บทที่ 37 ทำไมผมจะห้ามเธอไม่ได้!?
บทที่ 37 ทำไมผมจะห้ามเธอไม่ได้!?
คนขับรถบรรทุกที่เพิ่งขับชนคนร้ายรีบอธิบายด้วยความตื่นตระหนก “ไม่ใช่ความผิดของผมนะ! เขาวิ่งมาให้ผมชนเอง!”
เฉินฉีปลอบเขา “ไม่ใช่ความผิดคุณแน่นอนครับ วางใจได้! คุณอยู่รอที่นี่ให้ตำรวจจราจรมาจัดการเรื่องนี้แล้วกัน ส่วนผมขอตัวพาคนไปส่งโรงพยาบาลก่อน”
“โอเค…” คนขับรถรับคำอย่างกระอักกระอ่วน ความเสียขวัญฉายชัดอยู่บนใบหน้า “เขายังไม่ตายใช่ไหม?”
เฉินฉีจับชีพจรของอาชญากรคนนั้น ก่อนแบกเขาเดินกลับไปที่รถพร้อมตะโกนเสียงดัง “เปิดประตูหลังให้หน่อย!” เมื่อประตูเปิดแล้วเขาจึงวางร่างไม่ได้สติของชายคนร้ายไว้ที่เบาะหลัง
หลินถงซูย่นคิ้วเมื่อได้กลิ่นคาวคล้ายน้ำสนิมที่โชยออกมาจากศีรษะของอาชญากร เขาบาดเจ็บสาหัสจนเลือดท่วม
ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจจากทางสถานีก็เร่งรุดมายังที่เกิดเหตุ พวกเขาถามว่า “สถานการณ์เป็นไงบ้าง?”
เฉินฉียังนั่งอยู่ด้านหลังเบาะคนขับขณะตอบเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่บนรถคันสีดำ “เขาพยายามวิ่งหนีผมแล้วข้ามถนนไปโดยไม่ทันระวังเลยถูกรถบรรทุกชนเข้า ตอนนี้ผมกำลังจะนำตัวเขาส่งโรงพยาบาล พวกคุณจัดการกับที่เกิดเหตุไปก็แล้วกัน”
“เดี๋ยวก่อนสิ คุณเป็นใครเนี่ย?”
หลินถงซูอธิบาย “ฉันเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอาชญากรรม อยู่ทีมเดียวกันกับสวีเสี่ยวตง เราบอกผู้บังคับบัญชาไว้ให้รับทราบก่อนแล้ว”
“โอเค”
เฉินฉีกลับมานั่งตำแหน่งคนขับและสตาร์ทรถ หลินถงซูก็ถอนหายใจ “เฮ้อ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ?”
“เป็นความโชคร้ายของเขาน่ะสิ”
เฉินฉีกดโทรออกหาหลินชิวผู “ตอนนี้มีข่าวดีกับข่าวร้ายครับ”
“อย่ามัวอมพะนำอยู่เลย รีบบอกมาเร็วเถอะ!” น้ำเสียงของหลินชิวผูดูกังวล
“เราจับชายคนนั้นได้แล้ว แต่ตอนที่เขากำลังวิ่งหนีจนไม่ดูตาม้าตาเรือก็โชคร้ายถูกรถบรรทุกที่เบรกไม่ทันชนเข้าใส่ ตอนนี้เขาหมดสติ ส่วนผมกำลังจะพาเขาไปโรงพยาบาล”
“โรงพยาบาลไหน?”
“รอเดี๋ยวนะ…” เฉินฉีเหลือบมอง GPS บนหน้าจอก่อนตอบคำถามเขา “ใกล้ที่สุดคือโรงพยาบาลไป๋ฮวา”
“เดี๋ยวผมตามไป!”
