยู่ๆ ก็มีเด็กมาเรียกเขาว่าป๊ะป๋าโผล่ขึ้นมาจากอากาศ จิตใต้สำนึกของซูเชิ่งจิ่งรู้สึกว่านี่คงไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงมองไปซ้ายขวา อยากรู้ว่าเด็กคนนั้นมีผู้สมรู้ร่วมคิดหรือไม่ เผื่อในกรณีที่มีคนหลายคนโผล่ออกมาและบอกว่าเขากำลังลักพาตัวเด็ก เขากระโดดลงไปในแม่น้ำเหลืองก็คงไม่สามารถล้างมลทินออกไปได้

ที่แย่ที่สุดก็คือการแบล็กเมลเขาเพื่อเงิน ตอนนี้เขาไม่มีเงินและกำลังจะกลายเป็นคนเร่ร่อนข้างถนนแล้ว

"ป๊ะป๋า ไม่ต้องการเสี่ยวจิ่วเหรอ? หวู..." ซูจิ่วกอดขาเขาและเริ่มร้องไห้

ในฐานะที่เป็นเด็ก การออดอ้อน น่ารัก และการร้องไห้เป็นอาวุธวิเศษสามอย่างที่จำเป็นในการจัดการกับผู้ใหญ่ ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งใช้ไม่ได้ผลก็ต้องใช้ทั้งสามอย่างรวมกัน

ซูเชิ่งจิ่งตัวแข็งทื่อ ราวกับว่าโดนฟ้าร้องฟ้าผ่า

นั่นไม่ถูกต้อง ยามรักษาความปลอดภัยที่อยู่ข้างๆ ดูรวยกว่าเขา แต่ทำไมเด็กคนนี้ถึงมารีดเงินเขา?

บทที่ 3 เด็กพิการทางสติปัญญาซูจิ่ว

"หนู…… ฉันขอบอกหนูว่าฉันไม่มีผู้หญิง และก็ไม่มีลูกด้วย เธอมาทางไหนก็กลับไปทางนั้น อย่าหวังว่าจะหาเงินจากฉันได้“ชูเชิ่งจิ่งเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง” กลับไปบอกผู้สมรู้ร่วมคิดกับหนูว่าการใช้เด็กก่ออาชญากรรมถือเป็นบาปร้ายแรงมาก ขอแนะนำให้หนูเปลี่ยนแปลงตัวเองจะได้พบฟากฝั่ง ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจ"

ซูจิ่วน้ำตาคลอ "หนูไม่มีผู้สมรู้ร่วมคิดและไม่ใช่นักต้มตุ๋น ป๊ะป๋าเป็นป๊ะป๋าหนูจริงๆ"

ซูเชิ่งจิ่งมองไปรอบๆอีกครั้ง แน่นอนว่าเขาไม่พบผู้สมรู้ร่วมคิด เป็นไปได้ไหมว่านี่เป็นเพียงเด็กหลงทาง ที่มีปัญหาทางสมองอยู่บ้าง?

ซูเชิ่งจิ่งเคยเห็นข่าวบางอย่าง เด็กพิการทางสมองบางประเภทที่เดินเตร่อยู่บนถนนจะโดนแก๊งขอทานจับและทำให้พิการแล้วโยนทิ้งไปบนถนนเพื่อขอทาน...แค่คิดก็หนาวแล้ว

"เด็กพิการทางสติปัญญา" ซูจิ่วกอดต้นขาเขาแล้วร้องไห้ต่อไป "ป๊ะป๋า หนูหาป๊ะป๋ายากมากเลยนะ ป๊ะป๋าอย่าหนูเลย เสี่ยวจิ่วมีป๊ะป๋าเป็นญาติเพียงคนเดียวนะ"

ซูเชิ่งจิ่งหายใจเย็นเยียบเข้าลึกๆ ให้ตายสิ ตัวเองเจอเด็กพิการทางสมองจริงๆ ที่ไม่รู้ว่าพ่อของตนเองเป็นใคร

ไม่มีทาง เขาสามารถพาซูจิ่วไปที่สถานีตำรวจที่อยู่ใกล้เคียงได้เท่านั้น

มีคนรู้จักซูเชิ่งจิ่ง เขากระซิบกระซาบกัน "ดูสิ นี่ไม่ใช่ซูเชิ่งจิ่งเหรอ ว่ากันว่าเขาเป็นสวะ น่าขยะแขยงแค่ไหน"

"ถูกแล้ว เขาตกเป็นข่าวซุบซิบเยอะแยะ ไม่รู้ว่ามีผู้หญิงกี่คน เมื่อหลายปีก่อนเขามีข่าวอื้อฉาวว่าเขาเคยเล่นกับคนหลายคนไม่ใช่เหรอ อื้อ น่าขยะแขยงชะมัด ต่อมาดูเหมือนว่าเขาจะถูกแจ้งความจากคนชื่อนางสาวอะไรสักอย่าง แล้วเขาก็เพี้ยนไปอย่างรวดเร็ว และบริษัทก็เลยบอกเลิกสัญญากับเค้า จ่ายเสียค่าเสียหายหลายสิบล้าน หลังจากนั้นเขาก็ถอนตัวออกจากวงการ..."

"ฮึ! ไอ้ขยะแบบนี้สมควรโดนหลอก"

ซูจิ่วหูตั้ง เมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขา เธอโต้กลับ "ป๊ะป๋าไม่ใช่คนแบบนั้น และพวกคุณก็ไม่ได้รับอนุญาตให้พูดแบบนั้น พวกคุณพูดจาไม่ดีลับหลังถือเป็นเรื่องที่ไม่สุภาพ"

ซูเชิ่งจิ่งอึ้งไป เขาก้มหน้ามองลงไปยังเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังโกรธ

โดยไม่มีเหตุผล หัวใจเขาพลันอบอุ่นขึ้นมาทันใด

ตั้งแต่สิ่งที่เรียกว่า "ข่าวคราวด้านมืด" ถูกปล่อยออกมา เขาก็กลายเป็นหนูข้ามถนน แล้วผู้คนจะตะโกนไล่และด่าว่าเมื่อเห็นไหม? เขาเคยได้ยินได้ฟังสิ่งเลวร้ายทั้งหมดมาแล้ว แต่เขาก็ยังได้รับความอบอุ่นอ่อนโยนจากความรักของคนอีกครั้ง

เด็กน้อยคนนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เป็นเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่เคียงข้างและพูดแทนเขา…

เมื่อถูกเด็กสั่งสอน พวกเขารู้สึกละอายใจและหยุดพูดทันที

ซูเชิ่งจิ่งจูงซูจิ่วเข้าไปข้างใน เจ้าหน้าที่ตำรวจต้อนรับเขา "มีอะไรงั้นเหรอ?"

ซูเชิ่งจิ่งมองไปที่ซูจิ่ว พูดกับตำรวจว่า "เด็กคนนี้มีปัญหาทางสมอง เธอเรียกผมว่าป๊ะป๋า ผมไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงของเธอ ไม่มีหนทางที่จะส่งเธอคืน คงต้องรบกวนคุณแล้ว"

## ติดตามเรื่องราวของเด็กหญิงตัวเล็กได้ที่ thai-novel.com หรือ mynovel.co ได้เลยนะคะ

"หนูบอกแล้ว ป๊ะป๋าเป็นป๊ะป๋าหนู"

เห็นเด็กหญิงตัวน้อยเงยหน้าขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เกิดความสับสนเล็กน้อยและถามอย่างไม่แน่ใจ "เอ่อ...ซูเชิ่งจิ่ง เธอเป็นลูกสาวของคุณหรือเปล่า"

"ไม่ใช่ เธอไม่ใช่ เธอมาที่นี่เพื่อรีดไถเงิน" ซูเชิ่งจิ่งพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ตำรวจ "..."

