ตอนที่ 42 อันนี้มาซื้อกำหล่ำปีหรือเปล่าเนี่ย?
อู๋ตี๋หันไปมองแล้วปั้นหน้ายิ้มด้วยความรีบร้อน “ผู้จัดการครับ นี่คือเพื่อนร่วมชั้นเรียนของผม เขา...เขามาดูรถผมเลยจะแนะนำให้เขา”
ผู้จัดการที่อายุพอๆกับอู๋ตี๋เมื่อได้ยินแบบนั้นเขาก็ทำเสียงเย็นชาออกมา เขากวาดตาไปทั่วตัวเย่เทียน
“ถึงจะใส่แบรนด์เนมทั้งตัวแต่ไม่รู้ว่าเป็นสินค้าเกรด A หรือเปล่า แถมยังไม่มีนาฬิกาดีๆสักเรือน แต่ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆสวยดีนะ”
ผู้จัดการหันไปมองสวีเหว่ยเหว่ยโดยไม่ปิดบังอยู่วักครู่
สวีเหว่ยเหว่ยมีบุคลิกที่ร้อนแรง เธอจงใจยกหน้าอกขึ้นแล้วพูดว่า “จะให้ฉันถอดเสื้อให้ดูเลยไหม”
ผู้จัดการถึงกับสะดุ้ง เขาหน้าแดงและเดินจากไปอย่างเร่งรีบ
เย่เทียนยิ้มและยกนิ้วให้เหว่ยเหว่ย เขาหันไปถามอู๋ตี๋ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร
อู๋ตี้พูดอย่างลำบากใจ “เป็นเด็กเส้นของบริษัทน่ะ อายุน้อยกว่าฉันหนึ่งปีแต่ได้เป็นผู้จัดการแล้ว ตอนเรียนยังดีกว่าเยอะเลย ถึงจะมีกลอุบายแต่ก็ไม่เหมือนออกมาอยู่ในสังคม จะอยู่ที่ไหนก็มีแต่โดนหักหลัง”
อู๋ตี้อามรมณ์เสียและเดินไปรอบๆบูธกับเย่เทียน
ชีวิตของอู๋ตี๋ลำบากยิ่งกว่าเย่เทียนก่อนที่ระบบจะเปิดใช้งาน
ไม่ว่าเย่เทียนจะแย่แค่ไหนเขาก็แค่ถูกเซียวหรงรังแก ท้ายที่สุดเขาก็ยังได้เป็นลูกเขยหลังจากกลับมาที่ไห่จิงได้ไม่นาน แต่อู๋ตี๋ต่างกัน แม้ว่าเกรดของเขาจะดีที่สุดในมหาลัยแต่เขาก็ถูกจำกัดด้วยเส้นสายและภูมิหลังของครอบครัว เขาหางานที่ตัวเองอยากทำไม่ได้ พ่อแม่ของเขาจึงมอบข้อเสนอให้คือกลับไปบ้านเกิดไปแล้วทำฟาร์มหรือเป็นรปภ.โรงงาน...
หลังจากผ่านความยากลำบากมากมายเขาก็พบบริษัทใหญ่ที่ให้งานทำ แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของฝันร้าย เพื่อนร่วมงานที่เข้ามาพร้อมกันมีพ่อและแม่ที่รู้จักกับประธานจึงได้เลื่อนตำแหน่งอย่ารวดเร็ว แต่เขาที่แม้ว่าทำผลงานได้ดีที่สุดแต่ก็ยังไม่ได้เลื่อนตำแหน่งและเป็นพนักงานขายที่มีตำแหน่งต่ำที่สุด
“ความคิดคืออ้วน ความจริงคือผอม” อู๋ตี๋ยิ้มอย่างขมขื่น
เย่เทียนเห็นใจกับประสบการณ์ของเพื่อนคนนี้มาก “ทำไมต้องโกรธด้วย ลาออกไปเลยสิ”
“ทำไมนายไร้เดียงสาแบบนี้? นายพูดง่ายแต่ฉันทำไม่ได้นี่สิ แม่ยายในอนาคตของฉันขอของหมั้นมูลค่า200,000 ฉันกังวลจนหัวขาวไปหมดแล้วเนี่ย ไม่เชื่อนายลองดูสิ...”
เย่เทียนยิ้มแล้วส่ายหัว เขาคิดอยู่ในใจแล้วว่าเขาต้องช่วยน้องชายคนนี้
“อู๋ตี๋”
หญิงสาวหน้าตาธรรมดาที่มีรูปร่างอ้วนกลมเดินมาหาอู๋ตี้และพูดอย่างดุดัน “นายมัวทำอะไรอยู่ นายอยากแต่งงานกับฉันอยู่ไหมเนี่ย?”
“ลี่ลี่ เธอมาได้ยังไง? ฉัน...แน่นอนว่าฉันอยากแต่ง!” อู๋ตี้พูดด้วยความประหลาดใจ
“แล้วทำไมนายไม่ทำงานหนักเพื่อขายรถล่ะ มัวแต่คุยอะไรอยู่? ฉันยังไม่ได้ของหมั้นราคา 200,000 ด้วยซ้ำ พูดไปแล้วก็อายคนอื่น!”
“เพื่อนฉันยังอยู่ที่นี่ ช้วยไว้หน้ากันหน่อยได้ไหม? กลับไปบ้านแล้วค่อยพูดก็ได้” อู๋ตี๋เป็นกังวล
แต่ลี่ลี่คุ้นเคยกับเรื่องนี้แล้ว “หน้ามันก็ของนาย ไม่ใช่ของคนอื่น! พ่อแม่บอกให้นายมอบของหมั้นก่อนสิ้นเดือน ไม่อย่างนั้นเราเลิกกัน!”
หลังยัยอ้วนลี่ลี่พูดจบ เธอก็ไม่ได้หันไปมองเย่เทียนกับสวีเหว่ยเหว่ยแต่วิ่งไปหาผู้จัดการทันที เธอยิ้มแล้วทำตัวเหมือนกับหญ้าหางหมาจิ้งจอก
“บัดซบ! ไอ้ครอบครัวหัวสูง!”
ใบหน้าของอู๋ตี๋ซีดลง “ขอโทษนะเย่เทียน นายต้องมาเห็นเรื่องตลกของฉันซะแล้ว”
เย่เทียนตบไหล่ของอู๋ตี๋แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “พูดเรื่องอะไรน่ะน้องชาย วันนี้ฉันมาซื้อรถนะ ช่วยแนะนำให้ฉันหน่อยสิ”
“ได้เลย อยากได้รถราคาเท่าไหร่ล่ะเดี๋ยวฉันแนะนำให้” อู๋ตี้พยักหน้าซ้ำๆ เขารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
เวลานี้ในห้องโถงนิทรรศการกำลังคึกคักมาก กล้องถ่ายรูปสั้นยาวกำลังถ่ายไปมา
“ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องรถเท่าไหร่ เอาให้ดูดีก็พอ”
เย่เทียนเดินไปที่บูธเมอร์เซเดส-เบนซ์ซึ่งมีชายหญิงหลายสิบคนมุงกันอยู่
อู๋ตี๋ยิ้มเจื่อน “อย่าเอาคันนั้นดีกว่านะ จะซื้อรถทั้งทีต้องคิดถึงความคุ้มค่าสิ มีรถอยู่หลายคันที่ราคาไม่ถึง 300,000 หยวน เดี๋ยวฉันแนะนำให้นายเอง”
“ฉันว่ารถคันนี้สวยดีนะ” เย่เทียนยกมือขึ้นและชี้ไปที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ที่อยู่ข้างหน้า เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่นนี้มีเพียงสี่คันในงานเท่านั้น นั่นทำให้มีแสดงให้เห็นอยู่ทุกทิศทาง
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียน ผู้ชายที่อยู่รอบบูธก็หันมามองเขาด้วยสายตาเยาะเย้ย
อู๋ตี๋ถึงกับเกาหัว “นี่...รถคันนี้ไม่ใช่เมอร์เซเดส-เบนซ์ธรรมดา มันคือเมอร์เซเดส-เบนซ์มายบัค”
“เธอว่ามันดูดีไหม?” เย่เทียนหันไปถามสวีเหว่ยเหว่ย
สวีเหว่ยเหว่ยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ฉันว่ามันก็ดูดีอยู่นะ แต่ฉันไม่ค่อยเข้าใจเรื่องรถเท่าไหร่”
เย่เทียนพยักหน้า เขายกมือขึ้นแล้วชี้ไปอีกคัน “แล้วคันนี้ล่ะ”
อู๋ตี๋พูดไม่ออก
คนที่เดินผ่านไปมาอดที่จะหัวเราะไม่ได้
แล้วคันนี้ล่ะ?
พี่ชายเสแสร้งเกินไปแล้ว!
ราคาต่ำสุดของเมอร์เซเดส-เบนซ์มายบัคอยู่ที่ 7 ล้าน นายคิดว่ามาซื้อกะหล่ำปีข้างทางหรือไง?
หลังจากนั้น
เย่เทียนหยิบบัตรธนาคารออกมาและไม่ลืมที่จะถามบางอย่างก่อน “นายจะได้รับค่าคอมมิชชั่นครั้งนี้ใช่ไหม?”
อู๋ตี้ตกใจ “เอ่อ...ได้สิ รถคันไหนที่ฉันขายได้ในห้องโถงนิทรรศการ ฉันก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่น... นายแน่ใจแล้วเหรอว่าจะเอาคันนี้?”
“ใช่”
เมื่อเห็นว่าเย่เทียนไม่ได้ล้อเล่นอู๋ตี๋จึงรีบไปคุยกับผู้จัดการ
ไม่นานหลังจากนั้น ผู้จัดการที่ว่าอู๋ตี๋ก่อนหน้านี้ก็เข้ามาด้วยทัศนคติที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เขาเข้ามาพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านครับ ให้ผมแนะนำประสิทธิภาพรถคันนี้ให้คุณ...”
“ฉันไม่เชื่อนาย” เย่เทียนไม่ได้ไว้หน้าเข้าเลยสักนิด “ให้อู๋ตี๋มาอธิบาย ฉันเชื่อแค่อู๋ตี๋เท่านั้น”
การแสดงออกของผู้จัดการเปลี่ยนไป แต่เขายังไม่ยอมแพ้ “อู๋ตี้เป็นแค่พนักงานขายธรรมดาส่วนผมเป็นมืออาชีพ”
“ฉันก็ไม่เชื่อนายอยู่ดี มีปัญหาอะไรไหม? วันนี้ฉันยังมีงานต้องทำอยู่ ไปเรียกอู๋ตี้มาเร็ว!”
เย่เทียนทักทายอู๋ตี้ เขารีบกรอกใบสั่งซื้อแล้วชำระเงิน
“จ่าย...จ่ายเต็มจำนวน?”
มีเสียงวิ้งๆอยู่ในหัวอู๋ตี๋
คนที่ดูอยู่รอบๆยิ่งตะลึงเข้าไปกันใหญ่
รถเกือบ 10 ล้าน แค่บอกจะซื้อก็ซื้อเลย?!
วันนี้ฉันเจอเทพระดับไหนเนี่ย?!
บัดซบ! !
ธุรกรรมนับสิบล้านนี้ทำให้ผู้จัดการหันมาสนใจ เขาเอาโบรชัวร์รถยนต์และแชมเปญไปให้เย่เทียนเป็นการส่วนตัว และยังอวยพรให้เย่เทียนว่า: ขอแสดงความยินดีกับคุณเย่และคุณสวีที่ซื้อเมอร์เซเดส-เบนซ์มายบัคขอให้พวกคุณสุขภาพแข็งแรง ขอให้สมปรารถนาในเรื่องต่างๆ...ฯลฯ
“ที่รัก! ฉันได้ยินมาว่าการขายครั้งนี้ คุณจะได้รับค่าคอมมิชชั่นเกือบล้าน! นี่มันเยี่ยมไปเลย ไม่ใช่แค่เงินค่าของหมั้น แต่พวกเรายังจ่ายเงินดาวน์บ้านได้ด้วย! เพื่อนของคุณนี่สุดยอดจริงๆ!” ลี่ลี่วิ่งเข้ามาอย่างมีความสุข
อู๋ตี๋ไม่ได้สนใจเธอ เขาเข้าไปกุมมือของเย่เทียนด้วยความซาบซึ้ง “เย่เทียน ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีนอกจากคำว่าขอบคุณ”
“ก็ต้องพูดเรื่องรถอยู่แล้ว ฉันว่าจะขับรถคันนี้นี่แหละ แต่ฉันยังมีเพื่อนอีกหลายคนที่ยังไม่มีรถขับ” เย่เทียนลุกขึ้นและเดินไปที่พื้นที่จัดแสดงแลมโบกินี...