เมื่อเฉินฉีมาถึงที่โรงพยาบาล หลินชิวผูก็มาถึงพร้อมกันกับเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ เฉินฉีพาตัวอาชญากรลงจากรถแล้วนำตัวเขาไปวางบนเตียงรถเข็น หลินชิวผูสั่งให้เจ้าหน้าที่คนอื่นที่มาด้วยกันเก็บรอยนิ้วมือและตัวอย่างน้ำลายไปด้วยเพื่อเป็นการยืนยันตัวตน
ถึงอย่างนั้นหลินชิวผูก็ยังไม่สบายใจ จึงหยิบกุญแจมือออกมาตั้งท่าจะล็อกข้อมือของอาชญากรไว้กับเตียงเข็น แต่แล้วหมอได้พูดให้เขาวางใจ “คุณตำรวจครับ คุณไม่ต้องระแวงขนาดนั้นก็ได้ เดี๋ยวเขาเข้าห้องผ่าตัดยังต้องดมยาสลบอีก ดังนั้นเขาวิ่งหนีไปไหนไม่ได้แน่นอน เราเคยทำการผ่าตัดให้กับคนร้าย ไม่เคยมีอะไรผิดพลาดมาก่อน”
พอได้ยินคุณหมอพูดแบบนั้นหลินชิวผูจึงคลายความกังวลลง
อาชญากรถูกนำตัวไปที่ห้องฉุกเฉิน หลินชิวผูเหลือบมองหลินถงซูยังนั่งรออยู่บนรถก่อนหันไปหาเฉินฉีและยิงคำถามใส่ “ทำไมคุณสองคนไปอยู่ด้วยกันได้? อธิบายเหตุผลที่ฟังเข้าท่ามาเดี๋ยวนี้เลย!”
“ไปดูคอนเสิร์ต”
“ไปดูคอนเสิร์ตเหรอ? ใครอนุญาต?!”
เฉินฉีแสยะยิ้ม “ไม่ยักรู้แฮะว่าแม้แต่เรื่องแบบนี้เธอก็ต้องขออนุญาตจากคุณด้วย! ผู้กองหลิน คุณไม่เจ้ากี้เจ้าการเกินไปหน่อยรึไง?”
หลินชิวผูโกรธจนระเบิดคำพูดออกมาชุดใหญ่ “เธอเป็นน้องสาวผมนะ! ทำไมผมจะควบคุมความเป็นไปในชีวิตเธอไม่ได้?! ผมเองก็เคยห้ามคุณหลายครั้งแล้วว่าอย่ามายุ่งกับเธออีกแต่ก็ยังไม่ฟัง เจตนาของคุณคืออะไรกันแน่?”
เฉินฉีค่อย ๆ ดันนิ้วของหลินชิวผูที่ชี้ปลายจมูกเขาลง “ผู้กองหลิน คุณผ่านร้อนผ่านหนาวมามากจนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว ไม่นึกบ้างเหรอว่าคำพูดแต่ละคำของคุณน่ะมันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย? อย่าเอาแต่อ้างว่าเธอเป็นน้องสาว ต่อให้เธอเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของคุณ คุณก็ไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งเรื่องอะไรของเธอทั้งนั้น แล้วผมจะพูดย้ำอีกครั้ง เราแค่ไปดูคอนเสิร์ตด้วยกัน ส่วนคุณจะมโนอะไรไปเองก็แล้วแต่ ผมขอตัวก่อน อย่าลืมจัดการจ่ายค่าซ่อมรถให้ผมตามที่รับปากไว้ด้วย!”
หลินชิวผูสั่งเสียงแข็ง “คุณ... หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ขณะนั้นเองแพทย์เจ้าของไข้ก็เดินออกมาพร้อมกับใบอนุญาตการผ่าตัด “ช่วยเซ็นใบนี้ให้หน่อยครับ”
หลินชิวผูหยิบปากกามาเซ็นแล้วถามไถ่อาการล่าสุดของอาชญากรอยู่พักหนึ่ง เมื่อเขาหันกลับมาก็เห็นว่าเฉินฉีขับรถออกไปแล้ว พอรู้ตัวว่าทำอะไรไม่ได้จึงข่มความโกรธโดยการกัดฟันแน่น
ภายในรถ เฉินฉีเอ่ยถาม “คุณอยากกลับไปดูคอนเสิร์ตต่อไหม?”
“ช่างเถอะ พาฉันกลับบ้านเลย” หลินถงซูดูไม่ค่อยมีความสุข
“เป็นอะไรไปอีกล่ะ? ยังอารมณ์เสียกับเรื่องที่พี่ชายคอยเจ้ากี้เจ้าการคุณอยู่เหรอ?”
หลินถงซูดักคอเฉินฉีทันที “ฉันเตือนคุณไว้ก่อน ถ้าคุณยังพูดพล่ามทำนองว่า ‘เขาทำแบบนี้ก็เพื่อคุณนะ’ ฉันจะไม่คุยกับคุณอีก!”
