WMR ตอนที่ 2 สูตรโกงที่ไม่น่าเชื่อถือที่สุด
“มิเชล เจ้าต้องเชื่อข้านะ!”
หากไม่ใช่เพราะมือถูกมัดไว้แน่น กู้เป่ยคงหาอะไรมาปิดปากแอนนี่ไปแล้ว
เพราะเสียงของเธอทำให้หูของกู้เป่ยแทบแตก
เนื่องจากกู้เป่ยเดาว่าแอนนี่ฆ่าแซลลี่ทำให้แอนนี่วุ่นอยู่กับการพยายามแก้ตัวซ้ำ ๆ น่าเสียดายที่มิเชลไม่ได้พูดอะไรและดึงกู้เป่ยออกจากเก้าอี้อย่างเงียบ ๆ ก่อนจะลากเขาออกจากห้องใต้ดินราวกับคนชื่อแซลลี่ไม่เคยมีตัวตน
จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเดินทางไปยังที่ตั้งของคลังสมบัติตระกูลลิเธอร์
พวกเขาเดินผ่านป่าในค่ำคืนที่มืดมิดอย่างเงียบ ๆ
มิเชลเดินนำอยู่ข้างหน้าเพื่อนำทาง กู้เป่ยที่ถูกมัดอยู่ตรงกลาง และสุดท้ายเป็นแอนนี่ที่อยู่รั้งท้ายเพื่อค่อยระวังและทำให้แน่ใจว่าไม่มีกองทหารไล่ตาม
ดังนั้นมันจึงทำให้ทีมของพวกเขาเคลื่อนที่ช้ามาก
แน่นอนว่ามันไม่ใช่เพราะผู้หญิงสองคนมีร่างกายอ่อนแอ แต่เป็นเพราะกู้เป่ย
ด้านหนึ่งนี่เป็นความตั้งใจจะลากถ่วงของเขา
อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะร่างกายของเขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว
ไม่ ไม่สิจะพูดว่านี่เป็นร่างกายของกู้เป่ยก็ไม่ถูกนัก แต่เป็นร่างของ ‘เซอร์ลิเธอร์’ ที่เขาใช้อยู่ต่างหากที่อ่อนแอเกินไป
แม้ปกติแล้วกู้เป่ยจะไม่ใช่คนที่ออกกำลังกาย แต่ร่างกายของเขาก็ไม่ได้เปราะบางเท่าร่างกายที่เขากำลังครอบครองอยู่ มันราวกับเขาเป็นเด็กวัยรุ่นขี้โรคคนหนึ่ง คคนหนึ่งึ้าเปรองอย่างกายที่สามารถเพียงแค่เดินเร็วขึ้นเล็กน้อยคอของเขาก็แห้งผากหายใจแทบไม่ทัน ความรู้สึกอ่อนแอนี้ราวกับหลุดออกมาจากกระดูกภายในและกระจายไปทั่วทุกเซลล์ของร่างกาย เขารู้สึกว่าตัวเขาในตอนนี้สามารถเป็นลมได้ทุกเมื่อ
นี่ยังไม่นับอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นแบบสุ่มอีก
นั่นทำให้กู้เป่ยอดสงสัยไม่ได้ว่าแม้เขาจะหลบหนีจากมิเชลได้สำเร็จ แต่ร่างนี้อาจจะเป็นลมกลางป่าก่อนจะกลายเป็นอาหารสัตว์แถวนั้น
ส่งผลให้วิธีหลบหนีกว่าครึ่งถูกปัดตกทันที
โดยสรุปแล้วเขาไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้เลย...
