ตอนที่ 61+62 รอโทรศัพท์จากเขา
เจียงเหยาพยายามหาโอกาสที่จะแทรกบทสนทนาระหว่างผู้อาวุโส เพื่อถามว่าลู่ชิงสีได้โทรกลับบ้านหรือไม่ แต่น่าเสียดายที่เธอหาจังหวะไม่ได้เลย
ในที่สุดลู่เสี่ยวเซียวและลู่ไห่ชิงก็ขอตัวกลับบ้าน เจียงเหยารีบตรงไปหาพ่อสามี และถามว่า
“พ่อคะ วันนี้ชิงสีเขาได้โทรกลับมาที่บ้านหรือเปล่าคะ?”
เธอควรจะยอมรับว่าเธอรอโทรศัพท์จากเขามาหลายวันแล้ว?
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ตอนอยู่ในเมือง เธอได้เห็นจ้าวจวนซ่งและหญิงสาวตั้งครรภ์เดินไปมาด้วยกันเหมือนกับคู่รักปกติ ครั้งหนึ่งเธอเห็นพวกเขาเดินออกจากโรงพยาบาลพร้อมกัน ดูจากลักษณะแล้ว ดูเหมือนพวกเขาจะไปตรวจครรภ์
จ้าวจวนซ่งไม่เห็นเธอ เพราะเธอยืนในที่ลับตา และต้องพยายามหยุดลู่เสี่ยวเซียวไม่ให้เดินออกไปทักทายพวกเขา
เด็กสาวคนนั้นยังคงไม่สังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้น
นอกจากต้องการพูดเรื่องนี้กับลู่ชิงสีแล้ว เจียงเหยายังคิดถึงเขามากด้วย เธอเป็นห่วงเขาเพราะเขาไม่ได้โทรกลับมาบ้านหลายวันแล้ว ทั้งที่สัญญากันไว้เป็นดิบดีว่า ทันทีที่ถึงกองทัพ เขาจะโทรมา
“ไม่นะ พ่อว่า เขาคงจะยุ่งจนลืมโทรกลับมานั่นล่ะ” พ่อลู่กล่าว
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก เขาก็โตแล้ว เขาดูแลตัวเองได้ อีกอย่างนี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ ทางกองทัพก็คงจะติดต่อพวกเรามาแล้วล่ะ”
“อ้อ ค่ะ” เจียงเหยาตอบพร้อมกับหลุบตาลงต่ำ จากนั้นเธอก็ขอตัวขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเอง
ภายใต้ความเฉยเมยและไม่แสดงออกอะไรเลยของเธอ ขณะพูดกับพ่อลู่ ทว่าภายใจของเธอเดือดพล่านไปด้วยความโกรธและปั่นป่วน
คนบ้า เขาไม่ได้บอกเองหรอกเหอรว่าเขารักเธอมากขนาดไหน? แต่นี่อะไร ไปถึงกองทัพก็หายเงียบไปเลย เหมือนกับว่าวที่หายวับไปในท้องฟ้า หลังจากที่เส้นด้ายของมันขาด
ยุ่ง! ยุ่ง! ยุ่ง!
เขาจะยุ่งขนาดไหนเชียว? แม้ว่าจะยุ่ง แค่โทรมาบอกนิดหน่ยอ คงไม่รบกวนมากหรอกมั้ง?
ในชีวิตที่แล้วของเธอ เธอไม่ได้รักเขา เขาจะได้คุยกับเธอ เฉพาะตอนที่เธอว่างและพร้อมจะคุยกับเขาเท่านั้น
น่าแปลกที่ในชีวิตนี้ เธอคิดถึงเขา แต่เขากลับไม่โทรมานี่สิ!