“เขาทำแบบนี้ก็เพื่อคุณนะ…” เฉินฉีจงใจพูดพลางสังเกตท่าทางของหลินถงซู “ผมคิดอยู่ตลอดเลยว่าประโยคนี้มันดูเหมือนคำพูดชวนเชื่อซะมากกว่า พอเกิดความห่วงใยมาก ๆ ดันนำพาไปสู่ความล้ำเส้นอย่างไม่เป็นเรื่อง นานเข้าก็ติดเป็นนิสัย และผู้ที่แสดงนิสัยนี้บ่อย ๆ ก็จะคิดไปว่ามันเป็นความเคยชิน เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่ควรจะทำ ยกตัวอย่างเช่นพี่ชายที่คอยดูแลควบคุมคุณเหมือนคุณไม่รู้จักโตอย่างนี้ ถ้าสมัยเด็ก ๆ คุณไม่เคยพึ่งพาเขาเลย ความสัมพันธ์ระหว่างคุณสองคนจะประหลาดเหมือนทุกวันนี้ไหมล่ะ? อย่าเอาแต่โทษคนอื่นจนลืมมองตัวเองที่เป็นต้นเหตุสิ”
“ก็ได้! ฉันยอมแพ้... ตอนเด็กฉันทำตัวติดเขาเอามาก ๆ พวกเราเป็นเด็กกำพร้ากันทั้งคู่และอาศัยอยู่ในบ้านของคุณป้าที่รับอุปการะ เพราะฉะนั้นฉันเลยเชื่อใจเขามากและยอมทำตามทุกอย่าง แต่ตอนนี้ฉันโตแล้ว แต่เขายังคอยควบคุมชีวิตฉันไม่ปล่อย แบบนี้ออกจะน่ารำคาญเกินไป”
“ผมมองว่าอิสระกับสิทธิส่วนบุคคลเป็นเรื่องที่สำคัญ คุณต้องค่อย ๆ ตะล่อมบอกเขา ยอมดื้ออีกสักไม่กี่ครั้ง เชื่อเถอะไม่นานหรอก เดี๋ยวพี่ชายคุณก็คุ้นเคยกับการให้อิสระคุณไปเอง”
หลินถงซูหันขวับมองหน้าเฉินฉี ผ่านไปสักพักก็ยังไม่พูดอะไรสักคำ เฉินฉีถามเธอ “มองทำไม? มีอะไรติดอยู่บนหน้าผมเหรอ?”
“การที่ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้ ฉันเองก็รู้สึกว่าคุณมีเจตนาบางอย่างที่ทะแม่ง ๆ อยู่เหมือนกัน”
“ขึ้นอยู่กับคุณมากกว่าว่ามองเจตนาของผมว่าดีหรือไม่ดี”
“โอ้ คุณคิดเหรอว่าจะปิดบังความในใจจากสายตาช่างสังเกตของฉันได้? สิ่งที่คุณกำลังคิดอยู่ตอนนี้ต้องเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ ๆ”
บนถนนว่างเปล่าแทบไม่มีรถสัญจรผ่าน ภายในรถเล่นเพลงฟังสบาย ๆ บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบมาก หลินถงซูครุ่นคิดกับตัวเองแล้วเพิ่งจะรู้ตัวว่าคำพูดเมื่อกี้ของตัวเองดูเหมือนเป็นการจีบเขาชัด ๆ คิดได้แบบนั้นแล้วใบหน้าจึงซับสีแดงเรื่อ
ถ้าหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างเขาตอนนี้เป็นคนอื่นละก็ เฉินฉีคงจะหยอดคำหวานจีบคืนไปนานแล้ว แต่เขาไม่อยากสานสัมพันธ์กับหลินถงซูให้ล้ำเส้นเกินไป พอเห็นว่าบรรยากาศค่อนข้างอึดอัดจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “คุณเสียดายไหมที่ไม่ได้อยู่ดูคอนเสิร์ตจนจบ?”
“ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ นี่เป็นเรื่องธรรมดามาก การทำงานต้องมาก่อนเสมอ”
ผ่านไปสักพัก เฉินฉีก็ขับรถมาถึงอะพาร์ตเมนต์ที่หลินถงถงซูพักอยู่ หลินถงซูยังไม่มีรองเท้าใส่ เฉินฉีจึงขันอาสา “ให้ผมแบกคุณขึ้นหลังดีไหม?”