เด็กหญิงตัวน้อยคงไม่แตะเครื่องเคลือบ*ของสวะอย่างนายหรอกใช่ไหม แล้วนายล่ะ นายเคยท่อง ABC ในใจบ้างไหม?

(碰瓷 แตะเครื่องเคลือบ สำนวนจีน ความหมายเดิมมาจากการที่อันธพาลจงใจใช้เครื่องเคลือบลายครามตีคนและเครื่องเคลือบก็แตกหัก และก็ใช้ความเสียหายนี้แบล็กเมล์คน ดังนั้นการกระทำที่มีเจตนาที่จะแบล็กเมล์จึงถูกเรียกว่า แตะเครื่องเคลือบ)

"หนูไม่ได้แตะเครื่องเคลือบ ป๊ะป๋าเป็นป๊ะป๋าหนูจริงๆ"

เด็กหญิงตัวน้อยมองหน้าซูเชิ่งจิ่ง เธอมองตรงเข้าไปในดวงตาเขาโดยไม่หลบเลี่ยง ทำให้ซูเชิ่งจิ่งรู้สึกผิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ

เจ้าหน้าที่ตำรวจเสนอแนะว่า "คุณทำการตรวจ DNA กับเธอดีไหม ผมเห็นว่าหน้าเธอเหมือนคุณ ตากับจมูก...เหมือนแกะสลักออกมาจากพิมพ์เดียวกับคุณเลย"

บทที่ 4 การทดสอบความเป็นพ่อ 1

มาบอกว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเล็กน้อย เขาไม่เชื่อหรอก “หน้าเหมือนผมงั้นเหรอ สายตาคุณเป็นยังไง” ซูเชิ่งจิ่งโมโห “คุณตำรวจ บอกความจริงกับคุณ ผมไม่มีผู้หญิงเลย แล้วผมจะเอาลูกสาวมาจากไหน แถมยังโตขนาดนี้ นี่ไม่ชัดเจนอีกเหรอ?”

เจ้าหน้าที่ตำรวจชำเลืองมองเขา "นี่ อาจจะเป็นหนี้ความรักก้อนใหญ่ที่คุณเคยมีอยู่ แต่คุณจำไม่ได้ล่ะ"

"จริงๆนะ ผมไม่ใช่พ่อของเธอแน่นอน" ซูเชิ่งจิ่งรู้สึกผิด

ซูจิ่วพูดทันทีว่า "ป๊ะป๋าเป็นป๊ะป๋าหนู"

"ฉันไม่ใช่"

"ใช่แล้ว"

"ไม่"

"ใช่—-"

"หยุด" เจ้าหน้าที่ตำรวจทนดูต่อไปไม่ไหว เขาต้องขัดจังหวะทั้งสองคนและพูดกับซูเชิ่งจิ่งว่า "คุณอย่าทะเลาะกันเลย ไปทำแบบทดสอบความเป็นพ่อโดยตรงเลยคุณก็จะรู้ว่านี่ใช่ลูกสาวคุณหรือเปล่า"

## ติดตามเรื่องราวของเด็กหญิงตัวเล็กได้ที่ thai-novel.com หรือ mynovel.co ได้เลยนะคะ

"ได้ ถ้าผมถูกระบุว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอ ก็ให้ส่งเธอไป อย่าปล่อยให้เธอมายุ่งกับผม" หลังจากซูเชิ่งจิ่งพูดจบแล้ว เขาก็ไม่รอที่จะพาซูจิ่วไปที่ศูนย์ตรวจสอบเพ่ือตรวจดีเอ็นเอ

ผลการตรวจสอบจะใช้เวลาอย่างเร็วที่สุดสามชั่วโมง ซูเชิ่งจิ่งทำได้แค่นั่งรอตรงม้านั่งตรงทางเดินเท่านั้น ซูจิ่วอยากนั่งข้างเขา แต่เธอสูงไม่พอ เธอทำได้แค่ปีนขึ้นไป ฮึบ ฮึ ! แล้วนั่งข้างๆเขา

ซูเชิ่งจิ่งทำตัวเหมือนกับเผชิญหน้ากับศัตรู เขาย้ายไปด้านข้างทันที ไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับเกี๊ยวน้อยที่ไม่ทราบที่มา

ซูจิ่วทำหน้าน้อยใจ "ป๊ะป๋า..."

"หุบปาก ถ้ายังร้องโวยวายอีกฉันจะตีเธอแล้วนะ" ซูเชิ่งจิ่งขู่อย่างดุเดือด

ซูจิ่วเบะปาก เธอหยุดพูด เพียงแค่มองเขาอย่างน่าสงสาร

ซูเชิ่งจิ่งทนไม่ไหวแล้ว เขาเดินไปที่ม้านั่งตัวอื่นแล้วนั่งลงห่างจากเธอ

ไม่คาดคิดว่าซูจิ่วก็กระโดดลงจากม้านั่งทันที เธอวิ่งเหยาะๆ และพยายามปีนขึ้นไปบนม้านั่งแล้วนั่งลงข้างๆเขา ด้วยท่าทางที่ว่า "พ่อกับลูกสาวจะต้องทำตัวให้เป็นระเบียบเรียบร้อย"

ซูเชิ่งจิ่ง "..."

ช่างน่าปวดหัวจริงๆ

ช่างมันเถอะ ถ้าเธอจะนั่งกับเขา งั้นก็ปล่อยให้นั่งไป ตัวเองอย่าไปสนใจเธอก็พอแล้ว

สามชั่วโมงนั้นเป็นการรอที่นานมาก บวกกับเวลาดึกมาก ซูจิ่วเริ่มง่วงนอนตามสัญชาตญาณ หาวติดต่อกันหลายที ใช้มือเล็กๆขยี้ตา แต่พยายามทําให้จิตใจฮึกเหิม

ซูเชิ่งจิ่งเหลือบมองเธอ เห็นหัวเล็กๆ ของเธอเอียงลงทีละน้อย ทุกครั้งที่เธอกำลังจะหลับ เธอจะยืดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองหลับไป ท่าทางแบบนั้น… ต้องบอกว่าระดับความน่ารักนั้นสมบูรณ์แบบและทำให้คนอยากจุ๊บแก้มเล็กๆ ของเธอ

เมื่อตระหนักว่าตนเองคิดมาก ซูเชิ่งจิ่งรีบเบือนหน้าหนีและหยุดมองเธอ

ทันใดนั้น มือเล็กๆคู่หนึ่งก็โอบแขนเขาไว้ และเมื่อเขามองลงมา ซูจิ่วก็พิงแขนเขาและผล็อยหลับไป

ซูเชิ่งจิ่ง "..."

เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ไร้ความระมัดระวังขนาดนี้เลยเหรอ? หลับไปข้างตัวใครซักคนเลยงั้นเหรอ?

