ตอนที่ 63+64 คาดคะเน
“ฉันว่าจะรอกินข้าวให้เสร็จก่อน” ลู่ชิงสีดึงเก้าอี้ของเขาแล้วนั่งลง
เขาอยากจะโทรกลับทันที แต่เปลี่ยนใจ เมื่อคิดอะไรบางอย่างได้
เขากำลังคาดคะเนว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ เธอจะโกรธหรือไม่ หรือเธอคิดจะโทรกลับหาเขาไหม? เธอจะรอนานแค่ไหนถึงจะโทรกลับเขา? เธอจะโทรหาเขาหลังที่วางสายเลยหรือเปล่า?
“เอาจริงนะ นี่นายกำลังให้เจียงเหยาโทรกลับมาหาอยู่งั้นเหรอ?” โจวเหวยฉีเหลือบมองลู่ชิงสี ขณะที่เขาเดาความคิดของอีกฝ่ายได้อย่างถูกต้อง เขาหัวเราะและพูดโพล่งออกมา “ฮ่าฮ่า! ได้ ได้ รอจนกว่าจะถึงเวลาได้เลย พี่ชาย บอกฉันมาตรง ๆ เถอะ ถ้าอยากได้โทรศัพทฉัน ฉันน่ะเป็นคนใจกว้าง ถ้านายชอบโทรศัพท์ฉันมากขนาดนั้น ฉันให้นายก็ได้”
ลู่ชิงสีจ้องไปที่โจวเหวยฉีอย่างเงียบ ๆ และเริ่มลงมือทานอาหาร
“พี่ใหญ่ ดูชิงสีสิ!” โจวเหวยฉีกังวลใจแทนลู่ชิงสีเสียจริง ๆ แต่เขาไม่อาจเกลี้ยกล่อมชายหนุ่มได้เลย โชคดีที่คืนนี้มีคนที่น่าเชื่อถืออยู่กับพวกเขา
พี่ใหญ่ที่โจวเหวยฉีพูดถึงก็คือเหลียงเยวี่ยจือ คนที่นั่งถัดจากลู่ชิงสี
ขณะที่รุ่นน้องกำลังพูดคุยกัน เหลียงเยวี่ยจือกำลังแกะกุ้งให้กับหลัวเหลาหรุนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ เมื่อได้ยินโจวเหวยฉีพูดชื่อเขา เขาวางกุ้งที่แกะเสร็จแล้วลงในชามของหลัวเหลาหรุน ก่อนจะเหลือบมองขึ้นไปที่โจวเหวยฉี
“น่ายินดีเสียจริงที่ได้เป็นภรรยาของพี่เหลียง” โจวเหวยฉีเคลื่อนสายตาไปมองกุ้งในชามของหลัวเหลาหรุน ใบหน้าของเขาฉายความตะกละออกมาให้เห็น
“โจวเหวยฉี ถ้านายกล้าแย่งอาหารของฉัน สาบานได้เลยว่าฉันจะตัดมือนาย!” หลัวเหลาหรุนใช้มือปิดบนปากชามคล้ายกำลังปกป้องอาหารของตนเอง เธอมองแผนการอันชั่วร้ายของโจวเหวยฉีได้ทันที ที่เห็นใบหน้าตะกละของเขา
โจวเหวยฉีขจัดความคิดที่จะแย่งกุ้งในชามของอีกฝ่ายออกไป หงจากที่เห็นว่าพี่ใหญ่จ้องเขาตาเขม็ง แต่ก็ยังแสดงออกถึงความดื้อรั้นให้เห็น “หลัวเหลาหรุน เจ้าคนขี้งก!”
หลังจากนั้น เสียงหัวเราะของหลัวเหลาหรุนก็ดังก้องไปทั่งห้องที่เงียบงัน
เหลียงเยวี่ยจือหันไปพูดกับลู่ชิงสี “ฉันจำได้ที่นายเคยบอกว่าภรรยาของนายสมัครเรียนมหาวิทยาลัยแพทย์จินโดนี่ เธอได้จดหมายตอบรับหรือยัง?”
“เธอได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยแพทย์หนานเจียง มันใกล้บ้านกว่าน่ะ” ลู่ชิงสีจ้องไปที่โทรศัพท์ของโจวเหวยฉีขณะที่เขาตอบ
“เธอพลาดจาก ม.จินโดหรือยังไง?” เหลียงเยวี่ยจือหยุดนิ่งครู่หนึ่ง
“นายอยากให้ช่วยหาทางย้ายเธอมาเรียนที่ มหาวิทยาลัยแพทย์จินโดไหมล่ะ?”