เธอดึงลิ้นชักและเห็นสมุดบัญชีธนาคารของลู่ชิงสี เธอระบายความโกรธด้วยการจ้องเขม็งไปที่สมุดบัญชีธนาคารนั่นอย่างไร้เดียงสา ราวกับว่าเธอกำลังจ้องมองไปที่เจ้าของของมัน
“ฉันให้เวลาคุณอีกแค่สองวัน ถ้าคุณไม่โทรมานะ ฉันจะ...ฉันจะ..ไม่สนใจคุณแล้ว!” เจียงเหยาสาปส่งเขาอย่างไม่พอใจ
เธอล้มตัวนอนลงบนเตียงขนาดใหญ่ ถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง
เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าการรอฟังข่าวของคน ๆ หนึ่งจะน่าหงุดหงิดและหดหู่ขนาดนี้
มันยากเหลือเกินที่จะจินตนาการถึงช่วงเวลาตลอด 11 ปี ที่ลู่ชิงสีเล่าในจดหมายว่าเขาเฝ้ารอเธอมาโดยตลอด แต่เธอไม่เคยจะหันกลับมามองเขาเลย ตอนนั้นเขาจะรู้สึกอย่างไรนะ?
เมื่อความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาในหัวของเจียงเหยา เธอก็อดไม่ได้ที่จะสงบสติอารมณ์ลง ไม่เป็นไร ชีวิตก่อน เธอติดค้างเขามากมายเหลือเกิน ไม่ว่าเขาจะโทรหาเธอในอีกสองวันข้างหน้า หรือว่าภายในยี่วันข้างหน้า เธอเหรอจะเพิกเฉยต่อเขาได้จริง ๆ?
เป็นเวลาหลายวันติดต่อกันที่เมื่อโทรศัพท์ดังขึ้น เจียงเหยาจะเป็นคนแรกที่วิ่งไปรับสาย แม้แต่พ่อและแม่ลู่ก็พบว่าท่าทางกังวลใจของเธอนั่นน่าขบขันขนาดไหน แต่พวกเขาไม่ได้พูดอะไรออกมา
วันที่ 12 สิงหาคม มีงานมงคลจัดขึ้น เสียงประทัดดังก้องไปทั่วทั้งเมืองตั้งแต่เช้าตรู่
เจียงเหยายืนอยู่บนระเบียงชั้นสอง มองเห็นครอบครัวหนึ่งที่กำลังจัดงานแต่งงานอยู่ไม่ไกลจากบ้านตระกูลลู่
พ่อและแม่ลู่กำลังเดินเข้ามาจากลานนอกบ้าน เธอยิ้มและถือขนมในงานแต่งงานติดมือกลับมาด้วย เมื่อพวกเขาเห็นเจียงเหยายืนอยู่ที่ระเบียงบ้าน จึงตะโกนพูดกับเธอ “คืนนี้พ่อกับแม่จะเข้าไปทานอาหารเย็นในงานเลี้ยงแต่งงานในเมืองนะ ลูกอยู่บ้านคนเดียว หาอะไรกินเองที่บ้านได้เลยนะ ได้ไหม?”
