1019-1020
1/7
Ep.1019
“อ้อ”
ซูเฉินพยักหน้า จากนั้นกล่าวว่า “งั้นพวกคุณไปกันก่อนเลย พอดีผมมีเรื่องที่ต้องจัดการ ลาก่อน”
หลังกล่าวร่ำลาผู้ทรงเกียรติหวูโหยว ซูเฉินกลับไปยัง [รถศึกอัจฉริยะ] ต่อมา ภายใต้สายตาของหวูโหยวและเฉินเจิง เขาหายลับไปอย่างรวดเร็ว
[รถศึกอัจฉริยะ] บินมาได้สองวัน เมื่อใกล้ถึงป้อมปราการมิติ ซางอวิ๋นหันมาพูดกับซูเฉินว่า “ซูเฉิน ปล่อยพวกเราลงที่นี่แหละ เดี๋ยวพวกเราจะกลับไปที่ตระกูลเอง”
“ผู้อาวุโส บ้านตระกูลซางของคุณไม่ได้อยู่ตรงนี้ไม่ใช่หรือ?” ซูเฉินถามด้วยความแปลกใจ
ตอนที่คุยกันก่อนหน้านี้ เขาได้รู้ว่าตระกูลซางอยู่ไม่ไกลจากป้อมปราการมิติ ถ้าเลือกลงตรงนี้ มันจะไม่ดีกว่าหรอหากรอจนถึงป้อมปราการมิติแล้วค่อยแยกย้ายกันไป
“มีเมืองมู่กวงอยู่บริเวณนี้ ที่นั่นมีค่ายกลเคลื่อนย้ายที่สามารถพาไปยังตระกูลซางของพวกเราได้ เราเลยตั้งใจจะกลับผ่านทางนั้น” ซางอวิ๋นอธิบาย
“ผู้อาวุโส เกรงว่าคุณคงต้องทิ้งความคิดนี้ซะแล้ว” ซูเฉินส่ายหัว เมืองมู่กวงถูกเขาทำลายไปแล้ว เกรงว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายข้างในคงไม่รอดเช่นกัน
“ทำไมกัน?” ซางอวิ๋นไม่เข้าใจ เอ่ยปากถาม
“เพราะเมืองมู่กวงถูกทำลายไปแล้ว!” ซูเแินบอกตามตรง
“อะไรน่ะ!?”
ซางอวิ๋นตะลึงงัน จากนั้นถามว่า “ใครกันที่สามารถทำลายเมืองมู่กวงได้? ใช่กองทัพของสัตว์ร้ายมิติรึเปล่า?”
เมืองมู่กวงเป็นบ้านของเผ่าอสูรอัคคี และเจ้าบ้านอย่างตระกูลฮั่วก็เป็นถึงหนึ่งในสิบตระกูลซ่อนเร้น มีผู้แข็งแกร่งมากมายดุจปุยเมฆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำตระกูลอย่างฮั่วฮวน เขาเป็นทั้งปรมาจารย์มนตราและผู้วิวัฒนาการ กำลังรบเทียบได้เลยกับระดับเทวะขั้น 5
แล้วคนแบบไหนกันที่สามารถทำลายเมืองมู่กวงได้?
“ไม่ใช่ฝีมือของสัตว์ร้ายมิติ” ฉีมู่เฟิงกล่าว
“เช่นนั้นเป็นฝีมือใคร?” ซางอวิ๋นไม่เข้าใจ
ฉีมู่เฟิงยิ้ม จากนั้นมองไปทางซูเฉิน
“เป็นซูเฉินงั้นหรอ!!” มุมปากของซางอวิ๋นอ้าค้าง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ
ซูเฉินคือผู้ทำลายเมืองมู่กวง นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่คาดฝันมาก่อน แต่เมื่อลองย้อนนึกไปถึงความแข็งแกร่งของซูเฉินและเหล่าสัตว์เลี้ยงวิญญาณของเขา ซางอวิ๋นก็คิดว่าคงเป็นไปได้จริงๆ
ซูเฉินสามารถสังหารหวงไคในระดับเทวะขั้น 5 ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นการทำลายเมืองมู่กวงไม่น่าใช่เรื่องยาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นแบบนี้ ก็หมายความว่าคงหมดโอกาสใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายกลับตระกูลซางแล้ว
“เช่นนั้นข้ารบกวนอีกนิด ขอกลับไปป้อมปราการมิติพร้อมกับพวกเจ้าแล้วกัน” ซางอวิ๋นกล่าวอย่างอับจนปัญญา
…
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา [รถศึกอัจฉริยะ] เดินทางมาถึงป้อมปราการมิติ พ่อลูกตระกูลซางกล่าวคำอำลากับซูเฉินและเหล่าพี่น้องตระกูลฉี และตกลงว่าจะพบกันอีกครั้งเมื่อเริ่มงานประลองระดับดวงดาว
กลับมายังตระกูลฉี ซูเฉินเรียกฉีมู่เสวี่ยและฉีมู่อวี้ออกจาก [มิติสันโดษ] หลังจากนั้นประกาศว่าจะปิดด่านฝึกตน
เหลือเวลาอีกไม่ถึงห้าวันก็จะถึงงานประลองระดับดวงดาว เขามีเรื่องมากมายต้องจัดการ ไม่มีเวลาติดต่อกับผู้ใด
หลังจากนั้น เขาก็เริ่มจัดระเบียบชิ้นส่วน หลังจากคัดแยกชิ้นส่วนเสร็จ ก็เริ่มแจกจ่ายแร่ที่ได้รับมา
หัวใจจักรกลส่วนใหญ่มอบให้ [รถศึกอัจฉริยะ] ซึ่งมากพอที่จะอัพเกรดมันขึ้นสู่ขั้น 14
นอกจากนี้ เขายังใส่ศิลาฟ้ากระจ่างทั้งหมดเข้าไปใน [พื้นที่เลี้ยงสัตว์] และย้าย [อุปกรณ์เร่งเวลา] เข้าไปด้วย
ศิลาฟ้ากระจ่างสามารถช่วยยกระดับสัตว์เลี้ยงวิญญาณได้ แต่ติดปัญหาตรงมันใช้ระยะเวลานาน ทว่าสามารถแก้ไขได้ด้วยฟังก์ชั่นเร่งเวลาของ [อุปกรณ์เร่งเวลา]
แต่ยังไงก็ตาม แม้ช่วยย่นเวลาได้ แต่ก็ยังต้องให้เวลามันซักพัก
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ซูเฉินตัดสินใจจะไม่เรียกใช้งานพวกมันในช่วงนี้ ปล่อยให้ทั้งหมดยกระดับอย่างเงียบๆ
ต่อมา เขาซื้อ [โพชั่นกายภาพ] เพิ่มอีก มอบให้แก่อู๋หยาจื่อและคนอื่นๆ ช่วยพัฒนาความแข็งแกร่งพวกเขา แน่นอน ซูเฉินยังไม่ลืมสำรองแต้มพลังงานให้ตัวเอง ซึ่งเป็นจำนวนที่มากพอจะใช้ยกระดับสู่ระดับเทวะขั้น 4 ได้
2/7
Ep.1020
สามวันต่อมา ฉีมู่เฟิงและคนอื่นๆแวะมาเยี่ยม
งานประลองระดับดวงตาจะเริ่มอีกในอีกสองวัน พวกเขาต้องปรึกษากับซูเฉิน นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องรีบไปยังสถานที่จัดงานโดยเร็วที่สุด ซึ่งปกติแล้วจะใช้เวลาเดินทางหนึ่งวัน
“ซูเฉิน เจ้าเตรียมตัวพร้อมหรือยัง?” ฉีมู่เฟิงถาม
“เกือบเสร็จแล้ว พร้อมออกเดินทางได้ทุกเมื่อ” ซูเฉินตอบกลับ ถือโอกาสนี้หันไปมองฉีมู่เฟิงและคนอื่นๆ แต่เมื่อสบตาเข้ากับฉีมู่สือ คิ้วของเขาต้องขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เอ่ยพึมพำว่า “เจ้าขยะนี่จะไปด้วยหรือ?”
คนที่มาพร้อมกับฉีมู่เฟิง นอกจากฉีชิงเฉวียนแล้วก็ยังมีฉีมู่เล่ย ฉีมู่เสวี่ย ฉีมู่อวี้ และฉีมู่สือ
หากไม่นับฉีชิงเฉวียนแล้ว เห็นได้ชัดว่าคนอื่นๆต้องการเข้าร่วมงานประลองระดับดวงดาว
เมื่อตอนมายังตระกูลฉีครั้งแรก ฉีมู่สือเป็นฝ่ายหาเรื่องซูเฉิน และถูกมอบบทเรียนไปสองครั้งติดต่อกัน ดังนั้นซูเฉินค่อนข้างไม่ชอบใจฉีมู่สือ เลยไม่อยากพาอีกฝ่ายไปด้วย
“ซูเฉิน เรื่องคราวก่อนเป็นความผิดข้าเอง ได้โปรดให้โอกาสข้าเถอะ” ฉีมู่สือกล่าวด้วยใบหน้าประจบประแจง
การเข้าร่วมงานประลองระดับดวงดาวในครั้งนี้ แม้จะอยู่ในชื่อของตระกูลฉี แต่ทุกคนต่างรู้ดี ว่าสุดท้ายทุกอย่างขึ้นอยู่กับซูเฉิน ดังนั้นคำพูดเดียวของซูเฉินจะเป็นตัวกำหนดว่าฉีมู่สือจะมีโอกาสได้เข้าร่วมหรือไม่
ซูเฉินพ่นลมหายใจเบาๆ “ขยะอย่างแกตามไปด้วย ไม่ใช่ว่าจะทำให้ตระกูลฉีขายหน้าหรอกหรอ?”