“ตอนนี้ยังก่อนครับ ค่อยดูกันอีกทีว่าจะเป็นยังไง?” ริมฝีปากของลู่ชิงสีกระตุก
“ถ้าเธออยากเรียนที่ ม.หนานเจียงก็ปล่อยเธอเถอะครับ แล้วค่อยมาดูว่าจะเป็นยังไงต่อไป”
“พี่ ถ้าเจียงเหยาไปเรียนที่หนานเจียง พวกพี่ก็ต้องห่างกันไกลเลยสิ ตอนที่ได้ยินพี่บอกว่าเธอสมัครเรียนมหาวิทยาลัยในจินโด ฉันล่ะมีความสุขกับพี่จริง ๆ” เฉินซวีเหยากล่าวด้วยความงุนงง
“เรามีวิธีให้เธอได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแพทย์จินโดนะ ทำไมพี่ไม่ย้ายเธอมาที่นี่เลยล่ะ? ถึงตอนนั้น ไม่ว่าเธอจะชอบหรือไม่ชอบ สุดท้ายเธอก็ต้องมาที่นี่อยู่ดี หรือทำให้เธอไม่สามารถเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยอื่นได้ ยังไงซะ เธอต้องมาที่นี่อย่างแน่นอน”
“นี่นายโง่หรือเปล่า? ใช้สมองก่อนจะพูดหน่อยสิ นายไม่ได้ยินที่เขาพูดเหรอว่าเจียงเหยาต้องการไปเรียนที่มหาวิทยาลัยแพทย์หนานเจียงน่ะ? ด้วยผลการเรียนอย่างเธอ ฉันมั่นใจว่าถ้าเธอสมัคร ม.จินโด เธอก็ต้องได้รับจดหมายตอบรับอย่างแน่นอน ที่เห็น ๆ ก็คือ เธอไม่อยากมาเรียนที่จินโดต่างหากเล่า” โจวเหวยฉีโพล่งสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาโดยไม่ทันคิดอะไร
“โจวเหวยฉี กินเข้าไปซะ” เหลียงเยวี่ยจือพูดออกมาด้วยอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่ว่าเฉินซวีเหยาเท่านั้น โจวเหวยฉีเองก็ปัญญาอ่อนไม่แพ้กัน
เหลียงเยวี่ยจือสัมผัสได้ถึงความรู้สึกจากน้ำเสียงของลู่ชิงสี แม้ว่าเขาจะตอบว่าไม่ก็ตาม แต่อาจเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เขายังพูดด้วยนี่ว่า ‘แล้วค่อยมาดูว่าจะเป็นยังไงต่อไป’ ซึ่งหมายความว่ามีความเป็นไปได้ที่เขาจะพาเธอมาที่จินโดในอนาคต
ยิ่งไปกว่านั้น เหลียงเยวี่ยจือสังเกตเห็นว่า แม้สายจะถูกตัดอย่างกะทันหัน แต่ลู่ชิงสีก็ไม่แสดงความทุกข์หรือความหงุดหงิดออกมาเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงเขาเห็นริมฝีปากของชายคนนี้ยักขึ้นเล็กน้อย ต่างจากความพยายามครั้งก่อน ๆ ที่เขาพยายามแสดงออกว่าไม่ใจโทรศัพท์หลังจากที่ไม่ได้คุยกับเธอ หรือคุยแล้ววางสายกันไปอย่างรวดเร็ว ทว่าตอนนี้เขาคอยจับตาดูโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา
เขาคิดว่าบางทีเจียงเหยาอาจจะโทรกลับมาในครั้งนี้ก็ได้
เหลียงเยวี่ยจือพบว่าการคาดคะเนนั้นน่าประหลาดใจอยู่บ้าง แต่เขาไม่ได้สนใจเมื่อเห็นลู่ชิงสีก็ดูจะมีความสุขดี
คิดอีกด้านหนึ่ง เหลียงเยวี่ยจือก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย “งานแต่งงานของฉันกับเหลาหรุนจะจัดในวันชาตินะ อย่าลืมซะล่ะ”
ลู่ชิงสีมองไปที่เหลียงเยวี่ยจือแล้วพยักหน้า “ได้ครับ ผมจะไปพร้อมกับเจียงเหยา”
เหลียงเยวี่ยจือยิ้มให้กับคำตอบของเขา จากนั้นเขาก็หันไปรับประทานอาหารรกับหลัวเหลาหรุนต่อ โดยไม่สนใจท่าทางของลู่ชิงสี
เฉินซวีเหยาไม่ได้โง่มากนัก เขาเข้าใจความตั้งใจของเหลียงเยวี่ยจือได้ในทันทีที่เขาได้ยินบทสนทนาธรรมดา ๆ ระหว่างพวกเขาสองคน เขาประทับใจในความฉลาดของเหลียงเยวี่ยจือที่สามารถล้วงตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างลู่ชิงสีกับภรรยาด้วยคำถามง่าย ๆ ดูเหมือนความสัมพันธ์ของพวกเขาจะดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังจากที่เขากลับไปเยียมบ้านครั้งนี้
ในทางกลับกันโจวเหวยฉี กลับไม่รู้อะไรเลย เขาจ้องผู้ชายที่สวมรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้าของพวกเขาสลับกันไปมา เกิดอะไรขึ้นล่ะนั่น? ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจคนพวกนี้เอาเสียเลย? ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าตัวเองพลาดข้อมูลสำคัญอะไรบางอย่างไป? เขาคงต้องเพิ่มไอคิวของตัวเองหน่อยแล้วใช่หรือไม่?