อยากผลักเธอออกไป แต่ยังไงก็ตาม เธอกอดเขาไว้โดยไม่ปล่อยมือ ซูเชิ่งจิ่งได้แต่กัดฟัน เขาไม่สามารถทำอะไรกับเด็กได้ จึงทำได้เพียงอดทนและทำหน้าที่เป็นหมอนอิงรูปคนให้เธอ

สามชั่วโมงต่อมา ซูจิ่วถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงตะโกนว่า "นี่คุณทำผิดพลาดบ้าอะไรหรือเปล่า"

เธอลืมตาขึ้น พบว่าของตัวเองนอนอยู่บนม้านั่ง ซูเชิ่งจิ่งหันหลังให้กับเธอ และตรงหน้าของพวกเขามีเจ้าหน้าที่ประเมินในชุดเสื้อกาวน์สีขาว

ซูเชิ่งจิ่งถือรายงานในมือ ด้วยความตกใจ มือเขาจึงสั่น "เธอเป็นลูกสาวของผมจริงๆ เหรอ?"

"ผมเป็นองค์กรที่เป็นมืออาชีพที่เชื่อถือได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะทำผิดพลาด ผลการทดสอบพบว่าคุณมีความสัมพันธ์แบบพ่อลูกกับเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ 99.9999 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแปลว่าเธอเป็นลูกสาวของคุณจริงๆ" เจ้าหน้าที่ประเมินมีสีหน้าบอกได้ว่า "ไม่ผิดไปจากที่คาด ไม่น่าประหลาดใจเลย"

ซูเชิ่งจิ่ง "...เชี่ย! !”

บทที่ 5 การทดสอบความเป็นพ่อ 2

เขามีความสุขที่ได้เป็นพ่อจริงๆ

"เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้" ซูเชิ่งจิ่งอารมณ์พลุ่งพล่าน

เขาจำไม่ได้จริงๆว่าตัวเองไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงตอนไหน แล้วมีลูกได้ยังไง? นี่มันไร้สาระเกินไปแล้ว

ผู้ประเมินพูดอย่างจริงจังว่า "มิสเตอร์ ผมขอแจ้งให้ทราบอย่างจริงจังอีกครั้งว่าผมเป็นมืออาชีพจริงๆ ถ้าคุณไม่เชื่อ คุณสามารถไปที่สถาบันอื่นเพื่อตรวจสอบได้"

ต้องตรวจสอบอยู่แล้ว เขาไม่เชื่อเรื่องภูติผีปีศาจชั่วร้ายนี้

ซูเชิ่งจิ่งวิ่งไปดำเนินการเพิ่มอีกสององค์กร แต่ยังไงก็ตามผลการประเมินก็ยังคงเป็น เขาและซูจิ่วเป็นพ่อลูกกัน

ซูเชิ่งจิ่งรู้สึกว่าโลกนี้เหมือนฝันจนเกินไป อยู่ๆ เขาก็มีลูกสาวขึ้นมาหนึ่งคนโดยไม่มีเหตุผล เขาไม่สามารถป้องกันตัวได้เลยแม้แต่น้อย

เขายังไม่สามารถยอมรับมันได้จริงๆ เมื่อนึกได้ เขาก็รีบถามซูจิ่วว่า "ใครคือแม่ของหนู"

ซูจิ่วส่ายหน้า "หนูไม่รู้"

เธอไม่รู้จริงๆ ไม่มีการเขียนที่ชัดเจนในนวนิยาย มีบอกไว้เพียงว่าเธอเป็นผลจากสัมพ้นธ์จากหยาดน้ำรักซูเชิ่งจิ่งและผู้หญิงคนหนึ่ง และนางรองก็ไม่ได้ไปตามหามารดาผู้ให้กำเนิดเมื่อเธอเติบโตขึ้น

ซูเชิ่งจิ่ง "..."

แม่คนนี้ขาดความรับผิดชอบเกินไป หลังคลอดออกมาแล้วก็ไม่สนใจ โยนเด็กให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไปโดยตรง?

เขาถามอีกครั้งว่า "ใครบอกหนูว่าฉันคือพ่อของหนู?"

ซูจิ่วคิดสักพักแล้วก็ให้เหตุผลว่า "ป้าผู้ดูแลบอกหนูว่า ก่อนจากไปแม่ได้บอกไว้ว่าป๊ะป๋าคือป๊ะป๋าของหนู ดังนั้นหนูจึงมาหาป๋ะป๋า"

แค่มาหาเขาแบบนี้เหรอ?

ซูเชิ่งจิ่งจินตนาการไม่ออกว่า เธอหนีออกมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และเดินไปตามถนน โชคดีเหลือเกินที่ไม่เจอคนเลวและอันตราย

ดวงตากลมโตของซูจิ่วเต็มไปด้วยน้ำตา เธอกอดต้นขาเขาแล้วสะอึกสะอื้นว่า "ป๊ะป๋า ป๊ะป๋าอย่าพาหนูกลับไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้านะ… หนูไม่อยากเป็นเด็กเถื่อนที่ไม่มีใครๆต้องการ"

ซูเชิ่งจิ่งกัดฟันแน่น "หนูวางแผนที่จะพึ่งพาฉันงั้นเหรอ ฉันขอบอกหนูว่าฉันไม่ใช่คนดี และฉันก็ไม่มีเงินเลี้ยงดูหนูเหมือนกัน"

## ติดตามเรื่องราวของเด็กหญิงตัวเล็กได้ที่ thai-novel.com หรือ mynovel.co ได้เลยนะคะ

"ป๊ะป๋า หนูกินไม่มาก เลี้ยงง่าย นอกจากนี้ ถ้าป๊ะป๋าไม่มีเงินเลี้ยงหนู หนูจะหาเงินเลี้ยงป๊ะป๋าเอง” ใบหน้าเล็กๆของซูจิ่วเต็มไปด้วยความจริงจัง

"พรูด” ซูเชิ่งจิ่งหัวเราะ

ฉันเชื่อในความชั่วร้ายของเธอ ใครจะไม่รู้ว่าการเลี้ยงลูกนั้นแพงมากในตอนนี้? ยังจะดิ้นรนอีก

เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ยังบอกว่าจะเลี้ยงเขาอีก ลำพังเพียงแค่เธอนะเหรอ?

หัวเราะให้ตาย

ซูเชิ่งจิ่งทำหน้าราบเรียบ "หนูวิ่งออกมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ไหน ฉันจะได้ส่งหนูกลับไป"

ซูจิ่ว "..."

เจ้าคนบัดซบ ไม่ต้องการลูกสาวตัวเองงั้นเรอะ?

สมควรแล้วที่จะเหลวแหลก

แต่ซูจิ่วก็สามารถเข้าใจหัวอกเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร หากทันใดนั้นก็มีลูกสาวขึ้นมาหนึ่งคน เขาก็จะต้องตกใจมากอย่างแน่นอน และไม่มีทางที่จะยอมรับได้ในทันที แต่ไม่เป็นไร เธอจะหาวิธีทำให้เขายอมรับตัวเองให้ได้

ซูจิ่วตัดสินใจถอยอำพรางรุก ดังนั้นเธอจึงทำตาแดงก่ำแล้วพูดว่า "ป๊ะป๋า ไม่เอาเสี่ยวจิ่วจริงๆ งั้นเหรอ เสี่ยวจิ่วจะทำตัวดีมาก ป๊ะป๋าอย่าส่งหนูกลับนะ โอเคนะ ป๊ะป๋า......"

เธอตะโกนป๊ะป๋า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใครได้ยินต่างก็พากันเศร้า คนเห็นต่างก็สะอึกสะอื้น

ทันใดนั้นหัวใจซูเชิ่งจิ่งก็อ่อนลง แต่เขาไม่สามารถเลี้ยงดูเธอได้จริงๆ และเขาก็ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงลูกยังไง คงจะดีกว่าที่จะส่งเธอกลับ

อย่างมาก… เขาก็ไปเยี่ยมเธอเป็นครั้งคราว และถ้ามีเงินอยู่ในมือ ก็ส่งไปสถานเลี้ยงเด็กกําพร้าให้ผู้อำนวยการดูแลเธอให้มาก

ทำแบบนั้นแหละ

ไม่ว่ายังไง เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเด็กคนนี้มาได้ยังไง ตัวเขาเองกลายเป็นพ่อเธอไปแล้วอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ จะให้เขารับผิดชอบมันไร้สาระสิ้นดี

คิดแบบนี้แล้ว ซูเชิ่งจิ่งก็ทำใจโหดเหี้ยม ขึ้นเสียงถามว่า "หนูมาจากไหน บอกฉัน ไม่เช่นนั้นฉันจะจากไปโดยไม่สนใจใยดีหนูเลย"

บทที่ 6 ป๊ะป๋าไม่ต้องการหนู

“ป๊ะป๋าไม่ต้องการหนูแล้ว หวู…” ซูจิ่วร้องไห้สะอึกสะอื้น และน้ำตาเม็ดใหญ่ก็ร่วงหล่นออกมาจากดวงตาคู่งาม

เมื่อเธอพูดชื่อสถานเลี้ยงเด็กกําพร้า ซูเชิ่งจิ่งก็บังคับตัวเองไม่ให้หันไปดูเด็กหญิงตัวน้อยร้องไห้ และหลังจากตรวจสอบที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือแล้ว เขาก็อุ้มเธอขึ้นและเดินไปที่สถานีรถไฟใต้ดินตรงหน้า ที่ตอนนี้เป็นเวลาตีห้า ซึ่งทันเวลารถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกพอดี

ระหว่างทางไปสถานเลี้ยงเด็กกําพร้า ซูจิ่วไม่ได้ร้องไห้หรือเกลี้ยกล่อมเขา เธอแค่โอบรอบคอของซูเชิ่งจิ่ง และฝังใบหน้าเล็กๆของเธอไว้ที่บริเวณคอของเขา ซึ่งทั้งคู่ไม่มีการพูดคุยกันแม้แต่น้อย เธอทำเพียงสูดดมกลิ่นของซูเชิ่งจิ่งเป็นครั้งคราวเท่านั้น

เมื่อเห็นเธอทำจมูกเหมือนลูกสุนัขติดแม่* ซูเชิ่งจิ่งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เธอกําลังทําอะไรอยู่?”

(小奶狗 ลูกสุนัขติดแม่ ลูกหมาไม่หย่านม ลูกหมาน้อย สำนวนจีน ปกติหมายถึง เด็กหนุ่มวัยอ่อนอายุประมาณ 20 ปี หน้าตาดี อ่อนโยนน่ารัก เชื่อฟังฝึกง่าย)

ซูจิ่วกระพริบตาปริบๆมองเขาด้วยดวงตาสีแดงโต และพูดอย่างเศร้าๆ “หนูแค่อยากจํากลิ่นของป๊ะป๋าไว้”

ซูเชิ่งจิ่ง "...."

ซูเชิ่งจิ่งรู้สึกหัวใจสั่นอย่างกะทันหัน

เด็กหญิงตัวน้อยฝังใบหน้าของเธอไว้ที่คอของเขาอีกครั้ง และคร่ำครวญ “ป๊ะป๋าจะเอาเสี่ยวจิ่วไปส่งที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า อีกหน่อยป๊ะป๋าก็จะไม่มาดูเสี่ยวจิ่วใช่ไหม? ยังไงก็ตามเสี่ยวจิ่วไม่อยากลืมป๊ะป๋า ดังนั้น เสี่ยวจิ่วต้องจํารูปร่างหน้าตาและกลิ่นของป๊ะป๋าเอาไว้”

## เรื่องใหม่มาแล้ว รับรองสนุกไม่แพ้ เธอเปลี่ยนไปเป็นเจ้าพ่อ

เมื่อได้ยินคำของเด็กน้อยซูเชิ่งจิ่งก็ตกตะลึง และทันใดนั้น ภายในก้นบึ้งของหัวใจ ก็ปรากฎร่องรอยของความขมขื่นขึ้นมา

ไม่ เขาไม่สามารถเป็นคนใจอ่อนได้ ซึ่งการเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องเล่นสนุก การเลี้ยงลูกต้องใช้เวลาหลายปี แล้วเขาจะรับปัญหาแบบนี้ได้อย่างไร

ซูเชิ่งจิ่งไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาทําได้เพียงหันหน้าไปมองทางอื่นแทน

ซูจิ่ว "...."

ดูเหมือนว่าพลังไฟจะยังไม่เพียงพอ!

หลังจากมาถึงสถานีแล้ว ซูเชิ่งจิ่งก็ลงจากรถไฟใต้ดินพร้อมกับซูจิ่วที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา และก็พบสถานเลี้ยงเด็กกําพร้าระหว่างทาง เขาจึงเดินไปที่ประตูและวางเธอลง “เข้าไปข้างในสิ”

ซูจิ่วไม่ขยับ และหันมาพูดกับเขาด้วยใบหน้าเล็กๆว่า “ป๊ะป๋า ขอหนูรอสักครู่ก่อนแล้วค่อยเข้าไปได้ไหม”

"...."

“ป๊ะป๋า กอดเสี่ยวจิ่วอีกครั้งได้ไหม?” ซูจิ่วขออีกข้อหนึ่ง

“โอเค” นี่ไม่ใช่คําขอที่มากเกินไป ซูเชิ่งจิ่งจึงย่อตัวลงมา แล้วเอื้อมมือออกไปกอดเธอ

เมื่อเห็นเด็กหญิงตัวน้อยมองมาที่ตัวเองด้วยน้ำตา ซูเชิ่งจิ่งก็มีความรู้สึกผิดอย่างมาก ราวกับว่าเขาทําอะไรบางอย่างที่ผิดต่อเธอ

เขาเม้มปากและปลอบอย่างตรงไปตรงมา “ที่จริงแล้วการส่งเธอกลับมาก็เพื่อตัวเธอเอง เพราะฉันเลี้ยงดูเธอไม่ได้จริงๆ และถ้ามาอยู่กับฉัน เธอไม่มีทางมีชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน เอาเป็นว่าถ้าฉันมีเวลาว่างก็จะมาดูเธอ และถ้าฉันมีเงินก็จะส่งให้เธอด้วย ฉะนั้น เธอต้องอยู่ที่นี่ ฉันเชื่อว่าพวกเขาจะดูแลเธอเป็นอย่างดี”

ซูจิ่วก้มศีรษะลง เธอเบ้ปากแล้วกระซิบด้วยปากเล็กๆ “...ต่อให้ดีแค่ไหน ก็ไม่มีป๊ะป๋า”

เธอจับมือเขาไว้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “ป๊ะป๋า เสี่ยวจิ่วจะอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ป๊ะป๋าจะมาหาหนูใช่ไหม?”

“อือ ฉันรับปากเธอ”

ถึงซูเชิ่งจิ่งจะพูดอย่างนั้น แต่ซูจิ่วก็ยังคงจับมือเขาไว้ไม่ยอมปล่อย และร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด

เด็กหญิงตัวน้อยไม่ได้ร้องไห้เสียงดัง เธอเพียงแค่ร้องไห้เบาๆ เหมือนสัตว์ตัวน้อยที่ถูกทอดทิ้ง ซึ่งดูน่าสงสารมาก

ความเปรี้ยวภายในหัวใจของซูเชิ่งจิ่งรุนแรงขึ้นมาก และเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี

ซูจิ่วแอบสังเกตสีหน้าของผู้ชายตรงหน้าด้วยหางตา และเมื่อเห็นว่าร่างกายของเขาแข็งทื่อ อีกทั้งยังยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่จากไปไหน เธอก็รับรู้ได้ว่าเขาเริ่มรู้สึกสั่นคลอนแล้ว

ดูเหมือนว่ากระบวนท่านี้จะใช้ได้ผล!

ซูจิ่วพยายามอย่างไม่ลดละ เธอเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาตัวเอง จากนั้นก็ปล่อยมือเขาและพูดอย่างเชื่อฟัง “ป๊ะป๋าไปเถอะ เสี่ยวจิ่วจะคิดป๊ะป๋า”

ซูเชิ่งจิ่งกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง และเตือนตัวเองว่าอย่าได้ใจอ่อน จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ฉันกําลังจะไป ส่วนเธอก็รีบเข้าไปได้แล้ว”

“หนูยังไม่ไป” ซูจิ่วส่ายหน้า และเริ่มขอบตาแดงอีกครั้ง “หนูอยากดูป๊ะป๋าไปก่อน เมื่อป๊ะป๋าไปแล้ว เสี่ยวจิ่วถึงจะเข้าไป”

บทที่ 7 ป๊ะป๋าที่ไร้ค่าเริ่มใจอ่อน

......เด็กคนนี้!

หัวใจของซูเชิ่งจิ่งเริ่มรู้สึกขมขื่นมากขึ้นเรื่อยๆ และหน้าอกของเขาก็หนักพอๆ กับหินก้อนใหญ่ ไม่…ถ้าเขายังไม่ไป เขาจะต้องเลี้ยงเด็กคนนี้จริงๆ หรือว่าเขาจะตกหลุมรักเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้เข้าเสียแล้ว

เขายังอยากหาภรรยาในอนาคตอยู่ แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะหาภรรยา ถ้าหากเขานําขวดน้ำมัน* ติดตัวมาด้วย ซึ่งเขาจะต้องเป็นคนโสดไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน

(拖油瓶 ขวดน้ำมัน สแลงภาษาจีน แปลว่า ลูกที่เกิดจากหญิงคนก่อน ลูกติดหญิงม่าย เพี้ยนมาจากคำว่า 拖有病 ซึ่งแปลว่า ป่วยเรื้อรัง)

เมื่อรู้สึกมึนงงกับตัวเอง ความหนักอึ้งในใจดูเหมือนจะสลายหายไปเล็กน้อย หลังจากนั้น ซูเชิ่งจิ่งก็หันกลับไปอย่างเด็ดเดี่ยว และรีบเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โดยทิ้งซูจิ่วไว้ข้างหลัง

หลังจากเดินออกจากสักระยะหนึ่งแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองอีกครั้ง ซึ่งเด็กหญิงตัวน้อยยังยืนอยู่ที่เดิม และกำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างตั้งใจ

เมื่อเห็นว่าเขามองมาที่เธอ ทันใดนั้น เธอก็วิ่งมาหาเขาแล้วกอดขาและพึมพําว่า “ป๊ะป๋า เสี่ยวจิ่วไม่เต็มใจที่จะให้ป๊ะป๋าไป แต่หนูจะคิดถึงป๊ะป๋า! จะเชื่อฟังป๊ะป๋าและอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกําพร้า ฉะนั้น ป๊ะป๋าต้องมาหาหนู...ไม่อย่างนั้น หนูจะเสียใจมาก”

หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็ปล่อยเขาไป และพยายามที่จะส่งรอยยิ้มที่สดใสให้เขาแล้วโบกมือ “ลาก่อนป๊ะป๋า!”

รอยยิ้มของเธอดูเหมือนจะคงอยู่ได้ไม่นาน เธอจึงรีบหันหลังกลับและเดินเข้าไปด้านใน

ช่วงเวลาที่ซูเชิ่งจิ่งเห็นเด็กหญิงตัวน้อยหันหลังไป น้ำตาของเธอก็ไหลพรากราวกับไข่มุกที่ร่วงหล่นลงมา ซึ่งทําให้หัวใจของผู้คนแตกสลายได้อย่างง่ายดาย

ซูจิ่วยังไม่ได้ยินเสียงของซูเชิ่งจิ่งจากไป แต่เธอไม่หันกลับไปมองเขาแม้แต่น้อย เธอเลือกที่จะเดินกลับไปพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย ในขณะที่เธอกำลังเดินไปที่ประตูสถานเลี้ยงเด็กกําพร้าและกําลังจะเข้าไป ก็มีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังขึ้นจากด้านหลัง

มุมปากของซูจิ่วกระตุกยิ้ม เพราะในที่สุด หัวใจของป๊ะป๋าก็อ่อนลงจนได้!

เมื่อกี้ซูเชิ่งจิ่งมองดูเธอร้องไห้เงียบๆและเดินกลับไป หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความเปรี้ยวและฝาด ซึ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดมาก เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้เกิดมาได้ยังไง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอเลือกได้ เพราะเธอยังไร้เดียงสา

ไม่ว่ายังไง เธอก็เป็นลูกสาวของเขา ซึ่งเธอหาวิธีและหาเขาจนเจอ และไว้วางใจที่จะพึ่งพาเขา และหวังว่าเขาจะพาเธอกลับบ้าน แต่เขากลับทอดทิ้งเธออย่างโหดร้าย และส่งตัวกลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกําพร้าอีกครั้ง...

ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องของคนเพียงคนเดียวอีก!

เมื่อถึงตอนนี้ ทันใดนั้น มือของเขาก็ไปสัมผัสรายงานผลการตรวจสอบที่ยัดอยู่ในกระเป๋ากางเกง และคำพูดของผู้ตรวจสอบก็ดังขึ้นข้างหูของเขาว่า ความเป็นไปได้ที่เขากับเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้เป็นพ่อลูกกัน คือ 99.9999 เปอร์เซ็นต์…

เมื่อนึกย้อนไปถึงดวงตาที่มีน้ำตาคลอเบ้าของเด็กหญิงตัวน้อย ซูเชิ่งจิ่งก็กำมือข้างหนึ่งเป็นกำปั้นและเม้มริมฝีปากบางจนแน่น ราวกับว่าเขาได้ตัดสินใจแล้ว จากนั้น เขาจึงรีบตามไปและกอดซูจิ่วอย่างรวดเร็ว

ซูจิ่วมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ป๊ะป๋า?”

ซูเชิ่งจิ่งพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ไม่ต้องกลับไปที่สถานเลี้ยงเด็กกําพร้าแล้ว ป๊ะป๋าจะพาลูกกลับบ้านเอง”

ฮู้ววว…บทละครขมขื่นนี้ประสบความสําเร็จ!