ใบหน้าของฉีมู่สือแดงเรื่อ แต่ก็ยังยืนนิ่งไม่กล้าขยับ
แม้ซูเฉินจะสร้างความอับอายแก่เขาต่อหน้าทุกคน แต่เขาก็ไม่กล้าแสดงความไม่พอใจแม้แต่น้อย เหตุผลก็ง่ายๆ เพราะซูเฉินแข็งแกร่งเกินไป กระทั่งบรรพชนตระกูลฉีก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
หากมู่สือกล้ามีท่าทีฮึดฮัด เกรงว่าเขาคงต้องถูกซูเฉินทุบตีอย่างแน่นอน
“ซูเฉิน ให้โอกาสเขาเถอะ” ฉีชิงเฉวียนและคนอื่นๆต่างช่วยกันขอร้อง
การเข้าร่วมงานประลองระดับดวงดาวมีความสำคัญมาก ฉีมู่สือเป็นศิษย์หลักของตระกูลฉี พรสวรรค์นับว่าไม่เลว พวกเขาไม่ต้องการให้ฉีมู่สือพลาดโอกาสนี้
ซูเฉินเหลือบมองหน้าฉีมู่สืออีกครั้ง แต่ไม่พูดอะไรซักคำ เรียก [รถศึกอัจฉริยะ] ออกมา แล้วก้าวขึ้นไป
เห็นแก่หน้าฉีมู่เฟิง ซูเฉินไม่ถือสาอีกต่อไป
เห็นแบบนี้ ทุกคนในตระกูลฉีต่างถอนหายใจโล่งอก แม้ซูเฉินจะไม่พูดอะไร แต่ดูเหมือนว่าเขาน่าจะให้อภัยฉีมู่สือแล้ว จากนั้นทุกคนก็ทยอยกันเดินตามหลังซูเฉิน ก้าวเข้าไปใน [รถศึกอัจฉริยะ] ทีละคน โดยฉีมู่สือเป็นคนสุดท้ายที่ขึ้นรถ
เมื่อขึ้นมา เขาก้มหัวแสดงความขอบคุณซูเฉินไม่หยุด แต่ซูเฉินไม่สนใจ หันไปพูดกับฉีมู่เฟิงว่า “พี่ฉี รบกวนช่วยนำทางหน่อย”
สถานที่จัดงานประลองระดับดวงดาว ตั้งอยู่บนเกาะฉีฉวน เขาไม่เคยไปที่นั่น และที่ตั้งก็อยู่เกินรัศมีการตรวจจับของ [รถศึกอัจฉริยะ] ดังนั้นเลยต้องให้คนอื่นนำทาง
“ไม่มีปัญหา”
ฉีมู่เฟิงพยักหน้ารับคำ
ต่อมา ภายใต้การนำทางของฉีมู่เฟิง [รถศึกอัจฉริยะ] มุ่งหน้าเป็นทิศทางเดียว
ระหว่างทาง ฉีชิงเฉวียนเดินมาข้างๆซูเฉิน กล่าวเสียงกระซิบว่า “ซูเฉิน งานประลองระดับดวงดาวครั้งนี้ มีข่าวลือว่าผู้คนจากขุมกำลังอื่นอาจร่วมมือกันโจมตีเจ้า เจ้าต้องระวังให้มาก”
ดั่งคำกล่าวที่ว่าเสือที่ดีต้องไม่สู้กับฝูงหมาป่า แม้ซูเฉินจะครอบครองความแข็งแกร่งชนิดหาผู้ใดเทียบ แต่หากถูกล้อม เกรงว่าอาจเพลี่ยงพล้ำได้
“วางใจเถอะ” ซูเฉินกล่าวอย่างเฉยชา สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายมาก
กฏของงานประลองระดับดวงดาว แทบจะไม่ต่างจากตอนงานประลองรอบคัดเลือกเข้าสู่มิติท้ารบ มันคือการต่อสู้กันแบบชุลมุน ร้อยคนสุดท้ายบนสนามประลอง จะได้รับโอกาสเข้าสู่เขตแดนลับ
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม แม้อีกฝ่ายจะไม่มาหาเรื่องเขา เขาก็จะเป็นฝ่ายกำจัดคนที่เกะกะลูกตาออกไปอยู่ดี
ฉะนั้นเรื่องที่ว่าศัตรูจะร่วมมือกันหรือไม่ เขาไม่สนใจเลย เพราะคนที่เข้าร่วมงานประลองระดับดวงดาว ทั้งหมดล้วนเป็นรุ่นเยาว์ ฐานฝึกตนไม่สูงนัก
ด้วย [กายาเทพอสูรนิรันดร์] ซูเฉินคงกระพันในลำดับชั้นเดียวกัน ต่อให้เขายืนเฉย อีกฝ่ายก็ไม่สามารถทำร้ายเขาได้อยู่ดี