ตอนที่ 65+66 คนหน้านิ่ง
ลู่ชิงสีพึมพำ “อืม” และเงียบไป ทางเดินของร้านอาหารไร้ผู้คน อีกทั้งกลางคืนลมค่อนข้างแรง เมื่อพวกเขาทั้งคู่ต่างเงียบไม่พูดอะไร เจียงเหยาได้ยินเสียงลมพัดผ่านมาทางสายโทรศัพท์
“ตอนนี้อยู่ที่ไหน? ฉันได้ยินเสียงลม ที่นั่นมีลมแรงเหรอ?” เจียงเหยาถาม
“ผมอยู่ที่ร้านอาหารชื่อหลิงเถิง ในจินโด ผมออกมาคุยโทรศัพทืกับคุณตรงทางเดินน่ะ อาหารที่นี่อร่อยมากเลย วันชาติผมจะพาคุณมาที่นี่ คุณต้องชอบมากแน่ ๆ”
เขาอยากจะบอกเธอถึงเรื่องงานแต่งงานของเหลียงเยวี่ยจือกับหลัวเหลาหรุน ตเขาก็ปิดปากเงียบไป ก่อนที่ตัวเองจะโพล่งพูดออกไป หลังจากคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาตัดสินใจที่จะบอกเรื่องนี้กับเธอ ตอนที่เธอมาหาเขาที่นี่ในวันชาติจะดีกว่า เผื่อเธอเกิดเปลี่ยนไป จะได้มีข้ออ้าง
เจียงเหยารู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของเขา เธอพยักหน้าโดยไม่ตั้งใจ ไม่กี่วินาทีต่อมา เมื่อเธอรู้ว่าผู้ชายคนนี้กำลังโทรหาเธอแทนที่จะยืนอยู่ตรงหน้า แล้วเขาจะมองเห็นท่าทางของเธอได้อย่างไร เธอรีบตอบอย่างกระวนกระวาย “ได้ค่ะ”
เมื่อคิดขึ้นได้ว่าลู่ชิงสียังไม่ได้ทานอหารเย็น อีกทั้งเพิ่งจะเสร็จงาน เจียงเหยาจึงกระตุ้นให้เขากลับไปทานอาหารเย็น และวางสายไปอีกครั้ง โดยไม่รอคำตอบของลู่ชิงสี
หลังจากวางสายกับเจียงเหยาแล้ว เขาฮัมเพลงโดยไม่ทันรู้ตัว วิ่งเหยาะ ๆ กับไปที่ห้องอาหารอย่างร่าเริง ลู่ชิงสีราวกับตกอยู่ในภวังค์ อยู่ ๆ กับหัวเราะและเดินกลับเข้ามา
“โอ้ ซวีเหยา ดูสิ! ชิงสีกำลังยิ้มด้วยล่ะ?”
หลังจากลู่ชิงสีออกไป โจวเหวยฉีหวังว่าเขาจะแอบฟังลู่ชิงสีคุยโทรศัพท์ เขาเอาหูแนบติดกับผนัง เฝ้ารออย่างกระวนกระวายใจและตื่นเต้นที่เห็นลู่ชิงสีกลับมาเสียที ชายที่เคยคุยโทรศัพท์ไม่เกินหนึ่งนาที ครั้งนี้เขากลับคุยโทรศัพท์นายเกือบยี่สิบนาที แม้แต่รอยยิ้มบนใบหน้าเขายังไม่สามารถเช็ดมันออกจากใบหน้าก่อนที่จะกลับเข้ามาในห้องอาหาร
เฉินซวีเหยาพยักหน้าอย่างเงียบขรึม “อืม ฉันเห็นแล้ว”
ลู่ชิงสีกลับมาที่นั่งของตนเองและคืนโทรศัพท์ให้กับโจวเหวยฉี
เมื่อเห็นใบหน้าประหลาดใจของเฉินซวีเหยาและโจวเหวยฉี เขาเคาะโต๊ะเบา ๆ เพื่อส่งสัญญาณให้พวกเขารู้ตัว และพูดออกมาว่า “ฉันไม่ใช่คนหน้าตายสักหน่อย ฉันยิ้มนี่มันแปลกอะไรตรงไหน?”
“ใช่! แน่นอนว่ามันแปลกมาก!” เฉินซวีเหยาพยักหน้าเหมือนนกหัวขวาน
“นายน่ะ ไม่ใช่แค่คนหน้าตาย นายยังอยู่เหนือกว่าคำว่าหน้าตายนั้นเสียอีก!”
“ใช่ ๆ นายกับเยวี่ยจือเป็นแชมป์ประเภทหน้าตาย!” โจวเหวยฉีมองไปที่เหลียงเยวี่ยจือและกล่าวว่า
“พี่ใหญ่ พี่ก็หน้าตายเหมือนกันนั่นล่ะ พี่กับชิงสี เหมาะที่จะเป็นพี่น้องกันมากที่สุดในหมู่พวกเรา!”
“เหวยฉี นายอยากให้ฉันจัดการกับนายเป็นการส่วนตัวใช่ไหม หะ?” เหลียงเยวี่ยจือจ้องเขม็งไปที่โจวเหวยฉี ซึ่งหดตัวลงด้วยความกลัว
“ไม่ล่ะ ไม่ล่ะ ขอบคุณ ฉันไม่สมควรได้รับความสุขขนาดนั้น” โจวเหวยฉีพึมพำออกมาเบา ๆ
“เหวยฉี” ลู่ชิงสีตะโกนเสียงแข็งไปที่โจวเหวยฉี ผู้ซึ่งหันกลับมามองลู่ชิงสีด้วยสายตาดุจกระต่ายน้อยน่ารัก
“หรือว่านายอยากให้ฉันจัดการกับนายดีล่ะ”
“ไม่!” โจวเหวยฉีปฏิเสธทันที
“ได้โปรด ยกโทษให้ฉันเถอะนะ ชิงสี ทำไมนายถึงเรียกฉันแบบนั้นล่ะ นี่ฉันหูฝาดไปหรือเปล่าเนี้ย!”
ลู่ชิงสีกลับเหลาเยวี่ยจือเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในเรื่องนิสัยโหดร้าย ถ้าถูกพวกเขาคนใดคนหนึ่งจัดการแล้วล่ะก็ อาหารไม่ย่อยกันพอดี หรืออาจต้องเข้าโรงพยาบาลเลยก็เป็นได้
เฉินซวีเหยาพยายามกลั้นหัวเราะอย่างยากลำบาก เขาฉลาดพอที่จะรู้ว่าลู่ชิงสีและเหลียงเยวี่ยจือไม่ใช่คนที่เขาจะแกล้งได้
“โอ้ใช่ นายพูดก่อนหน้านี้นี่ว่า นายอยากจะให้โทรศัพท์เครื่องใหม่กับฉัน ขอบใจมากนะ” ลู่ชิงสีกล่างขณะที่หยิบตะเกียบและเริ่มกิน ตอนนี้เขาไม่สนใจโจวเหวยฉีแล้ว หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดช้า ๆ ว่า “คืนนี้ขอโทรศัพท์เครื่องใหม่ให้ฉันนะ ถ้าเจียงเหยาเริ่มเรียนแล้ว เอาให้เธอด้วย”
ตะเกียบในมือของโจวเหวยฉีหล่นลงกับพื้นอย่างแรง
“หูฉันฟาดรึเปล่าเนี้ย” โจวเหวยฉีร้องออกมาใบหน้าสะอื้นไห้
“ชิงสี ชิงสี ได้โปรดไว้ชีวิตฉันเถอะ เรื่องไร้สาระเมื่อกี้ นายช่วยแกล้งลืม ทำเป็นว่าฉันไม่เคยพูดไม่ได้หรือไง”
ลู่ชิงสีไม่แยแสเขา
โจวเหวยฉีกางแขนของเขารอบลู่ชิงสีและพึมพำ
“ชิงสี ชิงสี พี่ชายที่แสนดีของฉัน ชิงสี นายกับพี่เยวี่ยจือรวยล้นฟ้า นายจะเอาเปรียบฉันได้ยังไง?”
เหลียงเยวี่ยจือเหลือบมองโจวเหวยฉีอย่างสนุกสนาน เขาหัวเราะและโพล่งออกมา “นายต้องชดใช้”
ในระหว่านี้หลัวเหลาหรุนก็เริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“พนันได้เลย ตอนนี้สมองของเหวยฉีคงกลายเป็นหินไปแล้ว”
“ฮี! ผู้หญิงไร้หัวใจ” โจวเหวยฉีกลอกตาไปที่หลัวเหลาหรุน เขาพูดอยู่บนหลังของลู่ชิงสี ชายหนุ่มเหวี่ยงแขนเขาออกไป
“ได้ ได้ คนหนึ่งก็พี่ชายของฉัน อีกคนก็เป็นภรรยาของพี่ชายของฉัน ฉันจะให้โทรศัพท์กับนายก็ได้ แม้ฉันจะต้องกินข้าวกับหนูในโบสถ์ก็คงไม่มีเป็นไรหรอกใช่ไหม!”
หลังจากนั้นโจวเหวยฉียิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ชิงสี ถ้าฉันซื้อโทรศัพท์ให้นายแล้ว ฉันขอกินข้าวที่นี่ฟรีตลอดไปได้ไหม?”
“แล้วนายเคยจ่ายไหมล่ะ?” ลู่ชิงสีขมวดคิ้ว พูดด้วยน้ำเสียงสูง “ไม่รู้ด้วยแล้ว”
“ฮ่าฮ่า! ฮ่าฮ่า!” หลัวเหลาหรุนหัวเราะออกมาเสียงดัง “เหวยฉี นายเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดที่อยากมากินอาหารหรู ๆ! จะพูดเรื่องเงินให้เป็นการตบหน้าตัวเองไปทำไมเล่า?”
แม้ว่าร้านอาหารหลงเถิงจะเป็นของเหลียงเยวี่ยจือ แต่ทุกคนก็รู้ว่าลู่ชิงสีเป็นหุ้นส่วนใหญ่ในธุรกิจของเหลียงเยวี่ยจือ รวมถึงร้านอาหารร้านนี้ด้วย
เหลียงเยวี่ยจือเป็นนักธุรกิจและเจ้าของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในประเทศ
ลู่ชิงสีอยู่ในกองทัพ เขาไม่เคยออกหน้าในเรื่องของธุรกิจเลย มีเพียงเพื่อนสนิทกลุ่มนี้เท่านั้นที่รู้เรื่องราวเช่นนี้
ในห้องอาหารแห่งนี้ ทุกคนยกเว้นลู่ชิงสี มาจากตระกูลร่ำรวยและมีชื่อเสียงของเมืองจินโด ตระกูลเหล่านี้ต่างมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจของจินโด เพียงแค่กระดิกนิ้ว
แม้ว่าครอบครัวลู่จะเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยในเขตภายใต้ แต่ก้เทียบไม่ได้เมื่อมาเมืองใหญ่อย่างจินโด
ลู่ชิงสีกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกับคนร่ำรวยกลุ่มนี้ ในกลุ่มเพื่อนสนิทมีกันห้าคน ในแง่ของความอาวุโสแล้ว ลู่ชิงสีถือว่าเป็นคนที่สาม เหลียงเยวี่ยจือเป็นพี่ชายคนโต ตามมาด้วยชายลึกลับอีกคน แล้วก็ลู่ชิงสี ตามด้วย เฉินซวีเหยา ส่วนโจวเหวยฉีอายุน้อยที่สุด
เนื่องจากความสนิทสนมของลู่ชิงสีกับคนเหล่านี้ จึงไม่มีใครในจินโดกล้ารังแกเขา ทุกคนที่พบเขาต่างทักทายและให้ความยำเกรงในฐานะ นายท่านลู่
ในหมู่พวกเขา เหลียงเยวี่ยจือ พี่คนโตคนนี้เป็นเจ้าสัวของธุรกิจที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จในเมืองจินโด เขามีธุรกิจมากมาย หลากหลายอุตสาหกรรม และบริษัทของเขามีการลงทุนในต่างประเทศ
ภายใต้เรื่องราวความสำเร็จของเขา มีคคนไม่มากที่รู้เกี่ยวกับความยากลำบากของเหลียงเยวี่ยจือในช่วงเริ่มต้นบุกเบิกธุรกิจของตัวเอง ในทำนองเดียวกัน มีคนไม่มากที่รู้ว่าลู่ชิงสีมีส่วนแบ่งในธุรกิจมากมายของเขา
เฉินซวีเหยาพูดถูก เหลียงเยวี่ยจือและลู่ชิงสีมีนิสัยเหมือนกัน พวกเขามีโลกส่วนตัวสูงและเงียบขรึม แต่ไม่มีใครที่จะเพิกเฉยต่อการมีตัวตนของพวกเขาเลย พวกเขาน่ากลัวราวกับเสือดาวป่าคู่หนึ่งที่เงียบหลับอยู่ในป่า แม้จะหลับตา ทว่ายังฉลาดและตื่นตัวด้วยประสาทสัมผัสเฉียบแหลมและกว้างไกล พร้อมกับฉายรัศมีอันตรายและน่าสะพรึงกลัวรอบตัวเขา
หลังจากถูกหลัวเหลาหรุนล้อเลียน โจวเหวยฉีไม่ได้โกรธเคืองอะไร
“เราเป็นพี่น้องกัน เรื่องเงินน่ะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน มันอาจจะส่งผลทำร้ายมิตรภาพของเราได้เลยนะ ฉันพูดถูกไหมล่ะพี่ใหญ่”