“อย่าฉวยโอกาสนี้เอาเปรียบฉันเชียวนะ!” หลินถงซูแค่นเสียง
“งั้นเอากุญแจห้องมาให้ผม ผมจะไปหยิบรองเท้าลงมาให้คุณใส่”
หลินถงซูลองคิดดูแล้ววิธีนี้น่าจะดีที่สุด เธอจึงยื่นกุญแจให้เขาโดยไม่วายพูดกำชับ “ห้อง 403 อย่าไปหยิบจับของส่วนตัวของฉันมั่วซั่วล่ะ รองเท้าอยู่ตรงชั้นวางรองเท้าหน้าห้อง”
เฉินฉีเข้าไปในอะพาร์ตเมนต์แล้วคลำหาสวิตช์ไฟเพื่อกดเปิด ภาพที่เห็นคือห้องพักที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบนัก ในถังขยะมีกล่องอาหารที่ยังไม่ได้นำไปทิ้ง บนโซฟามีเสื้อผ้าที่ตากจนแห้งแล้วพาดอยู่
เขาถอดรองเท้าออกและเดินเข้ามาข้างใน ภายในห้องนอนถูกตกแต่งไว้อย่างอบอุ่นและสวยงาม ผ้าห่มกับเตียงนอนถูกพับเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบ มีตุ๊กตาหลายตัววางเรียงอยู่บนเตียง กลิ่นภายในห้องก็หอมอบอวล เหมือนกับห้องของผู้หญิงทั่วไป ภายในครัวและตู้เย็นแทบไม่มีอะไรวางอยู่ พวกเครื่องครัวถ้วยชามมีไว้ประดับห้องอย่างนั้น ไม่ได้ถูกใช้มาเป็นเวลานานพอสมควร ดูเหมือนว่าปกติหลินถงซูงานยุ่งเกินไปจนไม่มีเวลาทำอาหารทานเองเลย
เฉินฉีคว้ารองเท้าผ้าใบได้คู่หนึ่งแล้วเดินลงมา หลินถงซูกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ ดูจากหน้าตาแล้วเห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของเธอค่อนข้างแย่เอามาก ๆ ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าปลายสายคือใคร
“พี่ไม่เห็นต้องมายุ่งกับเรื่องของฉันเลย... เป็นพี่ชายแล้วยังไงล่ะ? จะถือวิสาสะบงการชีวิตฉันไปตลอดเลยรึไงกัน? ตอนนี้เขาขับมาส่งฉันถึงด้านล่างอะพาร์ตเมนต์แล้ว”
ตอนแรกเขาคิดจะยื่นรองเท้าให้เธอ แต่ดูจากสภาพตอนนี้แล้วเธอไม่น่าทำหลายอย่างพร้อมกันได้ เฉินฉีจึงทรุดตัวนั่งยอง ๆ แล้วจึงจับเท้าซ้ายของเธอมาและบรรจงใส่รองเท้าให้ จากนั้นจึงเอื้อมมือไปถอดรองเท้าอีกข้างออกและใส่รองเท้าผ้าใบให้แทน
“วางสายก่อนนะ! ไม่ต้องโทรมาหาฉันแล้ว!”
หลินถงซูกดวางสาย เพิ่งรู้สึกตัวว่าเฉินฉีกำลังช่วยเธอใส่รองเท้า ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง “ทำอะไรของคุณน่ะ?”
“อยู่นิ่ง ๆ สิ!”
เฉินฉีผูกเชือกรองเท้าอย่างชำนาญ วิธีที่เขาใช้ผูกเชือกดูไม่เหมือนวิธีของคนทั่วไปเพราะมีการผูกปมเอาไว้ด้านข้าง แม้มันดูแปลกตาแต่กลับดูดีอย่างน่าเหลือเชื่อ
หลังผูกเชือกรองเท้าเสร็จแล้ว หน้าของหลินถงซูก็แดงจัดเหมือนเปลือกแอปเปิล เฉินฉีลุกขึ้นยืน “โอเค ตอนนี้คุณก็เดินกลับขึ้นห้องได้แล้ว!”
“แล้วคุณ... คุณไม่เข้าไปนั่งพักในห้องสักหน่อยเหรอ?” หลินถงซูชวนเขาอย่างสุภาพโดยไม่มีอะไรแอบแฝง ถึงจะเป็นแค่คำเชิญตามมารยาท แต่เมื่อหลุดปากพูดออกไปแล้วเธอก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที นี่ไม่ถือเป็นการเปิดโอกาสให้เขาคิดเรื่องลามกกับเธอหรอกหรือ?!
“อ่า... นี่ก็ดึกมากแล้วนะ ยังจะชวนผมให้เข้าไปนั่งเล่นในห้องของคุณอีกเหรอ? ต่อให้คนพูดหวังดี แต่ฟังแล้วดูแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ” เฉินฉีพูดพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม