ตอนที่ 67+68 พี่สะใภ้
“ไม่มีอะไรจะเปราะบางไปกว่าเงินอีกแล้วล่ะ แม้แต่มิตรภาพก็ตามที” เหลียงเหยียจือพูดใส่หน้าโจวเหวยฉี หลังจากเห็นเขามุ่ยหน้าเศร้า จึงพูดเสริมขึ้นอีกว่า “ถ้าวันงานแต่งงานนายพาภรรยา หรือพาลูกมา หรือจะมากันทั้งครอบครัว ก็จะยกเว้นให้นายก็ได้”
มุมริมฝีปากของโจวเหวยฉีลากลงมา เขาขมวดคิ้วและทำหน้าบูดบึ้งมากกว่าเดิม
“แล้วฉันจะไปหาภรรยากับลูกได้ที่ไหนกันเล่า? พี่ใหญ่ พี่กำลังเลือกปฏิบัติเพราะว่าตัวเองกำลังจะแต่งงานใช่ไหมล่ะ! ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย!”
“ได้ ได้ งั้นแค่คู่หมั้นก็ได้” เหลียงเหยียจือกล่าว
ลู่ชิงสีคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงกล่าวเสริมขึ้น “เอาเป็นว่าคนที่นายจริงจังด้วย คนที่นายคิดจะแต่งงานด้วยก็ได้อะ”
“ฉันตัดสินใจได้แล้วล่ะ ว่าจะตัดพี่ตัดน้องกับ พี่เหยียจือแล้วก็พี่ชิงสีด้วย! เธออีกคน หลัวเหลาหรุน ไม่ต้องมาหัวเราะเลย ฉัไม่อยากเป็นเพื่อนกับพวกนายแล้วด้วย! ฉันอยากจะจับเครื่องบินตามไปรักษาแผลใจกับพี่ฮ่าวอวี่ที่ต่างประเทศเสียเดียวนี้เลย”
โจวเหวยฉีดึงเก้าอี้ของเขาออกห่างจากลู่ชิงสีและเหลียงเหยี่ยจือ ออกไปจนเกือบจะถึงประตูทางออก จากนั้นเขาก็วางมือบนหน้าอกตรงกับตำแหน่งหัวใจ แสดงท่าทางเศร้าและหดหู่
“ไปสิ ลองดู ท้าให้เลย” หลัวเหลาหรุนเยาะเย้ย
“ระวังนะ นายจะโดนเขาแตะกลับมา”
“ไม่หรอก ฮ่าวอวี่ออกจะแสนดี ไม่เหมือนพวกนายหรอก พวกหมาป่าสวมขนแกะ” โจวเหวยฉีพ่นลมหายใจออก จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วบ่น “ฉันจะโทรไปหาพี่ฮ่าวอวีที่ต่างประเทศ จะบอกว่าพี่นายทุกคน รวมถึงเฉินซวีเหยาด้วย รุมรังแกฉัน!”
ขณะที่กำโทรศัพท์อยู่ในมือ โจวเหวยฉีวิ่งออกจากห้องไปที่ทางเดินเปล่าว่างไร้คน จากนั้นเขาก็หูแนบประตูอย่างเขิน ๆ ฟังการสนทนาภายในห้อง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ใครตามเขาออกมา เขาเอามือแตะปลายจมูก พร้อมกับยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ เขาปลดล็อกโทรศัพท์ ดูประวัติการโทรเข้าออก และกดหมายเลขโทรออกไปยังหมายเลขโทรเข้าออกก่อนหน้านี้
โทรศัพท์ดังเป็นเวลานาน โจวเหวยฉีฟังบทสนทนาภายในห้องอย่างใจเย็น ขณะที่ปากก็พึมพำให้อีกฝ่ายรับสายเร็ว ๆ
ในที่สุดก็มีคนรับสายเสียที เสียงนุ่ม ๆ ดังมาจากปลายสาย
“ฮัลโล ชิงสีเหรอ?”
โจวเหวยฉึงกับตะลึงกับเสียงอ่อนโยนนั่น เขาไม่คาดคิดว่าเจียงเหยาจะเรียกชื่อชู่ชิงสีด้วยเสียงที่นุ่มนวลและหวานดั่งช็อกโกแลตเช่นนี้
หลังจากนั้นไม่นาน โจวเหวยฉีก็สงบลงและพูดเสียงดังกับโทรศัพท์ว่า
“พี่สะใภ้ นี่ผมเอง โจวเหวยฉี! พี่ต้องช่วยผมนะ! ชิงสีน่ะสิกำลังแกล้งผม! เขาเอาเปรียบผมแล้วยังทำร้ายผมอีก! พี่สะใภ้ดูผมสิ น่าอนาถขนาดไหน! นี่ผมต้องโทรมาขอความเมตตาจากพี่สะใภ้ไงล่ะ”
โจวเหวยตั้งใจแน่วแน่ เขาต้องให้คนข้างในห้องได้ยินเสียงโหยหวนของเขา จึงได้ร้องลั่นซะเสียงดังลั่น
อีกด้านของสาย เจียงเหยาตัวแข็งค้างด้วยความสับสน หมายเลขที่แสดงบนจอนั่น เหมือนกับหมายเลขที่ลู่ชิงสีให้โทรมาก่อนหน้านี้ ถ้าผู้ชายคนนี้เรียกเธอว่าพี่สะใภ้ พี่ชายที่เขาหมายถึงก็คงจะเป็นลู่ชิงสี
หลังจากที่เธอฟังเรียกร้องลั่นของเขา เธอก็เข้าใจได้ว่า เขาคงกำลังถูกลู่ชิงสีรังแกจริง ๆ แล้วก็แอบโทรมาบ่นกับเธอ เพียงเพราะว่าเขาไม่สามารถเอาชนะลู่ชิงสีได้
เมื่อเจียงเหยาคิดได้เช่นนั้น เธอก็จินตนาการว่าโจวเหวยฉี คงเหมือนกับเด็กสามขวบและหัวเราะออก
“พี่สะใภ้ นี่พี่หัวเราะเหรอ” โจวเหวยฉีตะลึงกับเสียงหัวเราะที่สะท้อนผ่านสายโทรศัพท์มา
“พี่สะใภ้ ไหนเล่าความเห็นใจของคุณ?”
“ก็ฉันอยู่ไกลนี่ อย่างน้อยก็ช่วยให้คุณผ่อนคลายด้วยเสียงหัวเราะยังไงล่ะ” เจียงเหยากล่าวขณะที่เธอปิดเสียงหัวเราะของตนเอง ทว่ายังส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ออกมาด้วยความขบขัน
************************
พี่ฮ่าวอวี่ หรือชื่อเต็มว่า กู้ฮ่าวอวี่ เป็นพี่คนที่สองของกลุ่มเพื่อนสนิทของลู่ชิงสี
************************
โจวเหวยฉีค่อนข้างตกใจ เมื่อเขากำลังอ้าปากจะพูดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกในทันใด ร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาหาเขาราวกับเสือดาวป่ากระโดดขึ้นไปบนตัวของเหยื่อ ก่อนที่เขาจะรู้ว่าคน ๆ นั้นเป็นใคร บุคคลลึกลับคนนั้นก็คว้าโทรศัพท์จากมือเขาไป
“พี่ชิงสี...” โจวเหวยฉีตกใจจนตัวสั่นและกลัว เมื่อลู่ชิงสีจ้องมาที่เขาด้วยสายตาที่น่ากลัว เขายิ้มให้อีกฝ่ายอย่างใจดีสู้เสือและเดินกลับเข้าไปในห้องอย่างเขินอาย
ลู่ชิงสีไม่ได้คิดที่จะตามโจวเหวยฉีที่ซุกซนเข้าไป เขามองลงไปที่โทรศัพท์ที่ยังคงเชื่อมต่อกับปลายสายอยู่ เขายกโทรศัพท์ขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นวา “เจียงเหยาเหรอ?”
“ใช่ ฉันเอง” เจียงเหยาตอบรับอย่างรวดเร็ว
“โจวเหวยฉี บอกฉันว่าคุณแกล้งเขา”
“เขาก็มีอะไรแค่นั้นแหละ อย่าไปสนใจเขาเลย” ลู่ชิงสีกล่าว “ผมไม่รู้ว่าเขาจะแอบออกมาโทรหาคุณ”
“ฉันก็คิดว่าเป็นคุณเสียอีก!” เจียงเหยาบ่น เธอวางแผนจะวางสายอีกครั้ง จู่ ๆ ก็คิดอะไรขึ้นได้ เธอจึงรีบพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ เธอลืมเรื่องสำคัญไปเลย!
“ชิงสี ตอนนี้พอจะมีเวลารึเปล่า? ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกคุณ!” เจียงเหยาเคาะศีรษะตัวเองด้วยความรำคาญใจ เธออยากจะบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่เขาก็ไม่โทรมาเลย พอเขาโทรมา เธอกลับลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิท
เธอคร่ำครวญเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น มันเป็นความผิดของลู่ชิสีนั่นแหละ ก็จิตใจของเธอมัวแต่คิดถึงเขาตลอดทั้งวัน
ลู่ชิงสีหันไปปิดประตูห้อง เดินไปที่โถงทางเดินที่ออกมาคุยโทรศัพท์กับเธอก่อนหน้านี้
“อืม ว่าไง”
ลู่ชิงสีจิตนาการไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าเรื่องสำคัญมากของเจียงเหยานั่นคือเรื่องอะไร แต่เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เจียงเหยาอยากจะคุยกับเขา แม้ว่าเธอจะขอดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า เขาก็จะคิดหาวิธีทุกวิถีทางเอามาให้เธอ
“สิบวันก่อน ฉันไปอยู่ดูแลเสี่ยวเซียวที่ในเมือง วันหนึ่งที่ฉันกับเสี่ยวเซียวไปดูหนังกัน เราแวะไปทานสเต็กแล้วเจอกับจ้าวจวนซ่งทานอาหารอยู่ในร้านนั้นกับหญิงสาวตั้งครรภ์คนหนึ่ง พวกเขาดูสนิทกันมาก เท่าที่ดู ผู้หญิงตั้งครรภ์คนนั้นเป็นผู้ช่วยของอี้ชิง พูดอย่างตรงไปตรงมาเลยนะ ท่าทีของพวกเขา เหมือนกับเป็นคู่รักกันเลยล่ะ จวนซ่งยังลูบท้องของผู้หญิงคนนั้นอย่างอ่อนโยน ถึงขั้นเอาหูแนบท้องด้วย”
เจียงเหยาเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังในคราเดียว “จากนั้น ฉันก็ได้เจอเขาอีกหลายครั้ง มีครั้งหนึ่ง เขาพาผู้หญิงคนนั้นไปตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาลด้วย พวกเขาเดินจูงมือกันออกจากโรงพยาบาลและขึ้นรถ ขับออกไปด้วยกัน”
หลังจากเล่าเรื่องที่เธอเห็น เจียงเหยาก็กังวลมากขึ้น “ชิงสี ตามลางสังหรณ์ของผู้หญิงนะ ฉันว่าผู้ช่วยกับพี่เขย น่าจะกำลังเป็นชู้กัน ที่แย่ไปกว่านั้น คือฉันคิดว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังอุ้มท้องลูกของเขาอยู่”
เจียงเหยามั่นใจว่าเด็กคนนั้นคือลูกของจ้าวจวนซ่ง แต่ตอนนี้เธอไม่มีหลักฐาน เธอจึงบอกไปว่าเป็นการสันนิษฐาน เธอกลัวอยู่เหมือนกันว่าลู่ชิงสีจะไม่เชื่อเธอ
หลังจากหยุดพูดไปครู่หนึ่ง เธอรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว
“ชิงสี ฉันสาบานได้นะว่าฉันเห็นพวกเขาจริง ๆ เสี่ยวเซียวเองก็เห็นพวกเขาที่ร้านอาหารด้วยเหมือนกัน แต่เธอเหมือนจะมองไม่ออก ถ้าคุณไม่เชื่อ คุณลองถามเธอก็ได้ว่าเธอเห็นอะไรบ้างตอนอยู่ในร้านอาหารเมื่อวันก่อน ถึงแม้อี้ชิงจะต่อว่าฉันเรื่องจดหมายตอบรับ แต่ฉันไม่ได้โกรธแค้นอะไรเธอหรอกนะ ฉันรู้ว่าเธอโกรธฉันเพราะเห็นใจคุณ และฉันเองก็ไม่คิดจะสร้างเรื่องไร้สาระนี้ขึ้นเพื่อตอบกลับเธอหรอก...”