เมื่อโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ลู่ชิงสีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาว่องไวมากจนโจวเหวยฉีเอื้อมมือออกไปคว้าอากาศ น่ารำคาญที่เขาพลาดโอกาสที่จะรับสาย
เจียงเหยาเพิ่งจะโกรธเคือง หลังจากที่เธอวางสายไปก่อนหน้า เธอเสียใจกับการตัดสินใจตัดสายทิ้งของตัวเอง
เธอรอโทรศัพท์จากเขา ดูว่าลู่ชิงสีจะโทรศัพท์กลับมาหาเธอหรือไม่ แต่ก็ไม่เป็นผล ห้านาทีต่อมา เธอรู้สึกหงุดหงิดเมื่อโทรศัพท์ยังเงียบอยู่เหมือนเดิม เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดหมายเลขออกหาเบอร์สุดท้ายที่เพิ่งโทรเข้ามาก่อนหน้านี้
“ไง” เจียงเหยากล่าวอย่างงุ่มง่าม เธอรู้สึกเขินอายเล็กน้อยที่เป็นฝ่ายโทรกลับหาเขา หลังจากที่ตัวเองเป็นฝ่ายตัดสายเขาทิ้ง ดังนั้นเธอจึงพูดทักทายแล้วหยุด รอให้ลู่ชิงสีเป็นฝ่ายพูด
ลู่ชิงสีรับโทรศัพท์และเดินออกจากห้อง เขายืนอยู่ที่ทางเดิน มองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อชมทิวทัศน์ภายนอก พร้อมกับใบหน้ายิ้มร่าอย่างเบิกบาใจ
“ทำไมสายถึงหลุดไปกะทันหันอย่างนั้นล่ะ” ลู่ชิงสี ถามอย่างขบขัน
เจียงเหยาหัวเราะแห้งกับคำถามของเขาและตอบว่า
“นั่นสิ ฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน” ขอบคุณสำหรับคำตอบที่ชานฉลาดของลู่ชิงสี เธอเปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็วและพูดว่า “ช่วงนี้ยุ่งเหรอ? ทำไมถึงเพิ่งจะโทรหาฉันตอนนี้ล่ะ”
“ใช่ หลังจากลงจากเครื่องบิน ยังไม่ทันถึงกองทัพ ผมก็ถูกส่งไปสอบศาสนา นี่เพิ่งจะเสร็จภารกิจวันนี้เอง ผมเพิ่งจะได้ออกมาทานอาหารเย็นพร้อมกับเพื่อน ๆ ข้างนอก” ลู่ชิงสีอธิบายให้เธอฟัง “เป็นห่วงเหรอ?”
“เปล่าสักหน่อย!” เจียงเหยาปฏิเสธทันควัน “เอ่อ ก็นิดหนึ่ง พ่อกับแม่เองก็บอกว่าลูกเขาโตแล้วไม่มีอะไรให้ต้องกังวลไม่ใช่เหรอ? ฉันก็เลยไม่กังวลเท่าไหร่”
ลู่ชิงสียิ้มที่อีกปลายสาย เจียงเหยาเป็นหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ที่น่ารักและปากไม่ตรงกับใจ เธอเพิ่งจะวางสายไปก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรือ แต่เธอคงจะกังวลมากจนกระวนกระวายใจ? ตอนนี้เธอก็คงจะอายเกินกว่าที่จะยอมรับออกมา
“ใช่ ๆ พวกเขาพูดถูกแล้ว” จากนั้นลู่ชิงสีย้ำกับเธออีกครั้ง “บางครั้งผมก็ติดภารกิจจนปลีกตัวออกมาไม่ได้เลย ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมสบายดี”
“ฉันรู้ แต่คุณก็ต้องดูแลตัวเองด้วยนะคะ” เจียงเหยารู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นแรงอีกครั้ง เมื่อเธอคิดถึงภาพเขาตอนที่ฝังอยู่ใต้ดินถล่มในชาติก่อน