ตอนที่แล้วWMR ตอนที่ 1 การเทเลพอร์ตที่เฮงซวยที่สุด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปWMR ตอนที่ 3 คาถาวอเทอร์บอล

WMR ตอนที่ 2 สูตรโกงที่ไม่น่าเชื่อถือที่สุด


“มิเชล เจ้าต้องเชื่อข้านะ!”

หากไม่ใช่เพราะมือถูกมัดไว้แน่น กู้เป่ยคงหาอะไรมาปิดปากแอนนี่ไปแล้ว

เพราะเสียงของเธอทำให้หูของกู้เป่ยแทบแตก

เนื่องจากกู้เป่ยเดาว่าแอนนี่ฆ่าแซลลี่ทำให้แอนนี่วุ่นอยู่กับการพยายามแก้ตัวซ้ำ ๆ น่าเสียดายที่มิเชลไม่ได้พูดอะไรและดึงกู้เป่ยออกจากเก้าอี้อย่างเงียบ ๆ ก่อนจะลากเขาออกจากห้องใต้ดินราวกับคนชื่อแซลลี่ไม่เคยมีตัวตน

จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเดินทางไปยังที่ตั้งของคลังสมบัติตระกูลลิเธอร์

พวกเขาเดินผ่านป่าในค่ำคืนที่มืดมิดอย่างเงียบ ๆ

มิเชลเดินนำอยู่ข้างหน้าเพื่อนำทาง กู้เป่ยที่ถูกมัดอยู่ตรงกลาง และสุดท้ายเป็นแอนนี่ที่อยู่รั้งท้ายเพื่อค่อยระวังและทำให้แน่ใจว่าไม่มีกองทหารไล่ตาม

ดังนั้นมันจึงทำให้ทีมของพวกเขาเคลื่อนที่ช้ามาก

แน่นอนว่ามันไม่ใช่เพราะผู้หญิงสองคนมีร่างกายอ่อนแอ แต่เป็นเพราะกู้เป่ย

ด้านหนึ่งนี่เป็นความตั้งใจจะลากถ่วงของเขา

อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะร่างกายของเขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว

ไม่ ไม่สิจะพูดว่านี่เป็นร่างกายของกู้เป่ยก็ไม่ถูกนัก แต่เป็นร่างของ ‘เซอร์ลิเธอร์’ ที่เขาใช้อยู่ต่างหากที่อ่อนแอเกินไป

แม้ปกติแล้วกู้เป่ยจะไม่ใช่คนที่ออกกำลังกาย แต่ร่างกายของเขาก็ไม่ได้เปราะบางเท่าร่างกายที่เขากำลังครอบครองอยู่ มันราวกับเขาเป็นเด็กวัยรุ่นขี้โรคคนหนึ่ง คคนหนึ่งึ้าเปรองอย่างกายที่สามารถเพียงแค่เดินเร็วขึ้นเล็กน้อยคอของเขาก็แห้งผากหายใจแทบไม่ทัน ความรู้สึกอ่อนแอนี้ราวกับหลุดออกมาจากกระดูกภายในและกระจายไปทั่วทุกเซลล์ของร่างกาย เขารู้สึกว่าตัวเขาในตอนนี้สามารถเป็นลมได้ทุกเมื่อ

นี่ยังไม่นับอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นแบบสุ่มอีก

นั่นทำให้กู้เป่ยอดสงสัยไม่ได้ว่าแม้เขาจะหลบหนีจากมิเชลได้สำเร็จ แต่ร่างนี้อาจจะเป็นลมกลางป่าก่อนจะกลายเป็นอาหารสัตว์แถวนั้น

ส่งผลให้วิธีหลบหนีกว่าครึ่งถูกปัดตกทันที

โดยสรุปแล้วเขาไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้เลย...

