ตอนที่ 69+70 ปัญหายุ่งยาก
ลู่ชิงสีสัมผัสได้ถึงความวิตกกังวลของเจียงเหยาจากคำอธิบายสั้น ๆ ของเธอ
เขาปลอบโยนเธอว่า “ผมเชื่อคุณ ผมรู้ดีว่าคุณเป็นคนยังไง” เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและนิ่งเงียบ
ความเงียบของเขาไม่ใช่เพราะสงสัยเกี่ยวกับในตัวของเจียงเหยา แต่เขากลับถูกเรื่องราวที่เธอเล่าทำให้ประหลาดใจอย่างที่สุด เขาพบว่าข่าวนี้ไม่น่าเชื่อ เพราะที่ผ่านมา จ้าวจวนซ่งเป็นคนที่รักใคร่ เสน่หาต่อลู่อี้ชิงมาตลอดหลายปี
“คุณต้องหาโอกาสคุยกับพี่สาวคุณเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูหน่อยนะ เธอสมควรรู้เรื่องนี้”
เจียงเหยาเงียบไปด้วยความลังเล ขณะที่เธอตรองดูว่าควรจะพูดอะไร แล้วจึงพูดออกมา
“ผู้ช่วยของเขา – ฉันหมายถึงผู้หญิงคนนั้น – จากสิ่งที่ฉันเห็น ตอนนี้ท้องของเธอใหญ่มากแล้ว ฉันคิดว่าไม่นานคงถึงกำหนดคลอดแล้วล่ะ จ้าวจวนซ่งไม่ได้บอกอะไรกับอี้ชิงเลย และยังเล่นละครเป็นสามีที่รักและห่วงใย เขากำลังคิดอะไรของเขาอยู่? เขาต้องการที่จะเป็นสามีที่ดีทั้งที่บ้าน และเป็นพ่อที่ดีในอีกบ้านงั้นเหรอ? หรือเขาจะแสร้งทำเป็นรับเด็กนั้นมาดูแล หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นคลอดลูก โดยให้อี้ชิงเป็นคนดูแลลูกนอกสมรสของเขา? ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง คนที่เจ็บปวดก็คืออี้ชิง”
“ได้ ผมเข้าใจแล้ว ผมจะคุยกับอี้ชิงเอง” ลู่ชิงสีกล่าว เขาคิดเกี่ยวกับวิธีที่จ้าวจวนซ่งปฏิบัติอยู่ในตอนนี้และขมวดคิ้ว เขาต้องบอกว่าการแสดงของเขานั้นเยี่ยมยอด ไร้ที่ติ จนไม่มีใครสงสัยเขาเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเจียงเหยาไปเห็นเขาเข้า คงไม่มีใครคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต
“ค่ะ” เจียงเหยาถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอเป็นกังวลเรื่องนี้มากว่าสองสามวันแล้ว
“คืนนี้ผมจะกลับไปที่กองทัพ ถ้าคุณอยากคุยกับผมก็โทรมาที่กองทัพนะ”
ลู่ชิงสีไม่ได้บอกเจียงเหยาเกี่ยวกับโทรศัพท์ที่โจวเหวยฉีรับปากว่าจะมอบให้แก่เขา เขาคิดว่าถ้าลงทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์แล้วค่อยบอกเธอจะเป็นการดีที่สุด
เขากลับเข้ามาในห้อง โจวเหวยฉีกำลังหลบอย่างกับลูกแมวที่กลัวอะไรสักอย่าง น่าตลกขบขันสิ้นดี เขาเลียนแบบเสียงของเจียงเหยาที่เรียกชื่อของลู่ชิงสี โดยพูดน้ำเสียงที่ดังจนหนวกหูและเต้นรำไปรอบ ๆ ราวกับนักแสดงโอเปร่าในปักกิ่ง
“ฉันไม่คิดว่าเธอจะร้องเพลงโอเปร่านะ” เฉินซวีเหยากล่าว พร้อมกับสายหน้าไปมา โดยไม่สนใจโจวเหวยฉี
ขณะที่พวกเขากำลังคุยกันในห้อง ลู่ชิงสีก็ผลักประตูและเดินเข้ามา เขาโยนโทรศัพท์คืนให้โจวเหวยฉีและนั่งลงที่นั่งของเขา
เฉินซวีเหยารู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นผิดปกติ เมื่อเห็นท่าทางที่มืดมนของลู่ชิงสี นั่นคืออารมณ์ของคนอารมณ์ไม่ดีชัด ๆ เป็นเพราะโจวเหวยฉีล้อเลียนเขาหรือเปล่า ที่ทำให้เจียงเหยาระบายความโกรธของเธอไปที่ลู่ชิงสี?
ชิงสี เป็นอะไรไป?” เฉินซวีเหยาเทชาลงในถ้วยของลู่ชิงสี และถามด้วยรอยยิ้มที่น่าพึงพอใจ
“เจียงเหยาโกรธหรือเปล่าที่ถูกเหวยฉีหยอกน่ะ?”
“เปล่า” ลู่ชิงสีส่ายหน้าขณะที่เขาเอื้อมมือไปคว้าถ้วยน้ำชา
“เธอไม่ได้โกรธ เธอแค่บอกเรื่องบางอย่างของครอบครัวให้รู้”
ที่บ้าน เกิดอะไรขึ้น?“เหลียงเหยี่ยจือถาม”เกิดเรื่องยุ่งยากเหรอ?”
“ที่ยุ่งยากน่ะคือความสัมพันธ์ที่ของคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่ตัวของปัญหา” ลู่ชิงสีกล่าวอย่างแผ่วเบา จากนั้นเขาก็คว้ากุญแจรถและเคาะที่นั่งของโจวเหวยฉี “ฉันจะกลับกองทัพก่อน อย่าลืมส่งโทรศัพท์มาให้ฉันที่กองทัพล่ะ อีกอย่าง อย่าโทรไปกวนภรรยาของฉันอีก ถ้ายังทำอีกล่ะก็ ฉันไปหานายแน่”
“ได้ ได้ ได้! รับทราบครับ” โจวเหวยฉีพึมพำอย่างเร่งรีบ
...
ลู่ชิงสีออกจากร้านอาหารหลงเถิง แล้วตรงไปยังกองทัพ ใช้เวลาเกือบ 4 ทุ่ม กว่าจะถึงกองทัพ
เขาไม่ได้ตรงเข้าไปในห้องพัก แต่เขาตรงไปยังห้องทำงานของเขา
ห้องทำงานของเขาเป็นห้องเดียวของตึกที่ยังมีแสงสว่าง ลู่ชิงสีเปิดลิ้นชัก หยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งซอง แล้วจุดไฟอย่างเชี่ยวชาญ
เขาสูบบุหรี่ก่อนที่จะแต่งงานกับเจียงเหมา ต่อมา เขามารู้ว่าเธอเกลียดกลิ่นบุหรี่ เขาจึงเลิกสูบ ทว่าหากเครียดจัดหรือกระวนกระวายใจจนไม่สามารถรับมือได้ เขาก็จะสูบ ดังนั้นจึงเหลือบุหรี่อยู่มากมาย หลังจากตอนนั้น
บุหรี่ถูกจุดและคาบไว้ที่มุมปากของเขา ในขณะที่เขาจ้องไปที่โทรศัพท์บนโต๊ะของเขา พร้อมกับจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากลู่อี้ชิงรู้เกี่ยวกับการทรยศของสามีของเธอ
หลายนาทีต่อมา หลังจากทีเขาสูบบุหรี่เสร็จแล้ว เขาโยนทิ้งก้นบุหรี่ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และกดหมายเลขโทรศัพท์โทรออกหาลู่อี้ชิง
ลู่อี้ชิงยังไม่หลับ เธออยู่ในครัว กำลังต้มซุปให้กับสามีที่อยู่ทำงานจนดึกและจะกลับบ้านในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า
เมื่อโทรศัพท์ดังขึ้น ลู่อี้ชิงมองหมายเลขโทรศัพท์ที่โทรเข้ามา เธอแปลกใจอยู่บ้าง เธอจำหมายเลขโทรศัพท์ของสำนักงานลู่ชิงสีได้
“ว้าว วันนี้หมูคงบินได้? นายโทรมาหาฉันเหรอเนี้ย” ลู่อี้ชิงพูดแหย่น้องชายของเธออย่างมีความสุข
“มีอะไรอย่างงั้นเหรอ?”
ลู่ชิงสีเปิดปากของเขา ต้องการจะเริ่มพูดเรื่องของจ้าวจวนซ่ง แต่เขาก็เงียบไว้อีกครั้ง เขากลับคิดอีกครั้ง แล้วจู่ ๆ ก็ถามขึ้นว่า
“พี่ พี่คิดว่าเจียงเหยาเป็นไง? ผมหมายถึงในแง่ของตัวตนของเธอ เธอชอบพี่ไหม?”
“อะไร? ทำไมนายถึงถามฉันแบบนี้ล่ะ” ลู่อี้ชิงตกตะลึง
“เธอสองคนทะเลาะกันเหรอ?”
หากพูดถึงเจียงเหยา ลู่ชิงสีไม่เคยอนุญาตให้ใครแสดงความคิดอะไรเกี่ยวกับเธอแม้แต่คำเดียว ดังนั้นลู่อี้ชิงจึงตกใจอย่างมากกับทัศนคติที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของน้องชายเธอ
ลู่อี้ชิงคิดเกี่ยวกับคำถามอย่างรอบคอบและพูดว่า
“แม่กับพ่อบอกกับฉันว่า ครั้งนี้ความสัมพันธ์ของนายกับเจียงเหยาดีขึ้นมากแล้วไม่ใช่เหรอ เธอไปส่งนายขึ้นเครื่อง แล้วยังเฝ้าคิดถึง เพราะนายไม่ยอมโทรกลับมาที่บ้านตั้งหลายวัน ท่านยังบอกอีกว่าเธอเป็นผู้ใหญ่และมีเหตุผลมากขึ้น”
“ผมขอความเห็นจากพี่” ลู่ชิงสีพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พี่ พี่คิดว่าเจียงเหยาเป็นไงบ้าง”
“พูดกันตามตรง เจียงเหยาก็เป็นผู้หญิงที่สวย รูปร่างดี หน้าตาดีกว่าผู้หญิงทั่ว ๆ ไป ตอนนี้ยังได้รับการตอบรับให้เข้าเรียนจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง หลังเรียนจบก็จะเป็นหมอ ถือว่าเป็นคู่ที่ดีสำหรับนาย ทำไม พวกนายทะเลาะกันเหรอ? มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า? ที่จริงแล้ว เหตุผลที่ฉันต่อว่าเธอ ไม่ใช่เพราะว่าฉันไม่ชอบเธอหรอกนะ แต่เพราะฉันไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่เธอเมินนายอยู่ตลอดเวลา ทั้งสองคนเป็นคู่รักกัน แต่เธอกลับไม่สนใจนายเลย”
ลู่อี้ชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา ถ้าไม่ใช่เพราะเจียงเหยาไม่สนใจลู่ชิงสี เธอก็คงจะชอบน้องสะใภ้คนนี้มาก
“อย่างอื่นล่ะ? พี่คิดว่าเธอเป็นคนไม่ดี ขี้อิจฉาที่ชอบปล่อยข่าวลือของคนอื่นหรือเปล่า?” ลู่ชิงสีถามอีกครั้ง แม้ว่าคำตอบของเธอเมื่อสักครู่จะทำให้เขาพอใจมากก็ตาม
“ไม่มีทาง! เธอไม่น่าเบื่อเหมือนนายสักหน่อย ไมใช่คนจะพูดเรื่อยเปื่อย ไม่ยุ่งเรื่องของชาวบ้านด้วยซ้ำ หนอนหนังสืออย่างเธอจะไปมีเวลายุ่งเรื่องของคนอื่นเหรอ อีกอย่างเจียงเหยายังนิสัยดีด้วย ครูและเพื่อนร่วมชั้นที่โรงเรียนต่างก็ชมเธอออกบ่อย ๆ ที่นายพูดน่ะไม่ตรงกับนิสัยของเธอเลยนะไ ลู่อี้ชิงเสริมหลังจากหยุดไปชั่วครู่
“ไม่นะ ฉันแน่ใจว่าเจียงเหยาไม่ใช่คนเลวร้ายอย่างนายว่าหรอก ทำไมจู่ ๆ นายถึงได้ถามแบบนี้ล่ะ มีใครพูดอะไรกับนายหรือเปล่า?”
ลู่อี้ชิงยืนยันเกี่ยวกับบุคลิกของเจียงเหยาที่เธอได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ แม้ว่าเจียงเหยาจะเมินเฉยต่อลู่ชิงสี ทว่าเธอยังคงรักษาระยะห่างจากนักเรียนชายที่โรงเรียน แม้ว่ารัศมีความน่ารักอันแสนบริสุทธิ์ของเธอจะแผ่ซ่านออกจากตัวขนาดไหนก็ตาม