“ได้ค่ะ” เจียงเหยาพยักหน้า
พ่อและแม่ลู่ออกจากบ้านไปหลังทานอาหารกลางวัน ส่วนเจียงเหยาเธออยู่ในห้องนอนของเธอตลอดช่วงบ่าย กระทั่งเริ่มมือ เธอค่อยลงมาอุ่นอาหารที่เหลือจากมื้อกลางวันทาน
ขณะอุ่นอาหารอยู่ในครัว โทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นก็ดังขึ้น เจียงเหยาถอนหายใจ เธอปิดไฟบนเตา และรับโทรศัพท์อย่างสิ้นหวัง เธอพูดกับปลายสาย “สวัสดีค่ะ ฉันเจียงเหยาค่ะ ตอนนี้สามีของฉันไม่อยู่บ้าน มีอะไรก็ฝากข้อความไว้ได้ค่ะ ฉันจะแจ้งเขาให้”
เจียงเหยาไม่สนใจมากนัก เธอพร้อมที่จะวางสายหลังจากฟังข้อความของปลายสาย แต่เสียงที่ดังลอดมาจากอีกด้านของโทรศัพท์ทำให้เธอตกตะลึง
เป็นสายจากลู่ชิงสี
“เจียงเหยา ผมเอง” น้ำเสียงแข็งทื่อ ตรงไปตรงมาตามปกติของลู่ชิงสีก้องอยู่ในหูของเธอผ่านสายโทรศัพท์
มันเป็นช่วงเวลาที่น่าอัศจรรย์สำหรับคนที่ไม่ได้คาดหวัง
หลังจากที่เธอได้สติคืนกลับมา เจียงเหยาตะโกนใส่โทรศัพท์ทันที
“ลู่ชิงสี! นี่คุณลืมที่จะโทรกลับมาหาฉันแล้วใช่ไหม ไหนรับปากแล้วไงว่าถึงกองทัพจะโทรมาหาฉัน? ยังจำได้ไหม หะ? คุณรู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงคุณแค่ไหน ทุกวัน ฉันเหมือนคนบ้าที่รีบวิ่งมารับโทรศัพท์ทันทีที่โทรศัพท์ดัง คิดว่าจะเป็นสายจากคุณเสียอีก! สิบวัน! ตั้งสิบวันเต็มที่ฉันเฝ้าเป็นห่วงคุณ! ส่วนคุณ จำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าต้องโทรกลับบ้าน หึย!”
ยิ่งเจียงเหยาพูดมากเท่าไหร่ ความกระวนกระวายใจก็มากขึ้นเท่านั้น หลังจากต่อว่าเขาอย่างต่อนเอง เธอก็กระแทกหูโทรศัพท์ลงและวางสายทันที
จากนั้นเธอก็จ้องไปที่โทรศัพท์ หอบและหายใจด้วยความโกรธเคือง
ในขณะนั้น ที่ร้านอาหารหลงเถิง เมืองจินโด ลู่ชิงสีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงบิ๊บในโทรศัพท์ เขาแปลกใจที่เจียงเหยาวางสายทันที หลังจากต่อว่าเขา
เธอคงจะโกรธมาก จนวางสายไป โดยไม่ให้โอกาสเขาได้พูดอะไรสักคำ
ลู่อี้ชิงไม่ได้เสียอารมณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ขณะที่เขาคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เธอพูด เธอเป็นห่วงเขามาสิบวันแล้ว และรอโทรศัพท์จากเขาทุกวัน เขาก็เข้าใจในความวิตกกังวลและความทุกข์ของการคิดถึงใครสักคน
“ทำไมเหรอ? พี่สะใภ้วางสายไปแล้วเหรอ” โจวเหวยฉี เจ้าของโทรศัพท์มือถือที่ลู่ชิงสีใช้อยู่ เหลือบมองอย่างสนุกสนานไปที่ผู้ชายที่ไม่สามารถออกจากห้องไปคุยโทรศัพท์ได้ เขาแซวต่อ “เธอดีที่สุด”
จ้าวเหวยฉีพูดขึ้นอีกครั้ง โดยมีเจตนาให้กับเพื่อนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะรู้เรื่องเกี่ยวกับลู่ชิงสีและภรรยาของเขา
“เหวยฉี นี่นายมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นได้ยังไงกัน? น่าเกลียด” เฉินซวีเหยา เตะโจวเหวยฉีที่กำลังยิ้มอย่างสดใส
จ้าวเหวยฉีเหล่มองไปที่เฉินซวีเวยจากหางตา พร้อมส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ “โลกมีผู้หญิงตั้งมากมาย อยากได้ใคร... แม่ง! ซวีเหยา! เตะฉันอีกครั้ง ได้เห็นดีกันแน่!”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เฉินซวีเหยาก็เตะเขาอีกครั้งและคราวนี้เตะแรงกว่าครั้งก่อน โจวเหวยฉีถึงกับเดาว่าเท้าของเขาต้องบวมจากการโดนอีกฝ่ายเตะเป็นแน่
ทันทีที่โจวเหวยฉีสะดุ้งแล้วยืนขึ้น ท่าทางของเขาก็คล้ายพร้อมที่จะกระโดดทับไปบนตัวของเฉินซวีเหยา
“ข้าวเต็มปาก ยังจะอ้าปากพูดอีกเหรอ? เคี้ยวมันเข้าไปซะ” เฉินซวีเหยามั่นใจว่า ถ้าโจวเหวยฉีพูดจนจบประโยค เขาโดนลู่ชิงสีเล่นงานแน่
ลู่ชิงสีเป็นคนที่รักภรรยาของเขามากขนาดไหน ทุกคนต่างรู้ดีว่าเขาทั้งรักและหวงแหนเธออย่างใส่ใจ นี่บ้าอะไร มาเสนอให้เขาหาผู้หญิงอื่น แทนการเอาใจผู้หญิงที่ทำให้ลู่ชิงสีกระวนกระวายใจอยู่ในตอนนี้
โจวเหวยฉีเพิ่งจะตระหนักได้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป หลังจากโดยเฉินซวีเหยาต่อว่า เขานั่งลงอย่างขลาดกลัว และพูดพร้อมกับยื่นมือไปหาลู่ชิงสี “นี่ พี่ ขอโทรศัพท์ฉันคืนด้วย?”
“มีเรื่องด่วนเหรอ?” ลู่ชิงสียืนห่างจากโจวเหวยฉีไม่กี่ก้าว เขาถามขึ้นโดยไม่ละสายตาจากโทรศัพท์ของโจวเหวยฉีที่อยู่ในมือเขา โดยไม่มีทีท่าว่าจะคืน
“เปล่า ไม่ใช่เรื่องด่วนอะไร” โจวเว่ยฉีกล่าวอย่างเขินอาย
“ถ้าจะโทรอีกครั้ง ก็โทรเถอะ... คุยจบแล้วก็กลับมากินข้าวได้แล้ว”
**********
นอกเรื่องจากผู้เขียน
ผู้อ่านหลายท่านคงสงสัยเกี่ยวกับความรู้สึกของเจียงเหยา ที่มีต่อลู่ชิงสี ว่าทำไมความรักของเขาถึงได้คืบหน้าอย่างยิ่งยวดเพียงไม่กี่วันหลังจากกลับมาเกิดใหม่ ผู้เขียนจึงขออธิบายดังนี้จ้า
ก่อนการเกิดใหม่ของเจียงเหยา สาเหตุหลัง ๆ ที่เจียงเหยาและลู่ชิงสี แยกจากกันตลอดสิบเอ็ดปีของชีวิตแต่งงาน เพียงเพราะเธอเข้าใจว่าการแต่งงานที่เกิดขึ้นเป็นการคลุมถุงชนโดยผู้ใหญ่ ไม่ใช่มาจากตัวเจ้าบ่าว (ลู่ชิงสี) เธอจึงต่อต้านและพยายามเลี่ยงห่างจากเขา เพราะอยากให้เขาได้มีอิสระ
เจียงเหยานั้นเป็นลูกสาวคนเล็กของตระกูลเจียง เธอไดรับความรักจากพ่อแม่ และพี่ชายมาโดยตลอด ไม่เคยต้องผ่านความทุกข์ยากตลอดชีวิตที่เติบโตมาเลย เธอเป็นเด็กที่เรียนเก่ง และเป็นคนที่เป็นตัวของตัวเอง แต่วันหนึ่งพ่อแม่กลับบอกเธออย่างกะทันหันว่า เธอต้องแต่งงานกับลู่ชิงสี ชายคนแปลกหน้าที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน ปฏิกิริยาแรกของเธอคือความรู้สึกว่าการกระทำของพ่อแม่ไร้สาระและไม่น่าเชื่อถือ
พ่อแม่เจียงรักลูกสาวมาก หากแม้เจียงเหยายืนกรานว่าจะไม่แต่งงาน พวกเขาก็คงไม่บังคับเธอให้แต่งงานกับลู่ชิงสี แต่เจียงเหยากับยินยอม เพราะเธอต้องการแสดงให้พ่อกับแม่ได้เห็นว่าผลของการบังคับให้เธอแต่งงาน ที่พ่อกับแม่คิดว่ามันดีและเหมาะกับเธอ สุดท้ายแล้วมันเป็นอย่างไร
การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเจียงเหยา คนที่ไม่เคยมีความรักมาก่อน เธอไม่เข้าใจว่าความรักคืออะไร และไม่เคยสนใจเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มาก่อน การแต่งงานกับลู่ชิงสีด้วยสภาพจิตใจเช่นนั้น ทำให้เจียงเหยารู้สึกราวกับติดอยู่ในเขาวงกต
แต่เธอไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไรกับลู่ชิงสีเลย ไม่อย่างนั้นเธอคงหนีไม่พ้นเขาแบบนั้นหรอก หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย เธอสามารถหย่ากับเขาก็ได้ เพราะตอนนั้นเธอเองก็ทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้แล้ว การจะตัดความสัมพันธ์กับผู้ชายสักคนไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
แต่เธอก็ไม่ทำ เธอเลือกที่จะหนีและหลีกเลี่ยงเขาแทน ซึ่งแสดงถึงความรู้สึกคลุมเครือในใจที่เธอมีต่อลู่ชิงสี เอาเข้าใจคือเธอไม่รู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับเขาอย่างไร
ความรู้สึกของเจียงเหยาที่มีต่อลู่ชิงสีนั้นแสดงให้เห็นตั้งแต่สองตอนแรกของนิยายแล้ว อาจจะเบาบางเกินกว่าที่ผู้อ่านจะสังเกตเห็น
ตัวอย่างเช่น หลังจากหลายปีที่ไม่เคยได้ติดต่อสื่อสารกันเลย แต่เจียงเหยายังคงจำเสียงของลู่ชิงสีได้ ทันทีที่เขาพูดเพียงประโยคเดียว มันแสดงให้เห็นว่าเสียงของลู่ชิงสีฝังลึกในใจของเธอ แต่เธอกำลังปฏิเสธตัวเองและไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับความรู้สึกของเธออย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเธอจะไม่ได้พบเขามาเป็นเวลานาน แต่เธอก็จำลู่ชิงสีได้ในแวแรกทันทีที่เขาถูกดินถล่มฝังกลบ
เมื่อลู่ชิงสีถูกดินถล่มกลืนกินร่างของเขา การตอบสนองแรกของเธอ ก็ได้แสดงให้เห็นว่าเธอไม่เคยโกรธเคืองต่อลู่ชิงสีเลย ตลอดมาเธอเคยชินกับการระงับความรู้สึกมากจนเกินไป และกำลังปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองอย่างสุดซึ้ง เพียงเพื่อได้จะได้แสดงออกในทางตรงกันข้ามกับความคาดหวังของพ่อและแม่ โดยแสดงให้พวกเขาเห็นว่าเธอไม่มีความสุขมากแค่ไหนและเธอต้องเผชิญกับความโชคร้ายขนาดไหนหลังจากการแต่งงานในครั้งนี้
นั่นก็คือผลลัพธ์ของความคิดที่ดื้อรั้นของเด็กสาวในช่วงวัยเยาว์คนหนึ่ง
จดหมายของลู่ชิงสี การเสียสละของเขา และความรักอันแรงกล้าที่เขามีต่อเธอ เพียงพอที่จะปลดปล่อยเธอจากพันธนาการที่มองไม่เห็น และช่วยให้เธอตระหนักถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเธอที่มีต่อลู่ชิงสี
ดังนั้น หลังจากที่เธอเกิดใหม่ เจียงเหยาจึงชอบลู่ชิงสี แม้ว่าจะยังอยู่ในสถานะที่คลุมเครือ เธอเลือกที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับลู่ชิงสีให้มากขึ้น ทำให้ความหลงใหลก็มากขึ้น ความรักใคร่ก็มากขึ้นและลึกซึ้งยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นพัฒนาการของความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาอย่างเป็นธรรมชาติ