“สงสัยฉันคงพึ่งพาได้แต่คนที่ตระกูลลิเธอร์ส่งมาเท่านั้น” กู้เป่ยบ่นกับตัวเอง

“ดูจากร่องรอยการทรมานแล้ว ท่านน่าจะถูกลักพาตัวมาได้ประมาณสามวัน ผ่านมาสามวัน แต่พวกเขาก็ยังหาท่านไม่พบ ดูเหมือนตระกูลลิเธอร์จะติดตามได้ห่วยแตก ผลการวิเคราะห์: หากท่านพึ่งพาตระกูลลิเธอร์เพื่อหลบหนี อัตราความสำเร็จจะมีเพียงสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น”

เสียงกลไกเย็นชาดังขึ้นภายในใจของเขา

กู้เป่ยไม่แปลกใจ

เขาหวังว่าเขาจะสามารถบีบคอเจ้าเสียงนี่ให้ตายพอ ๆ กับที่เขาอยากทำกับแอนนี่ เนื่องจากระหว่างทางออกจากห้องใต้ดิน เขาทรมานแทบตายเพราะต้องทนฟังเจ้าเสียงนี่พูด

มันเริ่มพูดครั้งแรกเมื่อประมาณสามชั่วโมงที่แล้ว

ขณะที่กู้เป่ยเพิ่งออกจากห้องใต้ดิน ความเจ็บปวดก็ถาโถมเข้ามาในหัวของเขาพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้น:

“กำลังเริ่มต้นระบบ กรุณารอสักครู่...สวัสดี มีอะไรให้ช่วยไหม?”

ทันทีที่เสียงดังขึ้นกู้เป่ยก็หลงคิดไปว่าเขาเทเลพอร์ตอีกครั้ง

แต่ไม่นานเขาก็สังเกตเห็นว่าทั้งมิเชลและแอนนี่ไม่ได้ยินเสียงนี้ ดังนั้นเขาจึงเริ่มสงสัยว่าเขามีอาการประสาทหลอน

“ท่านสามารถเลือกเชื่อว่าตัวเองบ้าไปแล้วและฆ่าตัวตาย หรือท่านจะเลือกเชื่อว่ามีปัญญาประดิษฐ์ที่สุดแสนจะฉลาด และซับซ้อนปรากฏขึ้นในสมองของท่านเพื่อช่วยให้ท่านสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก และไปถึงจุดสูงสุดของชีวิตก็ได้” เสียงดังกล่าวตอบข้อสงสัยของกู้เป่ย

เขารู้สึกว่ามันมีเหตุผลมากและไม่สามารถหาอะไรมาแย้งได้

เขามีระบบของตัวเอง นี่เป็นสถานการณ์ที่ปกติมากในนิยายที่เกี่ยวกับการข้ามโลก นับตั้งแต่เขาเป็นหนึ่งในคนข้ามโลกที่ว่า เขาก็ไม่คิดว่ามีอะไรที่แปลกไปกว่าเขาอีกแล้ว

เจ้าเสียงที่กำลังพูดอยู่คงเป็นสูตรโกงของเขาไม่ผิดแน่

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็บอกฉันทีท่านปัญญาประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ ฉันจะหลบหนีจากเงื้อมมือของผู้หญิงสองคนนี้ และเอาชีวิตรอดในป่าโดยอาศัยแค่ความสามารถของตัวเองได้อย่างไร?”

กู้เเป่ยถามด้วยความคาดหวัง

"หากท่านต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ โปรดกดศูนย์"

หน้าจอดิจิตอลปรากฏขึ้นตรงหน้าของกู้เป่ย

กู้เป่ยถูกผงะ

เขามองไปรอบ ๆ และโล่งใจเมื่อสังเกตเห็นว่ามิเชลและแอนนี่ไม่ตอบสนอง

เนื่องจากมือของเขาถูกมัดอยู่ กู้เป่ยจึงทำได้เพียงกดศูนย์ด้วยจมูกโดยการแกว่งร่างกายขณะเดิน

เขาแอบทำอย่างลับ ๆ ล่อ ๆโดยไม่มีใครสังเกตเห็น

“บี๊บ...บี๊บ...บี๊บ... สวัสดี มีอะไรให้ช่วยไหม?”

กู้เป่ยถามอีกครั้ง “หลังจากหลบหนีจากหญิงบ้าสองคนนี้แล้ว ทำยังไงฉันถึงจะรอด?”

"หากท่านต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ โปรดกดศูนย์"

หน้าจอดิจิตอลปรากฏขึ้นอีกครั้ง

“…”

กู้เป่ยเชื่อว่าเขาคงบ้าไปแล้ว บางที เสียงกลไกและหน้าจอดิจิตอลที่ดูคุ้นเคยพวกนี้คงเป็นภาพลวงตาที่เขาสร้างขึ้น

ภายใต้ความเครียดจากการเคลื่อนย้ายและการคุกคามถึงชีวิต สุขภาพจิตของเขาอาจไม่อยู่ในสภาพดีนัก

ใช่ มันต้องใช่แน่!

กู้เป่ยเพิกเฉยต่อภาพลวงตา

แต่น่าเสียดายที่ภาพลวงตานี้ปฏิเสธที่จะปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว

“บี๊บ...บี๊บ...บี๊บ... ท่านมีเมลใหม่”

"เมื่อไม่นานมานี้ฉันได้เล่นเกมที่ชื่อว่า 'เลเจนดารี่ ดอมิแนนท์'..."”

"อีกยี่สิบเมตรข้างหน้าโปรดเลี้ยวขวา"

"...กำลังคำนวณเส้นทางใหม่"

ระหว่างทางกู้เป่ยรู้สึกได้เลยว่าเวลานี้เขาได้ยินเรื่องไร้สาระมามากกว่าทั้งชีวิตก่อนหน้าที่เขาจะเคลื่อนย้ายรวมกันเสียอีก

แต่เนื่องจากหน้าจอดิจิตอลนี้สามารถเล่นเนื้อหาได้มันก็อาจไม่ใช่ภาพลวงตา

มองในแง่ดี อย่างน้อยกู้เป่ยก็สามารถบอกแหล่งที่มาของเสียงได้ พิจารณาจากข้อความสแปมเหล่านี้มันควรจะมาจากโลกเดิมของของเขา โดยบังเอิญถูกแทรกเข้าไปในสมองของเขาระหว่างการเคลื่อนย้าย

สิ่งนี้มันดูไม่เป็นวิทยาศาสตร์เอาเสียเลย แต่เนื่องจากเขาถูกเทเลพอร์ต เขายังต้องสนใจไอสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสน์อีกงั้นเหรอ?

ตอนนี้เขาทำได้แค่เสียใจที่ไม่ได้จ่ายเงินให้โฆษณาเก้าสิบนาทีของ iQiYi เพราะสิ่งที่อยู่ในหัวของเขาตอนนี้คือโฆษณาเก้าสิบนาทีที่ว่านั่น! และแม้ว่าเขาต้องการสมัครสมาชิกแต่มันก็สายเกินไปแล้ว

กู้เป่ยไม่เคยรู้สึกสิ้นหวังขนาดนี้มาก่อน

หากนี่คือสูตรโกงของเขา เขายอมตายดีกว่าที่จะมีมัน

“ช่วยหยุดทีได้ไหม? ปิดเครื่องหรือไม่ก็เงียบไปสักพักก็ได้ ขอบใจ” กู้เป่ยพูดสิ่งนี้ในหัวของเขา

“ขอโทษด้วย ฟังก์ชันนี้ไม่พร้อมใช้งาน”

กู้เป่ยอดโกรธไม่ได้

“งั้นก็ช่วยบอกฉันทีว่านายทำอะไรได้บ้าง?”

ระบบตอบกลับ: "ฉันมีคลังข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา"

หลังจากได้ยินมันก็กระตุ้นความสนใจของกู้เป่ยเล็กน้อย

ถึงแม้คลังข้อมูลจะไม่ได้ฟังดูเป็นฟังก์ชันที่น่าประทับใจนัก แต่โลกนี้เป็นแบบไหนเขาเองก็ยังไม่รู้ บางทีคลังข้อมูลอาจมีประโยชน์กว่าที่คิดก็ได้?

อย่างที่เคยได้ยินบ่อย ๆ ข้อมูลคือสิ่งที่ทรงพลังที่สุด

บางทีการเทเลพอร์ตของเขาอาจไม่แย่อย่างที่คิด

หลังจากครุ่นคิดแล้วเขาก็ถามระบบ “แล้วตอนนี้นายมีข้อมูลอะไรบ้าง?”

"กำลังตรวจสอบฮาร์ดดิสก์...... ตรวจพบไฟล์ กำลังเปิดไฟล์ กรุณารอสักครู่" เสียงกลไกไม่ได้ฟังดูน่ารำคาญเหมือนก่อน

"เปิดไฟล์สำเร็จ......ภายใต้ใบเรือแห่งกาลเวลา เรากล้าเผชิญไม่ว่าจะเป็นลมหรือคลื่น เราทุ่มสุดตัว เมื่อต้องล่องเข้าไปในป่าคอนกรีต ในวันที่เต็มไปด้วยความสุขเช่นนี้ เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับทุกท่านที่มาถึง...”

“…”

ยิ่งกู้เป่ยได้ยินมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องมากขึ้นเท่านั้น

นี่ไม่ใช่คำพูดที่เขาเตรียมให้เจ้านายของเขาก่อนที่จะถูกเทเลพอร์ตหรอกเหรอ?

“เอาล่ะตอนนี้ช่วยหุบปากที”

ในที่สุดเขาก็เข้าใจ ระบบนี้คือแล็ปท็อปอายุ 5 ปีของเขา และอาจมีระบบของโทรศัพท์มือถือของเขาปะปนอยู่ด้วย

ก่อนมาที่นี่เขาอดหลับอดนอนเพื่อเขียนอะไรบางอย่างบนคอมพิวเตอร์ และเพราะความเหนื่อยล้าที่ถาโถมทำให้เขาผล็อยหลับไปทั้ง ๆ ที่ยังใช้มันอยู่ ซึ่งน่าจะผลเป็นให้ระหว่างเคลื่อนย้ายระบบคอมพิวเตอร์จึงได้หลอมรวมเข้ากับจิตสำนึกของเขา

โทรศัพท์ที่ถูกวางไว้ข้างโต๊ะก็คงถูกพามาด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้วระบบนำทางก็มีแค่โทรศัพท์

ที่ติดตั้งมันไว้

ถึงสมมติฐานนี้จะฟังดูไร้เหตุผลและไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่เขาจะพูดอะไรได้อีกในเมื่อเขาถูกเทเลพอร์ตมาพร้อมของพวกนี้ กระทั่งพวกมันดูเหมือนจะมีวิวัฒนาการจนฉลาดขึ้นถึงขั้นสแปมข้อความอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถหยุดได้

เขายอมรับชะตากรรมของเขาแล้ว

ทำไมระบบในนิยายพวกนั้นถึงมีประสิทธิภาพนัก? แม้ว่าตัวละครหลักจะเป็นตัวไร้ประโยชน์ แต่พวกเขาก็สามารถใช้มันไปสู่จุดหมายได้  กลับมาที่ตัวเขากลับจากพยายามอย่างหนักในที่สุดเขาก็ได้รับระบบของตัวเองอย่างที่เขาหวัง แต่น่าเสียดายที่มันไร้ประโยชน์พอ ๆ กับตัวละครหลักในนิยายที่ว่า

เขารู้สึกแย่จริง ๆ

บางทีอาจถึงเวลาที่เขาต้องกำจัดไวรัสในคอมพิวเตอร์

"สคริปต์ของท่านมีข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์บางส่วน ระบบแนะนำให้แก้ไขเป็น..."

"หุบปาก"

ระบบเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าว: "งานเขียนของท่านห่วยมาก"

"หุบปาก!"

"ระบบแนะนำ..."

หลังจากครุ่นคิด เขาก็ถามระบบอีกครั้ง: "นายมีวิธีที่ทำให้ฉันหนีออกจากสถานการณ์ไปได้สำเร็จไหม"

“...”

ในที่สุดโลกก็กลับมาเงียบสงบ

กู้เป่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก สภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ตอนนี้อันตรายมากพอแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลามาใส่ใจกับระบบที่ไร้ประโยชน์

หากเขาไม่ระวัง มิเชลอาจค้นพบคำโกหกของเขาและฆ่าเขาทันที

เขาเป็นเหมือนผู้ลี้ภัยที่ติดอยู่ในเกมหลบหนีที่มีความยากระดับนรก ศัตรูจะจับตาดูเขาอย่างใกล้ชิด แม้แต่อาวุธก็ยังไม่มี และสิ่งที่แย่ที่สุดคือเกมนี้มีเวลาจำกัด!

เมื่อหมดเวลาเกมจะจบลงด้วยการนองเลือด

มันไม่ง่ายเลยที่ระบบจะเงียบ ในช่วงเวลาแห่งความสงบที่หาได้ยากยิ่งนี้ กู้เป่ยคิดว่าเขาควรคิดหาทางหลบหนี!

แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่ทุกอย่างจะเป็นไปดั่งหวัง…

“มิเชล เจ้าต้องเชื่อข้านะ!”

เสียงของระบบหายไปไม่ถึงครึ่งนาที ไม่นานเสียงที่น่ารำคาญของแอนนี่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

กู้เป่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป

“มิเชล ข้า...”

กู้เป่ยขัดจังหวะเธอ:

“ขอล่ะช่วยหยุดทีได้ไหม? ก็แค่ฆ่าใครสักคนไปเองไม่ใช่รึไง?”

แอนนี่อยู่ข้างหลังเขา ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าแอนนี่มีปฏิกิริยาแบบไหน อย่างไรก็ตามทันทีที่เขาพูดจบ แรงกระแทกก็พุ่งเข้าใส่หลังของเขาส่งผลให้กู้เป่ยผู้มีร่างกายแสนอ่อนแอไม่สามารถทรงตัวได้และล้มลงกับพื้นกลืนโคลนเข้าไปเต็มปาก

เป็นแอนนี่ที่เตะเขา

จากหางตา กู้เป่ยบอกได้เลยว่าแอนนี่กำลังโกรธจัด เมื่อเทียบกับวิธีที่เธอปฏิบัติต่อมิเชลแล้ว เธอเป็นราวกับเป็นคนละคน!

ทันใดนั้นแส้ก็ถูกฟาดตามมาอีกสองครั้ง

ความเจ็บปวดเเผ่ซ่านไปทั่วหลังจนกู้เป่ยต้องกัดฟันขณะที่มีเหงื่อเย็นไหลออกมา

ตอนนี้กู้เป่ยเข้าใจแล้วว่า ‘เซอร์ลิเธอร์’ ตายได้อย่างไร แม้ว่าร่างกายนี้จะแข็งแรง แต่มันก็คงไม่สามารถรับมือกับการเฆี่ยนตีอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ได้ น่าเศร้าที่ร่างกายของเซอร์ลิเธอร์อ่อนแอกว่าคนปกติมากนัก

ความโกรธเกิดขึ้นภายในใจเขา

เขารู้ดีว่าแอนนี่ที่ดูต่ำต้อยและขี้ขลาดคนนี้จริง ๆ แล้วเป็นคนที่โหดเหี้ยม แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงเลยก็คือขนาดอยู่ต่อหน้ามิเชลเธอยังกล้าแสดงด้านนี้ออกมา!

หนำซ้ำมิเชลยังดูไม่แปลกใจเลย

“หยุดตีเขาแอนนี่ เจ้ากำลังจะทำให้เขาตาย”

เธอเพียงเกลี้ยกล่อมอย่างเฉยชา

“มิเชล เขากำลังกล่าวหาข้า ขุนนางเจ้าเล่ห์คนนี้กำลังพยายามฉีกความสัมพันธ์ของพวกเราเป็นชิ้นๆ! ได้โปรดเถอะมิเชลอย่าเชื่อเขา!” แอนนี่เงยหน้าขึ้น เผชิญหน้ามิเชลล์ด้วยความจริงใจ “ข้าสาบาน การตายของแซลลี่ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลย”

กู้เป่ยระงับความโกรธและพยายามลุกขึ้น

ตอนนี้เขาทำได้เพียงอดทนกับความเจ็บปวดเท่านั้น

แต่นั่นไม่ได้หยุดเขาจากความรู้สึกรังเกียจที่มีต่อแอนนี่

“เธอไม่ได้เพิ่งพูดว่า: แซลลี่เพิ่งหายตัวไปงั้นเหรอ? ทำไมมาตอนนี้บอกว่าเธอตายไปแล้ว”

เสียงกลไกที่ดังขึ้นอีกครั้งทำให้กู้เป่ยตกใจ

“นั่นเป็นเหตุผลที่เธอโง่” กู้เป่ยส่ายหัวและพูดกับระบบ "โอ้ จริงสิ นายอย่าปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันได้ไหม..."

"หากท่านต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ โปรดกดศูนย์"

“…”

ช่างเถอะ กู้เป่ยไม่คิดจะสนใจระบบที่ไร้ประโยชน์นี้อีกต่อไปและหันกลับมาสนใจมิเชล เขาอยากรู้ว่ามิเชลจะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไร

หากพวกเธอเริ่มเถียงกัน นี่อาจเป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะหลบหนี

แต่น่าเสียดายที่กู้เป่ยต้องผิดหวังอีกครั้ง

มิเชลกลายเป็นคนที่โง่พอ ๆ กับแอนนี่

“ไม่เป็นไรแอนนี่ ข้าเชื่อเจ้า” มิเชลเดินไปหาแอนนี่แล้วจับมือเธอ

บรรยากาศแลดูอบอุ่นขึ้นทันที

"เราทั้งคู่พยายามปีนออกจากมุมที่มืดมิดที่สุดของเฮเวนไรท์มาด้วยกัน เราพยายามดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดภายใต้การปกครองของศาสนจักรมาด้วยกัน" มิเชลล์จับมือแอนนี่แน่น "ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะไม่เชื่อในตัวเจ้า?"

กู้เป่ยไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขาเห็น

“มิเชล ข้า...”

แอนนี่มองไปที่มิเชล น้ำตาของเธอเริ่มไหล

“แอนนี่ เจ้ายังจำความฝันของเราได้ไหม?” จู่ๆเสียงของมิเชลก็อ่อนโยนขึ้น

“อืม!” แอนนี่กระโดดเข้าไปกอดมิเชล “สักวันเราจะสร้างอาณาจักรที่ทุกตารางนิ้วของดินแดนจะไม่มีศาสนจักรเข้ามาเกี่ยวข้อง นักเวทย์ทุกคนจะมีอิสระที่จะเดินภายใต้แสงอาทิตย์ และไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเผาบนเสา”

เธอร้องไห้เสียงดังในอ้อมกอดของมิเชล

กู้เป่ยตกตะลึง

อันที่จริง บทสนทนานี้มีประโยชน์มากสำหรับกู้เป่ย หลังจากที่ได้ยินเกี่ยวกับศาสนจักร และนักเวทย์ เขาก็เริ่มเห็นภาพว่าโลกนี้เป็นอย่างไร

ข้อมูลชิ้นนี้มีประโยชน์มากและเขาควรจะมีความสุข

แต่ในใจเขากลับอดอุทานออกมาไม่ได้ “นี่มันบ้าอะไรกันวะ!”

อารมณ์ของผู้หญิงบ้าสองคนนี้แปลก ๆ เมื่อครู่มันทั้งเงียบและน่าอึดอัด แอนนี่ดูระมัดระวังเมื่อต้องพูดกับมิเชล แต่หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็โอบกอดกันอย่างสนิทสนม อะไรมันทำให้มาลงเอยแบบนี้ได้?

ความไร้สาระของสถานการณ์นี้น่าหงุดหงิดพอ ๆ กับการดูโอบามาถูกแบร์ กริลส์ฉีกเป็นชิ้นๆ และกินทั้งเป็น

บรรยากาศมันเปลี่ยนไปเร็วมากจนกู้เป่ยตอบสนองไม่ทัน

ไม่ว่ามองจากมุมไหยทั้งสองก็ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดจริงๆ

กู้เป่ยส่ายหัว และเนื่องจากมิเชลกับแอนนี่กำลังกอดกันจึงไม่มีใครสังเกตว่าเขากำลังส่ายหัว

แม้แต่ระบบก็แสดงความคิดเห็นด้วยกลไกที่เย็นเฉียบ:

“ช่างเป็นดอกลิลลี่1ที่น่ารักเสียจริง!”

...........

ดอกลิลลี่ – คู่รักหญิงxหญิง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด