ตอนที่ 45 อาชีพที่ทำงานอยู่บนปลายมีด
เมื่อเย่เทียนและสวีเหว่ยเหว่ยลงมาจากรถ พวกเขาก็เห็นชายคนหนึ่งอยู่ห่างจากแท็กซี่ประมาณสามเมตร กำลังกุมขาขวาและร้องโหยหวนอยู่
คนขับแท็กซี่คงตกใจและตกตะลึงเพราะเขาเจอเห็นเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก “ฉันไม่ได้ตั้งใจ จู่ๆเขาก็วิ่งเข้ามา ฉันไม่มีเวลาเบรกเลย พี่ชาย พี่สาว พวกคุณต้องให้การเป็นพยานให้ฉันนะ”
เย่เทียนยิ้มแห้ง “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาให้ไปเป็นพยาน แต่ควรส่งคนไปโรงพยาบาลก่อนนะ”
เย่เทียนที่กำลังจะไปช่วยชายที่โดนคนนั้น ชายคนนั้นก็ลุกขึ้นมาก่อนที่เย่เทียนจะไปสัมผัสตัวเขา เขาไม่ได้มองเย่เทียนกับสวีเหว่ยเหว่ยแต่เดินกะเผลกไปหน้ากระโปรงรถแล้วตะโกน “ขาดทุนแล้ว ขาดทุน! นายจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นถ้าไม่ชดใช้มา!”
สวีเหว่ยเหว่ยดึงแขนเย่เทียนแล้วกระซิบกับเขา “ฉันรู้สึกว่าเขาจะเป็นเผิ่งซือ(1)...”
(เผิ่งซือ คือ พวกที่ชอบกระโดดออกมาแล้วแกล้งเจ็บตัว)
คนขับรู้สึกขมขื่น “เท่าไหร่?”
“500!” ชายคนนั้นพูด
แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่คนขับเจอกับเรื่องแบบนี้แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ เขาเป็นคนอ่อนไหวเรื่องเงินเป็นพิเศษ เมื่อเห็นชายคนนั้นอ้าปากเรียกเงิน500 เขาก็หายใจถี่ขึ้น เขาเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น “พี่ชายสุดหล่อ ลดเหลือสักสองร้อยได้ไหม? วันนึงกว่าฉันจะได้3-400มันลำบากมากเลยนะ ถ้าทำแบบนี้ภรรยากับลูกฉันคงได้อดข้าวกันแน่”
เผิ่งสือยื่นบาร์โค้ดที่เปลี่ยนแล้วให้ใหม่ “สแกนสิ”
คนขับรถตะโกนด่าอยู่ในใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ หลังจากสแกนคิวอาร์โค้ดแล้วเขาก็ขับรถออกไปพร้อมคำสาปแช่ง
“มองอะไร! ไม่เคยเห็นเผิ่งสือหรือไง?” เผิ่งสือที่เห็นคู่หนุ่มสาวมองตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะด่า
“พวกเราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า”
เย่เทียนรู้สึกว่าเสียงของเผิ่งสือคนนี้คุ้นๆ เขาจึงเดินไปรอบๆเผิ่งสือคนนี้ หลังจากได้เห็นหน้าอย่างชัดเจนเขาก็ประหลาดใจ “เกาเหมิ่ง?”
ชายเผิ่งสือแปลกใจขึ้นไปอีก “เชี่ย! เย่เทียน? สวีเหว่ยเหว่ย?”
เกาเหมิ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นมัธยมปลายที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเย่เทียน
ณ ร้านกาแฟที่เล่นเพลงเบาๆอยู่
เกาเหมิ่งคนกาแฟแล้วเล่าเรื่องของตัวเองให้เพื่อนร่วมชั้นทั้งสองคนฟังด้วยแววตาเศร้าสร้อย
เนื่องจากเกรดไม่ดี เกาเหมิ่งจึงเลือกที่จะไม่เรียนต่อมหาลัยหลังเรียนจบมัธยม เขาไปทำงานในร้านชานมทันทีที่เรียนจบ แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เขาที่ทำงานได้ไม่ถึงสองเดือนถูกแท็กซี่ชนในระหว่างส่งของ
ในตอนนั้นเกาเหมิ่งมีร่างกายแข็งแรงดีจึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เขาไม่ได้ขอค่ารักษาพยาบาลและขับไฟฟ้าจากไป
ในคืนที่เกิดเหตุ เกาเหมิ่งไข้ขึ้นสูงและขาขวาก็บวมเป็นก้อน ครอบครัวได้ส่งตัวเขาไปโรงพยาบาลและพบว่าขาขวากระดูกหัก เอ็นแตก และบาดเจ็บสาหัสที่เส้นเอ็น...
เพื่อรักาษขาขวาเอาไว้ เกาเหมิ่งต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่สูงซึ่งครอบครัวของเขาไม่สามารถจ่ายได้ เกาเหมิ่งทำได้แค่รายงานไปทางหนังสือพิมพ์และหาคนขับรถที่ชนเขา โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้บางส่วน
ผลที่ได้คือไร้ประโยชน์
จากความล่าช้าในการรักษา เกาเหมิ่งจึงได้รับบาดเจ็บที่ขาขวาไปตลอดชีวิต แฟนสาวที่มีความสัมพัน์อันดีถึงขั้นแต่งงานก็ขอเลิกกับเขา
“แล้วเรื่องที่มาเป็นเผิ่งสือล่ะ?”
เกาเหมิ่งดื่มคาปูชิโน่เต็มเข้าไปทั้งหมด “ฉันไปสมัครงานแล้วแต่ไม่มีใครรับเพราะฉันพิการ เพื่อดำรงชีวิตต่อไปฉันเลยเก็บของเก่าไปอยู่พักหนึ่ง ต่อมาฉันบังเอิญไปเจออาจารย์แล้วได้เรียนการเป็นเผิ่งสือจากเขา”
“มีอาจารย์เผิ่งสือด้วย?”
ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าชีวิตของเกาเหมิ่งน่าสงสารมาก แต่เย่เทียนก็อดหัวเราะไม่ได้พอได้ยินเรื่องนี้
เกาเหมิ่งขมวดคิ้วลง “ต้องดูว่าจะจับรถประเภทไหน เริ่มเมื่อไหร่ และล้มท่าไหนที่จะทำให้เองไม่เจ็บตัว นี่เป็นสิ่งที่ฉันเรียนมา! อย่าคิดนะว่าการเป็นเผางสือมันจะง่าย ชีวิตของพวกเราอยู่บนเส้นด้ายทุกวัน เรากำลังทำงานอยู่บนปลายมีด มีโอกาสที่จะตายได้ทุกเมื่อ!”
สวีเหว่ยเหว่ยพูดไม่ออกแล้วกลอกตาไปมา “นายเลิกพูดสักทีได้ไหม! สิ่งที่นายทำมันดีนักกหรือไง นายไม่รู้สึกผิดบ้างเลยเหรอ”
“เกาเหมิ่ง นายคงไม่คิดจะเป็นเผางสือไปตลอดชีวิตหรอกใช่ไหม?” เย่เทียนพูดด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอนว่าไม่ อาจารย์คือบทเรียนของฉัน ตอนนี้ฉันมีเงินได้โดยพึ่งการเป็นเผางสือ ฉันวางแผนเปิดร้านอาหารเล็กๆในปีหน้าเพราะฉันทำอาหารได้”
“เกิดอะไรขึ้นกับอาจารย์ของนาย?”
"ฉันถูกฆ่าโดยสามเณรผู้หญิงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว"
เย่เทียนกับสวีเหว่ยเหว่ย “...”
“เลิกพูดเรื่องของฉันดีกว่า” เกาเหมิ่งมองไปที่ทั้งสองคน “บอกฉันเรื่องพวกนายบ้าง พวกนายสองคนคบกันได้ยังไง แล้ววางแผนจะแต่งกันเมื่อไหร่?”
สวีเหว่ยเหว่ยหน้าแดง
เย่เทียน “ความสัมพันธ์ของฉันกับเหว่ยเหว่ยไม่ได้เป็นอย่างที่นายคิด พวกเราเป็นแค่เพื่อนกัน ฉันพึ่งได้พบกับเหว่ยเหว่ยอีกครั้งเมื่อสัปดาห์ก่อน”
“เป็นแค่เพื่อนน่ะ”
เกาเหมิ่งกินเสต็กด้วยความหิว
“นายต้องใช้เงินเท่าไหร่เพื่อเปิดร้านอาหาร? อยากได้คนลงทุนหรือเปล่า?” เย่เทียนยิ้ม
“นายอยากลงทุนด้วยสินะ” เกาเหมิ่งกะพริบตา “ไม่มาก ไม่มาก แค่หลักหมื่น”
เย่เทียนพยักหน้า เขาให้เงินเกาเมิ่งไป 100,000 หยวน “เพื่อนร่วมชั้น เรื่องนี้ฉันช่วยนายเอง”
เกาเหมิ่งที่มองยอดเงินบนโทรศัพท์จู่ๆก็นิ่งไป
100,000!
ต้องจับรถกี่คันเพื่อได้เงินขนาดนี้?
“เย่เทียน...”
ตาของเกาเมิ่งเริ่มเปียกชุ่มและตามมาด้วยน้ำตาที่ไหลออกมา สุดท้ายเขาร้องไห้
เย่เทียน “ชีวิตย่อมมีชีวา ใครก็ตามที่อยู่ถึงจุดต่ำสุดได้ ย่อมก้าวผ่านอดีตได้แน่นอน ฉันให้นายยืมมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไม่ต้องรีบจ่ายคืนนะรอให้นายทำเงินจากการขายอาหารได้ก่อน”
เมื่อเจอกับเพื่อนร่วมชั้นคนนี้โดยบังเอิญและเจอทางแยกในชีวิตของเขา เย่เทียนจึงอยากจับตาดูเอาไว้
เกาเหมิ่งไม่ใช่หลิวหรูเยียน หากทั้งสองฝ่ายมือกันมากเกินไปมันอาจพัฒนาเป็น ‘มอบข้าวสารหนึ่งถุง ตอบแทนด้วยข้าวสารหนึ่งกระสอบ กลับนำมาซึ่งความแค้น' ซึ่งเย่เทียนไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนั้น เพราะถ้าเป็นแบบนั้นคงจะน่าขยะแขยงน่าดู
“เย่เทียน นี่คือIOUของฉัน ฉันสัญญาว่าจะจ่ายคืนนายแน่นอน!”
เกาเหมิ่งขอกระดาษจากพนักงานแล้วเขียนIOUส่งให้เย่เทียน
เย่เทียนยิ้มและเก็บมันไป “ส่งรูปแบบร้านให้ฉันดูหน่อยสิ ฉันมีเพื่อนในไห่จิงเยอะ บางทีอาจช่วยนายหาทำเลดีๆตั้งร้านได้”
“ได้เลย!”
เกาเหมิ่งเช็ดตาของเขา
จากนั้นเพื่อนร่วมชั้นทั้งสามก็คุยเรื่องเก่าในโรงเรียนมัธยมปลายอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกันไป
บนถนน
สวีเหว่ยเหว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “เย่เทียน นายยังใจดีและชอบช่วยเหลือเหมือนตอนอยู่ที่โรงเรียนเลยนะ”
เย่เทียนยิ้ม “มีประโยคที่ว่า: มีชีวิตยากจน แต่มีมโนธรรม ตอนนี้ฉันมีเงินเหลืออยู่ ดังนั้นฉันจึงอยากทำความดีและช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง การได้ช่วยคนอื่นทำให้ฉันรู้สึกมีความสุข”
ใจดี หล่อ ชอบช่วยเหลือ และอ่อนน้อมถ่อมตน...
สวีเหว่ยเหว่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ ตาของเธอไม่สามารถเลื่อนออกไปจากหน้าของเย่เทียนได้เลย
พริบตาเดียวก็ผ่านมาถึงตอนเย็น
ด้วยการมาของสวีเหว่ยเหว่ยและจ้าวสือสือ วิลล่าก็เริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้น พ่อกับแม่พาสองสาวไปดูคุยเรื่องที่มาของพวกเธอ ส่วนเย่เทียนก็เปิดโทรศัพท์เข้าเกมที่เขาไม่ได้เล่นมาเป็นเวลานาน