“สงสัยฉันคงพึ่งพาได้แต่คนที่ตระกูลลิเธอร์ส่งมาเท่านั้น” กู้เป่ยบ่นกับตัวเอง
“ดูจากร่องรอยการทรมานแล้ว ท่านน่าจะถูกลักพาตัวมาได้ประมาณสามวัน ผ่านมาสามวัน แต่พวกเขาก็ยังหาท่านไม่พบ ดูเหมือนตระกูลลิเธอร์จะติดตามได้ห่วยแตก ผลการวิเคราะห์: หากท่านพึ่งพาตระกูลลิเธอร์เพื่อหลบหนี อัตราความสำเร็จจะมีเพียงสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น”
เสียงกลไกเย็นชาดังขึ้นภายในใจของเขา
กู้เป่ยไม่แปลกใจ
เขาหวังว่าเขาจะสามารถบีบคอเจ้าเสียงนี่ให้ตายพอ ๆ กับที่เขาอยากทำกับแอนนี่ เนื่องจากระหว่างทางออกจากห้องใต้ดิน เขาทรมานแทบตายเพราะต้องทนฟังเจ้าเสียงนี่พูด
มันเริ่มพูดครั้งแรกเมื่อประมาณสามชั่วโมงที่แล้ว
ขณะที่กู้เป่ยเพิ่งออกจากห้องใต้ดิน ความเจ็บปวดก็ถาโถมเข้ามาในหัวของเขาพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้น:
“กำลังเริ่มต้นระบบ กรุณารอสักครู่...สวัสดี มีอะไรให้ช่วยไหม?”
ทันทีที่เสียงดังขึ้นกู้เป่ยก็หลงคิดไปว่าเขาเทเลพอร์ตอีกครั้ง
แต่ไม่นานเขาก็สังเกตเห็นว่าทั้งมิเชลและแอนนี่ไม่ได้ยินเสียงนี้ ดังนั้นเขาจึงเริ่มสงสัยว่าเขามีอาการประสาทหลอน
“ท่านสามารถเลือกเชื่อว่าตัวเองบ้าไปแล้วและฆ่าตัวตาย หรือท่านจะเลือกเชื่อว่ามีปัญญาประดิษฐ์ที่สุดแสนจะฉลาด และซับซ้อนปรากฏขึ้นในสมองของท่านเพื่อช่วยให้ท่านสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก และไปถึงจุดสูงสุดของชีวิตก็ได้” เสียงดังกล่าวตอบข้อสงสัยของกู้เป่ย
เขารู้สึกว่ามันมีเหตุผลมากและไม่สามารถหาอะไรมาแย้งได้
เขามีระบบของตัวเอง นี่เป็นสถานการณ์ที่ปกติมากในนิยายที่เกี่ยวกับการข้ามโลก นับตั้งแต่เขาเป็นหนึ่งในคนข้ามโลกที่ว่า เขาก็ไม่คิดว่ามีอะไรที่แปลกไปกว่าเขาอีกแล้ว
เจ้าเสียงที่กำลังพูดอยู่คงเป็นสูตรโกงของเขาไม่ผิดแน่
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็บอกฉันทีท่านปัญญาประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ ฉันจะหลบหนีจากเงื้อมมือของผู้หญิงสองคนนี้ และเอาชีวิตรอดในป่าโดยอาศัยแค่ความสามารถของตัวเองได้อย่างไร?”
กู้เเป่ยถามด้วยความคาดหวัง
"หากท่านต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ โปรดกดศูนย์"
หน้าจอดิจิตอลปรากฏขึ้นตรงหน้าของกู้เป่ย
กู้เป่ยถูกผงะ
เขามองไปรอบ ๆ และโล่งใจเมื่อสังเกตเห็นว่ามิเชลและแอนนี่ไม่ตอบสนอง
เนื่องจากมือของเขาถูกมัดอยู่ กู้เป่ยจึงทำได้เพียงกดศูนย์ด้วยจมูกโดยการแกว่งร่างกายขณะเดิน
เขาแอบทำอย่างลับ ๆ ล่อ ๆโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
“บี๊บ...บี๊บ...บี๊บ... สวัสดี มีอะไรให้ช่วยไหม?”
กู้เป่ยถามอีกครั้ง “หลังจากหลบหนีจากหญิงบ้าสองคนนี้แล้ว ทำยังไงฉันถึงจะรอด?”
"หากท่านต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ โปรดกดศูนย์"
หน้าจอดิจิตอลปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“…”
กู้เป่ยเชื่อว่าเขาคงบ้าไปแล้ว บางที เสียงกลไกและหน้าจอดิจิตอลที่ดูคุ้นเคยพวกนี้คงเป็นภาพลวงตาที่เขาสร้างขึ้น
ภายใต้ความเครียดจากการเคลื่อนย้ายและการคุกคามถึงชีวิต สุขภาพจิตของเขาอาจไม่อยู่ในสภาพดีนัก
ใช่ มันต้องใช่แน่!
กู้เป่ยเพิกเฉยต่อภาพลวงตา
แต่น่าเสียดายที่ภาพลวงตานี้ปฏิเสธที่จะปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว
“บี๊บ...บี๊บ...บี๊บ... ท่านมีเมลใหม่”
"เมื่อไม่นานมานี้ฉันได้เล่นเกมที่ชื่อว่า 'เลเจนดารี่ ดอมิแนนท์'..."”
"อีกยี่สิบเมตรข้างหน้าโปรดเลี้ยวขวา"
"...กำลังคำนวณเส้นทางใหม่"
ระหว่างทางกู้เป่ยรู้สึกได้เลยว่าเวลานี้เขาได้ยินเรื่องไร้สาระมามากกว่าทั้งชีวิตก่อนหน้าที่เขาจะเคลื่อนย้ายรวมกันเสียอีก
แต่เนื่องจากหน้าจอดิจิตอลนี้สามารถเล่นเนื้อหาได้มันก็อาจไม่ใช่ภาพลวงตา
มองในแง่ดี อย่างน้อยกู้เป่ยก็สามารถบอกแหล่งที่มาของเสียงได้ พิจารณาจากข้อความสแปมเหล่านี้มันควรจะมาจากโลกเดิมของของเขา โดยบังเอิญถูกแทรกเข้าไปในสมองของเขาระหว่างการเคลื่อนย้าย
สิ่งนี้มันดูไม่เป็นวิทยาศาสตร์เอาเสียเลย แต่เนื่องจากเขาถูกเทเลพอร์ต เขายังต้องสนใจไอสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสน์อีกงั้นเหรอ?
ตอนนี้เขาทำได้แค่เสียใจที่ไม่ได้จ่ายเงินให้โฆษณาเก้าสิบนาทีของ iQiYi เพราะสิ่งที่อยู่ในหัวของเขาตอนนี้คือโฆษณาเก้าสิบนาทีที่ว่านั่น! และแม้ว่าเขาต้องการสมัครสมาชิกแต่มันก็สายเกินไปแล้ว
กู้เป่ยไม่เคยรู้สึกสิ้นหวังขนาดนี้มาก่อน
หากนี่คือสูตรโกงของเขา เขายอมตายดีกว่าที่จะมีมัน
“ช่วยหยุดทีได้ไหม? ปิดเครื่องหรือไม่ก็เงียบไปสักพักก็ได้ ขอบใจ” กู้เป่ยพูดสิ่งนี้ในหัวของเขา
“ขอโทษด้วย ฟังก์ชันนี้ไม่พร้อมใช้งาน”
กู้เป่ยอดโกรธไม่ได้
“งั้นก็ช่วยบอกฉันทีว่านายทำอะไรได้บ้าง?”
ระบบตอบกลับ: "ฉันมีคลังข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา"
หลังจากได้ยินมันก็กระตุ้นความสนใจของกู้เป่ยเล็กน้อย
ถึงแม้คลังข้อมูลจะไม่ได้ฟังดูเป็นฟังก์ชันที่น่าประทับใจนัก แต่โลกนี้เป็นแบบไหนเขาเองก็ยังไม่รู้ บางทีคลังข้อมูลอาจมีประโยชน์กว่าที่คิดก็ได้?
อย่างที่เคยได้ยินบ่อย ๆ ข้อมูลคือสิ่งที่ทรงพลังที่สุด
บางทีการเทเลพอร์ตของเขาอาจไม่แย่อย่างที่คิด
หลังจากครุ่นคิดแล้วเขาก็ถามระบบ “แล้วตอนนี้นายมีข้อมูลอะไรบ้าง?”
"กำลังตรวจสอบฮาร์ดดิสก์...... ตรวจพบไฟล์ กำลังเปิดไฟล์ กรุณารอสักครู่" เสียงกลไกไม่ได้ฟังดูน่ารำคาญเหมือนก่อน
"เปิดไฟล์สำเร็จ......ภายใต้ใบเรือแห่งกาลเวลา เรากล้าเผชิญไม่ว่าจะเป็นลมหรือคลื่น เราทุ่มสุดตัว เมื่อต้องล่องเข้าไปในป่าคอนกรีต ในวันที่เต็มไปด้วยความสุขเช่นนี้ เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับทุกท่านที่มาถึง...”
“…”
ยิ่งกู้เป่ยได้ยินมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องมากขึ้นเท่านั้น
นี่ไม่ใช่คำพูดที่เขาเตรียมให้เจ้านายของเขาก่อนที่จะถูกเทเลพอร์ตหรอกเหรอ?
“เอาล่ะตอนนี้ช่วยหุบปากที”
ในที่สุดเขาก็เข้าใจ ระบบนี้คือแล็ปท็อปอายุ 5 ปีของเขา และอาจมีระบบของโทรศัพท์มือถือของเขาปะปนอยู่ด้วย
ก่อนมาที่นี่เขาอดหลับอดนอนเพื่อเขียนอะไรบางอย่างบนคอมพิวเตอร์ และเพราะความเหนื่อยล้าที่ถาโถมทำให้เขาผล็อยหลับไปทั้ง ๆ ที่ยังใช้มันอยู่ ซึ่งน่าจะผลเป็นให้ระหว่างเคลื่อนย้ายระบบคอมพิวเตอร์จึงได้หลอมรวมเข้ากับจิตสำนึกของเขา
โทรศัพท์ที่ถูกวางไว้ข้างโต๊ะก็คงถูกพามาด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้วระบบนำทางก็มีแค่โทรศัพท์
ที่ติดตั้งมันไว้
ถึงสมมติฐานนี้จะฟังดูไร้เหตุผลและไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่เขาจะพูดอะไรได้อีกในเมื่อเขาถูกเทเลพอร์ตมาพร้อมของพวกนี้ กระทั่งพวกมันดูเหมือนจะมีวิวัฒนาการจนฉลาดขึ้นถึงขั้นสแปมข้อความอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถหยุดได้
เขายอมรับชะตากรรมของเขาแล้ว
ทำไมระบบในนิยายพวกนั้นถึงมีประสิทธิภาพนัก? แม้ว่าตัวละครหลักจะเป็นตัวไร้ประโยชน์ แต่พวกเขาก็สามารถใช้มันไปสู่จุดหมายได้ กลับมาที่ตัวเขากลับจากพยายามอย่างหนักในที่สุดเขาก็ได้รับระบบของตัวเองอย่างที่เขาหวัง แต่น่าเสียดายที่มันไร้ประโยชน์พอ ๆ กับตัวละครหลักในนิยายที่ว่า
เขารู้สึกแย่จริง ๆ
บางทีอาจถึงเวลาที่เขาต้องกำจัดไวรัสในคอมพิวเตอร์
"สคริปต์ของท่านมีข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์บางส่วน ระบบแนะนำให้แก้ไขเป็น..."
"หุบปาก"
ระบบเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าว: "งานเขียนของท่านห่วยมาก"
"หุบปาก!"
"ระบบแนะนำ..."
หลังจากครุ่นคิด เขาก็ถามระบบอีกครั้ง: "นายมีวิธีที่ทำให้ฉันหนีออกจากสถานการณ์ไปได้สำเร็จไหม"
“...”
ในที่สุดโลกก็กลับมาเงียบสงบ
กู้เป่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก สภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ตอนนี้อันตรายมากพอแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลามาใส่ใจกับระบบที่ไร้ประโยชน์
หากเขาไม่ระวัง มิเชลอาจค้นพบคำโกหกของเขาและฆ่าเขาทันที
เขาเป็นเหมือนผู้ลี้ภัยที่ติดอยู่ในเกมหลบหนีที่มีความยากระดับนรก ศัตรูจะจับตาดูเขาอย่างใกล้ชิด แม้แต่อาวุธก็ยังไม่มี และสิ่งที่แย่ที่สุดคือเกมนี้มีเวลาจำกัด!
เมื่อหมดเวลาเกมจะจบลงด้วยการนองเลือด
มันไม่ง่ายเลยที่ระบบจะเงียบ ในช่วงเวลาแห่งความสงบที่หาได้ยากยิ่งนี้ กู้เป่ยคิดว่าเขาควรคิดหาทางหลบหนี!
แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่ทุกอย่างจะเป็นไปดั่งหวัง…
“มิเชล เจ้าต้องเชื่อข้านะ!”
เสียงของระบบหายไปไม่ถึงครึ่งนาที ไม่นานเสียงที่น่ารำคาญของแอนนี่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
กู้เป่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป
“มิเชล ข้า...”
กู้เป่ยขัดจังหวะเธอ:
“ขอล่ะช่วยหยุดทีได้ไหม? ก็แค่ฆ่าใครสักคนไปเองไม่ใช่รึไง?”
แอนนี่อยู่ข้างหลังเขา ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าแอนนี่มีปฏิกิริยาแบบไหน อย่างไรก็ตามทันทีที่เขาพูดจบ แรงกระแทกก็พุ่งเข้าใส่หลังของเขาส่งผลให้กู้เป่ยผู้มีร่างกายแสนอ่อนแอไม่สามารถทรงตัวได้และล้มลงกับพื้นกลืนโคลนเข้าไปเต็มปาก
เป็นแอนนี่ที่เตะเขา
จากหางตา กู้เป่ยบอกได้เลยว่าแอนนี่กำลังโกรธจัด เมื่อเทียบกับวิธีที่เธอปฏิบัติต่อมิเชลแล้ว เธอเป็นราวกับเป็นคนละคน!
ทันใดนั้นแส้ก็ถูกฟาดตามมาอีกสองครั้ง
ความเจ็บปวดเเผ่ซ่านไปทั่วหลังจนกู้เป่ยต้องกัดฟันขณะที่มีเหงื่อเย็นไหลออกมา
ตอนนี้กู้เป่ยเข้าใจแล้วว่า ‘เซอร์ลิเธอร์’ ตายได้อย่างไร แม้ว่าร่างกายนี้จะแข็งแรง แต่มันก็คงไม่สามารถรับมือกับการเฆี่ยนตีอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ได้ น่าเศร้าที่ร่างกายของเซอร์ลิเธอร์อ่อนแอกว่าคนปกติมากนัก
ความโกรธเกิดขึ้นภายในใจเขา
เขารู้ดีว่าแอนนี่ที่ดูต่ำต้อยและขี้ขลาดคนนี้จริง ๆ แล้วเป็นคนที่โหดเหี้ยม แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงเลยก็คือขนาดอยู่ต่อหน้ามิเชลเธอยังกล้าแสดงด้านนี้ออกมา!
หนำซ้ำมิเชลยังดูไม่แปลกใจเลย
“หยุดตีเขาแอนนี่ เจ้ากำลังจะทำให้เขาตาย”
เธอเพียงเกลี้ยกล่อมอย่างเฉยชา
“มิเชล เขากำลังกล่าวหาข้า ขุนนางเจ้าเล่ห์คนนี้กำลังพยายามฉีกความสัมพันธ์ของพวกเราเป็นชิ้นๆ! ได้โปรดเถอะมิเชลอย่าเชื่อเขา!” แอนนี่เงยหน้าขึ้น เผชิญหน้ามิเชลล์ด้วยความจริงใจ “ข้าสาบาน การตายของแซลลี่ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลย”
กู้เป่ยระงับความโกรธและพยายามลุกขึ้น
ตอนนี้เขาทำได้เพียงอดทนกับความเจ็บปวดเท่านั้น
แต่นั่นไม่ได้หยุดเขาจากความรู้สึกรังเกียจที่มีต่อแอนนี่
“เธอไม่ได้เพิ่งพูดว่า: แซลลี่เพิ่งหายตัวไปงั้นเหรอ? ทำไมมาตอนนี้บอกว่าเธอตายไปแล้ว”
เสียงกลไกที่ดังขึ้นอีกครั้งทำให้กู้เป่ยตกใจ
“นั่นเป็นเหตุผลที่เธอโง่” กู้เป่ยส่ายหัวและพูดกับระบบ "โอ้ จริงสิ นายอย่าปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันได้ไหม..."
"หากท่านต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ โปรดกดศูนย์"
“…”
ช่างเถอะ กู้เป่ยไม่คิดจะสนใจระบบที่ไร้ประโยชน์นี้อีกต่อไปและหันกลับมาสนใจมิเชล เขาอยากรู้ว่ามิเชลจะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไร
หากพวกเธอเริ่มเถียงกัน นี่อาจเป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะหลบหนี
แต่น่าเสียดายที่กู้เป่ยต้องผิดหวังอีกครั้ง
มิเชลกลายเป็นคนที่โง่พอ ๆ กับแอนนี่
“ไม่เป็นไรแอนนี่ ข้าเชื่อเจ้า” มิเชลเดินไปหาแอนนี่แล้วจับมือเธอ
บรรยากาศแลดูอบอุ่นขึ้นทันที
"เราทั้งคู่พยายามปีนออกจากมุมที่มืดมิดที่สุดของเฮเวนไรท์มาด้วยกัน เราพยายามดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดภายใต้การปกครองของศาสนจักรมาด้วยกัน" มิเชลล์จับมือแอนนี่แน่น "ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะไม่เชื่อในตัวเจ้า?"
กู้เป่ยไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขาเห็น
“มิเชล ข้า...”
แอนนี่มองไปที่มิเชล น้ำตาของเธอเริ่มไหล
“แอนนี่ เจ้ายังจำความฝันของเราได้ไหม?” จู่ๆเสียงของมิเชลก็อ่อนโยนขึ้น
“อืม!” แอนนี่กระโดดเข้าไปกอดมิเชล “สักวันเราจะสร้างอาณาจักรที่ทุกตารางนิ้วของดินแดนจะไม่มีศาสนจักรเข้ามาเกี่ยวข้อง นักเวทย์ทุกคนจะมีอิสระที่จะเดินภายใต้แสงอาทิตย์ และไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเผาบนเสา”
เธอร้องไห้เสียงดังในอ้อมกอดของมิเชล
กู้เป่ยตกตะลึง
อันที่จริง บทสนทนานี้มีประโยชน์มากสำหรับกู้เป่ย หลังจากที่ได้ยินเกี่ยวกับศาสนจักร และนักเวทย์ เขาก็เริ่มเห็นภาพว่าโลกนี้เป็นอย่างไร
ข้อมูลชิ้นนี้มีประโยชน์มากและเขาควรจะมีความสุข
แต่ในใจเขากลับอดอุทานออกมาไม่ได้ “นี่มันบ้าอะไรกันวะ!”
อารมณ์ของผู้หญิงบ้าสองคนนี้แปลก ๆ เมื่อครู่มันทั้งเงียบและน่าอึดอัด แอนนี่ดูระมัดระวังเมื่อต้องพูดกับมิเชล แต่หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็โอบกอดกันอย่างสนิทสนม อะไรมันทำให้มาลงเอยแบบนี้ได้?
ความไร้สาระของสถานการณ์นี้น่าหงุดหงิดพอ ๆ กับการดูโอบามาถูกแบร์ กริลส์ฉีกเป็นชิ้นๆ และกินทั้งเป็น
บรรยากาศมันเปลี่ยนไปเร็วมากจนกู้เป่ยตอบสนองไม่ทัน
ไม่ว่ามองจากมุมไหยทั้งสองก็ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดจริงๆ
กู้เป่ยส่ายหัว และเนื่องจากมิเชลกับแอนนี่กำลังกอดกันจึงไม่มีใครสังเกตว่าเขากำลังส่ายหัว
แม้แต่ระบบก็แสดงความคิดเห็นด้วยกลไกที่เย็นเฉียบ:
“ช่างเป็นดอกลิลลี่1ที่น่ารักเสียจริง!”
...........
ดอกลิลลี่ – คู่รักหญิงxหญิง