ซูจิ่วอยากจะชมเชยตัวเองจริงๆ แต่การแสดงออกของเธอไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย เธอยังคงดูน่าสงสารและพูดว่า “จริงเหรอ? ป๊ะป๋าจะโกหกเสี่ยวจิ่วไม่ได้นะ”

“ไม่โกหก เรากลับกันเถอะ”

ซูเชิ่งจิ่งพาเด็กหญิงตัวน้อยกลับไปที่ที่เขาอาศัยอยู่ในตอนนี้ ซึ่งเป็นอาคารที่อยู่อาศัยเก่าตั้งอยู่ในชุมชนที่ห่างไกล เมื่อมองไปรอบๆจะพบผนังที่เป็นสีเหลือง และมุมห้องที่ถูกปกคลุมไปด้วยไม้เลื้อยและตะไคร่น้ำ

## เรื่องใหม่มาแล้ว รับรองสนุกไม่แพ้ เธอเปลี่ยนไปเป็นเจ้าพ่อ

สายไฟที่ตัดขวางระหว่างอาคารพันกันยุ่งเหยิง ในตรอกมีกองขยะจํานวนมากที่ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา แสงสว่างก็มีไม่เพียงพอ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นตอนกลางวัน แต่ทางเดินก็มืดสนิทจนต้องเปิดไฟ ส่วนหลอดไฟก็สกปรกที่เต็มไปด้วยฝุ่นและซากของแมลง

ซูจิ่วอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา ป๊ะป๋าที่ไร้ค่าของเธออาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนี้เหรอ?

บทที่ 8 ถูกเด็กหญิงตัวน้อยรังเกียจ

เมื่อเห็นเด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนของตนเงียบมาก ซูเชิ่งจิ่งก็คิดว่าเธอกลัวความมืด เขาตบหลังเธอเบาๆ "ไม่ต้องกลัว ไม่เป็นไร"

ซูจิ่วกำลังนอนอยู่ในอ้อมแขนเขา ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไม่เคยมีมาก่อน

เป็นไปได้ไหมว่านี่คือความผูกพันทางธรรมชาติระหว่างคนสองคน ที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด?

## เรื่องใหม่มาแล้ว รับรองสนุกไม่แพ้ เธอเปลี่ยนไปเป็นเจ้าพ่อ

ในโลกเดิม เธอก็เติบโตขึ้นมาในสถานเลี้ยงเด็กกําพร้า และไม่รู้ว่าพ่อแม่เขาเป็นใคร ตอนนี้เธอมีป๊ะป๋าแล้ว สามารถชดเชยความรักจากครอบครัวที่ขาดหายไปได้แล้ว

ถ้าป๊ะป๋าคนนี้ดีกับเธอ เธอก็จะถือว่าเขาเป็นป๊ะป๋าของตัวเองและจะพึ่งพาเขาต่อไปในอนาคต

ซูจิ่วพูดอย่างน่าเอ็นดู "ที่นี่มีป๊ะป๋าอยู่ หนูไม่กลัวหรอก"

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ในใจของซูเชิ่งจิ่งก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ชัดเจน จนไม่สามารถพูดออกมาได้

เขาอุ้มเด็กน้อยเดินขึ้นบันไดท่ามกลางแสงไฟสลัวไปถึงชั้นหก หลังจากนั้นก็หยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกง และเปิดประตูเหล็กขึ้นสนิม

แคร็ก

เมื่อเข้าไปแล้ว ซูจิ่วรู้สึกเหมือนมีฝุ่นลอยเข้ามาปะทะใบหน้าของเธอ จนอดจามไม่ได้

จากนั้นเธอจึงมองขึ้นไปยังห้องตรงหน้า มุมปากเด็กหญิงตัวน้อยกระตุก

เชี่ย ที่นี่เป็นสถานที่ให้ผู้คนอาศัยอยู่งั้นเหรอ? ปล่อยให้สุนัขอยู่ก็ยังดูน่ารังเกียจ!

บ้านหลังนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ทำความสะอาดมาแปดร้อยปีแล้ว เฟอร์นิเจอร์ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นขี้เถ้า เพดานและผนังเป็นเชื้อรา และมีกลิ่นเหม็นอับอันไม่พึงประสงค์

ในห้องนั่งเล่น สิ่งของต่างๆ ของซูเชิ่งจิ่งถูกโยนทิ้งไปทุกที่ บนโต๊ะกาแฟมีชามและตะเกียบมากมาย อาหารที่ซื้อกลับบ้าน ห่อขนม กระป๋องเบียร์ และอาหารที่กินเหลือ บนโซฟาเต็มไปด้วยเสื้อผ้า และถุงเท้าเหม็นเต็มไปหมด บนพื้นก็เต็มไปด้วยขยะ

ซูจิ่วบีบจมูกแล้วพูดว่า "ป๊ะป๋า สกปรกมาก!"

ซูเชิ่งจิ่ง "..."

คําพูดโผงผางนี้ค่อนข้างรุนแรงอยู่บ้าง เขาถูกเด็กหญิงตัวน้อยรังเกียจเข้าแล้ว

เมื่อเห็นกางเกงในของตัวเองถูกโยนทิ้งบนโซฟาสองสามตัว ซูเชิ่งจิ่งก็วางซูจิ่วลงทันที แล้วรีบพุ่งเข้าไปซ่อนมันไว้ใต้โซฟา จากนั้นจึงหันกลับมาหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน "ลูกรอตรงอยู่นี้ เดี๋ยวป๊ะป๋าจะทําความสะอาดก่อน"

แต่บ้านก็สกปรกและรกเกินไปจริงๆ ชั่วขณะนั้นเขาทำอะไรไม่ได้เลย

ซูเชิ่งจิ่งต้องยอมแพ้ เขาพูดอย่างลำบากใจ "ถ้าอย่างนั้น… ทำไมลูกไม่ลองใช้เวลาสักพักหนึ่งมาทำความคุ้นเคยล่ะ?"

ซูจิ่วส่ายหน้าอย่างแรง "ไม่เอา สกปรก"

สภาพแวดล้อมแบบนี้ ไม่รู้เพาะพันธุ์แบคทีเรียมากี่ตัวแล้ว คนจะยังอาศัยอยู่ได้หรือเปล่า?

ซูเชิ่งจิ่ง "..."

คิดไปคิดมา ภูมิคุ้มกันของเด็กไม่ค่อยดีนัก ทั้งยังป่วยง่าย เขาไม่ได้ทําความสะอาดมาหลายเดือน และมักจะลืมทิ้งขยะเสมอ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะทําความสะอาดบ้าน

"ป๊ะป๋า หนูจะช่วยป๊ะป๋าทำความสะอาดเอง" ซูจิ่วพูดแล้ววิ่งเข้าไป เธอวางกระเป๋านักเรียนใบเล็กของตัวเองไว้บนโซฟาก่อน จากนั้นก็พับแขนเสื้อขึ้นแล้วจึงเริ่มเก็บขยะบนโต๊ะกาแฟอย่างตั้งใจ

เมื่อเห็นเธอทําความสะอาดโต๊ะกาแฟ แถมยังเอาผ้าขี้ริ้วมาเช็ดอย่างถูกวิธี ซูเชิ่งจิ่งจึงรู้สึกละอายใจขึ้นมาทันที

ปกติเขาขี้เกียจเกินกว่าจะทำความสะอาด แต่ตอนนี้เขามีลูกแล้ว ทั้งยังเป็นลูกสาวตัวน้อย ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนเมื่อก่อนได้อีก

อีกอย่าง เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่เทียบกับเด็กไม่ได้เลย มันน่าขายหน้าเกินไป ขนาดเขายังต้องดูแคลนตัวเอง

ซูเชิ่งจิ่งทำได้แค่ย้ายเก้าอี้มาวางไว้ที่ประตู หลังจากช่วยซูจิ่วล้างมือแล้ว เขาก็อุ้มเธอไปที่เก้าอี้ และยื่นมันฝรั่งทอดให้เธอห่อหนึ่ง "ลูกนั่งตรงนี้ ป๊ะป๋าจะทำความสะอาดให้เอง"

บทที่ 9 เป็นเด็กดี น่ารักมาก

หลังจากนั้น ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา ซูเชิ่งจิ่งก็ได้ทํางานอย่างหนักเพื่อทำความสะอาด และร่างกายของเขาก็ราวกับจะแยกออกจากกัน

เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีนายหญิงอยู่ในบ้าน

ไม่ว่าอย่างไร ใครจะอยากแต่งงานกับคนไร้ค่าอย่างเขา?

ยิ่งไปกว่านั้น ลูกสาวสุดที่รักของคนอื่นย่อมไม่ยอมแต่งงานมาเพื่อทําความสะอาดบ้านให้เขา ดังนั้น เขาจะต้องแบกรับความชั่วช้าที่เขาได้กระทำไว้ด้วยน้ำตา

ซูเชิ่งจิ่งทิ้งขยะทั้งหมดลงในถังขยะตรงทางเข้าทางเดิน และเมื่อเขากลับมา เขาก็เห็นเด็กหญิงตัวน้อยนอนอยู่บนที่วางแขนของเก้าอี้และหลับไป โดยที่มือข้างหนึ่งของเธอยังถือมันฝรั่งทอดที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งไว้ในมือ เมื่อคืนเธอไม่ได้พักผ่อน ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เธอจะง่วง

ซูเชิ่งจิ่งจ้องไปที่ใบหน้าเล็กๆ ของเธออย่างระมัดระวัง และยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอดูคล้ายกับตัวเองตอนเด็กๆอยู่หลายส่วน

ดูเหมือนว่าลูกสาวของเขาจะไม่หนีไปไหน

ที่ประตูมีลมแรง ซูเชิ่งจิ่งจึงอุ้มเธอขึ้นมา แล้วเดินไปที่ห้องนอนใหญ่ด้านใน จากนั้นก็วางเธอลงบนเตียงของตัวเอง และห่มผ้าให้เธออย่างเบามือ…

## ติดตามเรื่องราวของเด็กหญิงตัวเล็กได้ที่ thai-novel.com หรือ mynovel.co ได้เลยนะคะ

...

ซูเชิ่งจิ่งนอนอยู่บนโซฟาเป็นเวลานาน และตื่นขึ้นมาจากความหิวโหย

เขาลุกขึ้นนั่งอย่างงัวเงียแล้วมัดผมลวกๆเหมือนรังไก่ และเมื่อได้สติกลับมา เขาก็เห็นก้อนกลมๆ ที่นั่งอยู่บนโซฟา ซึ่งดวงตากลมโตใสใสคู่นั้นก็กําลังมองเขาอยู่

ดูเหมือนกลัวที่จะปลุกเขาให้ตื่น เธอทําตัวเป็นเด็กดีเชื่อฟังมาก และไม่ส่งเสียงดังออกมาแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นเขาตื่นแล้ว เธอก็ส่งรอยยิ้มสดใสทันที “ป๊ะป๋า ตื่นขึ้นมาแล้ว!”

“เอ่อ...อือ” ซูเชิ่งจิ่งไม่คุ้นเคยกับตัวตนใหม่นี้ จึงทำให้เขารู้สึกเขินอายเล็กน้อย “ลูกก็ตื่นแล้ว ว่าแต่หิวไหม?”

ซูจิ่วลูบหน้าท้องแบนราบของตัวเอง “หนูหิวมาก”

ซูเชิ่งจิ่งรู้สึกตัวอีกครั้งว่าตัวเองนั้นแย่มาก เมื่อตอนที่เขาอยู่ที่ประตูสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาบอกว่าจะพาเธอกลับบ้าน และนั่นคือการดูแลเธอให้ดี แต่เขากับมานอนหลับอย่างสบายใจ โดยการปล่อยให้เธอหิว

เด็กหญิงตัวน้อยไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อคืน ดังนั้น เธอคงจะหิวมาก

ซูเชิ่งจิ่งรู้สึกผิดเล็กน้อย “ลูกนั่งเล่นไปก่อนสักพัก แล้วป๊ะป๋าจะทําอาหารให้กิน”

ซูจิ่วพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ตกลง ขอบคุณป๊ะป๋า!”

ฮึก…เป็นเด็กดี น่ารักมาก!

เด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้าน่ารักมาก จนซูเชิ่งจิ่งรู้สึกว่าเลือดกําเดาของเขากำลังจะไหลออกมา

จู่ๆ เขาก็เริ่มสงสัยว่าใครคือแม่ของเด็ก เธอคงจะสวยมาก ไม่อย่างนั้นเธอจะให้กำเนิดลูกสาวที่น่ารักขนาดนี้ได้ยังไง?

อะแฮ่ม…ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเด็กยังคงหิว ดังนั้น ซูเชิ่งจิ่งจึงเดินไปที่ห้องครัวและเปิดตู้เย็น

ของข้างในตู้เย็นนั้นมีค่อนข้างเยอะ แต่พอเขาหยิบออกมา ก็พบว่ามันหมดอายุแล้ว

ซูเชิ่งจิ่ง "......"

เขามักจะไม่ค่อยอยู่บ้าน และแทบจะไม่ทําอาหารกินเองเลย พอเขาหิวก็จะสั่งอาหารกลับบ้าน ซึ่งตู้เย็นไม่ได้ถูกเปิดเป็นเวลานานแล้ว จึงทำให้เขาไม่รู้อะไรเลย

ซูเชิ่งจิ่งต้องอดทนต่อความเจ็บปวดโดยการโยนสิ่งที่หมดอายุลงในถังขยะ หลังจากนั้น ก็เดินออกจากห้องครัว และพูดกับเด็กหญิงตัวน้อยที่นั่งอยู่บนโซฟาอย่างเชื่อฟังว่า “ป๊ะป๋าอยากออกไปซื้ออะไรสักอย่าง ลูกอยู่บ้านคนเดียวได้ไหม?”

ซูจิ่วกระโดดลงมาจากโซฟาทันที “หนูอยากไปกับป๊ะป๋า”

ซูเชิ่งจิ่งรู้สึกหมดหนทาง “งั้นก็ไปกันเถอะ”

อันที่จริงเขาก็กังวลจริงๆ ที่จะทิ้งเด็กน้อยแบบนี้ไว้ที่บ้านตามลำพัง ฉะนั้น ก็ไปด้วยกันก็สิ้นเรื่อง

ซูจิ่ววิ่งเข้ามาอย่างมีความสุข และจับมือเขาไว้

ซูเชิ่งจิ่งพบว่า มือของเด็กน้อยนั้นนุ่มนิ่มและเล็กมาก ซึ่งมีขนาดเพียงครึ่งฝ่ามือของเขา ดังนั้น เธอจึงทําได้เพียงจับนิ้วของเขาไว้เท่านั้น

ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนและอ่อนโยน ได้โจมตีไปที่หัวใจของเขาอีกครั้ง

พ่อกับลูกสาวได้ออกไปข้างนอกด้วยกัน และเมื่อพวกเขาเดินลงมาข้างล่าง ซูจิ่วก็เห็นเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่ง

บทที่ 10 ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นใบ้

เขาดูอายุประมาณหกหรือเจ็ดขวบ มีเส้นผมสีดํายาว เขาสวมเสื้อแขนสั้นสีดําและกางเกงขายาวสีเบจ

อาจเป็นเพราะเด็กชายคนนี้ผอมเกินไป จึงทำให้เสื้อผ้าของเขานั้นหลวมมาก เด็กน้อยถือถุงพลาสติกสีดําขนาดใหญ่ไว้ในมือ และอีกมือหนึ่งก็กําลังคุ้ยถังขยะ เพื่อหาขวดน้ำแร่หรือกระป๋องจากในถังนั้น เมื่อเจอแล้วก็นำมาใส่ไว้ในถุงพลาสติกของตัวเอง

หลังจากค้นหาสิ่งที่ต้องการเจอแล้ว เขาก็หันไปรอบๆ และไปเปิดถังขยะอีกใบหนึ่ง ซึ่งท่าทางที่คุ้นเคยนั้นดูเหมือนจะทํามาหลายครั้งแล้ว

ซูเชิ่งจิ่งเคยเจอเขาหลายครั้ง และทุกครั้งที่เจอเด็กน้อยคนนี้ก็กำลังเก็บขยะอยู่เสมอ จากนั้น ซูเชิ่งจิ่งก็จูงมือซูจิ่วเดินไปพร้อมขมวดคิ้วและถามว่า “ทําไมเธอถึงเก็บขยะอีกแล้ว ครอบครัวของเธออยู่ที่ไหน?”

เด็กชายตัวน้อยไม่พูดอะไรออกมา เขาเพียงมองหน้าคนถามอยู่แวบหนึ่ง จากนั้น ก็มองไปที่ซูจิ่วที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วถอนสายตากลับ และก็ค้นหาสิ่งที่ต้องการในถังขยะต่อ

เพียงแค่ชำเลืองมอง ซูจิ่วก็ตกใจมาก

ดวงตาคู่นั้นช่างลึกล้ำเหลือเกิน เขายังเป็นแค่เด็กไม่ใช่เหรอ? ซึ่งกำลังอยู่ในวัยที่ไร้เดียงสา แต่ทำไมถึงได้มีดวงตาที่ลึกล้ำและคาดเดาไม่ได้เช่นนั้น ราวกับเป็นผู้ใหญ่

และมันเป็นประเภทที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน

ซูเชิ่งจิ่งหยิบกระเป๋าสตางค์ออกจากกระเป๋า เขาไม่ได้มีเงินมากนัก และยังต้องซื้อของใช้ประจําวันให้ซูจิ่วอีกในภายหลัง ซึ่งกลัวว่ามันจะไม่เพียงพอ เขาจึงหยิบเงินออกมาห้าสิบหยวนแล้วยื่นให้กับเด็กน้อย “เอาไปซื้อของกิน”

## ติดตามเรื่องราวของเด็กหญิงตัวเล็กได้ที่ thai-novel.com หรือ mynovel.co ได้เลยนะคะ

เด็กชายตัวน้อยตะลึงงันไปครู่หนึ่ง และดวงตาสีดําสนิทของเขาก็จ้องเขม็งไปที่เงินนั่น เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการมันมาก

แต่เขารู้ว่าไม่สามารถขอเงินคนอื่นได้ตามใจชอบ ดังนั้น เขาจึงไม่เอื้อมมือไปหยิบมันมา ริมฝีปากบางเม้มเข้ามากันจนแน่น

ซูจิ่วเอาเงินมาไว้ในมือเธอโดยตรงและยิ้มหวานให้เขา “พี่ชาย เอาเงินนี่ไปเถอะ แต่ถ้าคิดว่าเอาไปใช้ฟรีๆไม่ได้ ก็รอจนกว่าจะโตพอที่จะหาเงินได้ แล้วค่อยเอาเงินมาคืนป๊ะป๋า”

คําพูดนั้นทําให้เด็กชายตัวน้อยขยับตัว และพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้น เขาก็เอื้อมมือไปรับเงิน และมองเธออย่างจริงจัง

เธอย้ายมาใหม่เหรอ?

น่ารักจังเลย

หูของเขาแดงระเรื่อ เขาพยักหน้าอย่างเขินอายเล็กน้อย และรีบหลบสายตาของซูจิ่ว จากนั้น เขาก็เก็บเงินอย่างระมัดระวัง และหันไปหาถังขยะต่อ

เมื่อเดินออกไปนอกชุมชน ซูจิ่วก็หันกลับไปมองเขาอีกครั้ง ภายในใจของเธอรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

ให้เด็กตัวเล็กๆ ออกมาเก็บขยะแบบนี้ ชีวิตของเขาต้องลําบากมากใช่ไหม?

เธอจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ป๊ะป๋า เขาเป็นใคร?”

“เขาอาศัยอยู่ในตึกของเรา และยังเคยได้ยินคนพูดว่าเขาเป็นใบ้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่ป๊ะป๋าก็ยังไม่เคยได้ยินเขาพูดออกมาเลย”

“ทำไมเขาต้องมาเก็บขยะ ครอบครัวของเขายากจนเหรอ?”

“มีคนอาศัยอยู่ที่นี่ไม่มากนัก รวมถึงป๊ะป๋าด้วย” ซูเชิ่งจิ่งรู้สึกละอายใจเล็กน้อยและมองลงมาที่ซูจิ่ว “ลูกรังเกียจป๊ะป๋าไหม?”

ซูจิ่วส่ายหน้าและเงยหน้าขึ้นยิ้มให้อย่างสดใส “แน่นอนว่าไม่ ป๊ะป๋าเป็นป๊ะป๋าที่ดีที่สุดในโลก!”

เพียงแค่ประโยคเดียว ก็สามารถทําให้หัวใจของซูเชิ่งจิ่งอ่อนตัวลงกลายเป็นแอ่งน้ำได้อย่างง่ายดาย

ใช้ได้! จากนี้ไปเขาจะต้องรับผิดชอบและพยายามเลี้ยงดูเธอให้ดีที่สุด!

เมื่อมาถึงซูเปอร์มาร์เก็ต ซูเชิ่งจิ่งก็เดินไปหยิบรถเข็น จากนั้นก็อุ้มซูจิ่วและวางเธอไว้ในนั้น

ใบหน้าเล็กๆ ของซูจิ่วแดงระเรื่อทันที ซึ่งตอนนี้เธอรู้สึกอายมาก

ตัวตนที่แท้จริงของเธอเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ตอนนี้กลับต้องมานั่งอยู่ในรถเข็นเหมือนเด็กทารก...ซึ่งมันน่าอายจริงๆ

เมื่อเห็นว่าซูจิ่วรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ซูเชิ่งจิ่งจึงคิดว่าเธอไม่ชอบนั่ง เขาจึงก้มศีรษะลงแล้วถามว่า “ป๊ะป๋าควรอุ้มลูกไหม?”

ซูจิ่วรีบส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกป๊ะป๋า หนูนั่งในรถก็พอ ป๊ะป๋าคงจะเหนื่อยมากแน่ๆ ถ้าอุ้มหนูไว้”

“......” ซูเชิ่งจิ่งสำลักทันที เขารู้สึกปลื้มปิติและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

ให้ตายสิ นางฟ้าตัวน้อยนี่อะไรกัน?

ช่างน่ารักจริงๆ

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ติดตามได้ที่เว็บไซต์นี้ ในตอนนี้ลงถึงตอนที่ 80+ แล้วนะครับ แล้วพบกัน NOS+

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด