อสูรมังกรฟ้า เล้งซาน ตอนที่ 9 ความเป็นมามิแน่ชัด
"มังกร...มังกรอะไรกัน?"
ชุนเกียงตู้ เหลือบหันมามอง เล้งซาน และพยักหน้าเพื่อเป็นเชิงให้มันเข้า เล้งซาน จึงก้าวมาด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อยืนในระดับเดียวกับ ชุนเกียงตู้ มันประสานมือ โค้งเล็กน้อยให้แก่เซี่ยวหลินหลุน
"คารวะนายท่าน ข้ามีนามว่า เล้งซาน ท่านผู้ดูแลชุนเกียงตู้ พึ่งรับเป็นคนงานในเรือนเมื่อวันก่อน รับหน้าที่ทำสวน ฝั่งตะวันออก และตะวันตก ข้าได้ยินจากท่านผู้ดูแล ว่านายท่าน กำลังหาผู้เยาว์อายุ มิเกิน 18 ปี เข้าร่วมการประลองที่เมือง เมฆคราม ตัวข้านั้นปีนี้อายุครบ 15 ปี จึงหวังเข้ารับการทดสอบเพื่อเข้าร่วม"
เซี่ยวหลินหลุน ลองดูบุคลิกเล้งซานนับว่าน่าสนใจ อกผายไหล่ผึ่งสมส่วนด้วยสรีระร่างกายที่ฝึกยุทธมาเนิ่นนาน แต่พอมันใช้ปราณตรวจสอบพลังแล้วนั้น ถึงกับขมวดคิ้วในทันที สะบัดหน้าพร้อมส่งสายตาที่แฝงโทสะมาทาง ชุนเกียงตู้
"ชุนเกียงตู้!! นี่หรือมังกรของเจ้า ปราณสีม่วงขั้นกลาง อีกทั้งยังถึงขั้นกลางมินาน ด้วยซ้ำ!!"
ชุนเกียงตู้ หันไปมองหน้า เล้งซานทันที
'เจ้าเด็กนี่ ผ่านไปแค่ครึ่งวัน มันยกระดับขั้นเป็นปราณสีม่วงขั้นกลางแล้ว'
ชุนเกียงตู้ แสยะยิ้มด้วยความปลื้มใจ
"เรียนนายท่าน แม้เล้งซาน จะมีลมปราณอันน้อยนิด แต่..."
"แต่ อะไรของเจ้า?"
"มันสามารถเอาชัยจากผู้น้อยได้ ขอรับนายท่าน"
เซี่ยวหลินหลุน เผลอตัวลุกขึ้นยืนทันทีคล้ายลืมตัวด้วยความตกใจ และมองมาที่ ชุนเกียงตู้ สลับกับมองมาทางเล้งซาน
"จะ...จะ...เจ้า กล่าวว่ามันเอาชนะเจ้าได้หรือ!!"
"มิผิด นายท่านข้านั้นยอมรับความพ่ายแพ้แก่มัน"
"เป็นไปไม่ได้...มันอยู่ขั้นที่ 4 ของลมปราณสีม่วง แต่เจ้านั้น อยู่ขั้นที่ 5 ของลมปราณสีคราม ความต่างชั้นเกินกว่า 1 ระดับขั้นลมปราณ ย่อมมิอาจประมือกันได้ ข้าไม่เชื่อ!!"
ชุนเกียงตู้ ยิ้มที่มุมปาก โค้งคำนับเล็กน้อย
"เรียนนายท่าน ข้านั้นหาได้ประมือกับมัน แต่มันยอมรับข้า 3 ฝ่ามือเพื่อทดสอบตนเองโดนมิหลบเลี่ยงแม้แต่น้อย 2 ฝ่ามือแรกข้ามิกล้าลงมือเต็มที่ ด้วยความที่ไม่อยากทำร้ายเด็ก แต่ฝ่ามือที่ 3 ข้านั้นใช้พลังสิบส่วนเต็มของลมปราณสีคราม ถึงอย่างนั้นยังมิอาจทำให้มันบาดเจ็บได้แม้แต่น้อย"
เซี่ยวหลินหลุน ทิ้งตัวนั่งลงที่เดิม ยกมือที่สั่นเทาชี้มาที่ ชุนเกียงตู้
"เจ้าพูดจริงรึ!!"
"เรียนนายท่านบ่าวย่อมมิกล้าโป้ปด หากนายท่านยังมิปักใจเชื้อเชิญนายท่านทดสอบมันได้ด้วยตนเอง"
เซี่ยวหลินหลุน หันมามองที่เล้งซาน คิ้วขมวดเล็กน้อย ถึงแม้ชุนเกียงตู้ ติดตามมันมาหลายสิบปี เปรียบดังมือขวาของมันเอง แต่ด้วยคำพูดที่นับว่าเกินจริงเช่นนี้ จึงยากที่จะเชื่อ มันมิได้กล่าวสิ่งใดต่อเล้งซาน แต่หันมาหาชุนเกียงตู้อีกครา
"ชุนเกียงตู้ เจ้าสั่งคนให้ตาม บุตรชายของ หลี่ซุน มาหาข้าที"
ชุนเกียงตู้โค้งคำนับเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปหาทหารยามหน้าประตูเรือน
"ท่านพ่อ ลูกคิดว่าเล้งซานผู้นี้ ความเป็นมายังมิแน่ชัดเกรงว่าอาจเป็นมิใช่เรื่องดี หากให้มันเป็นตัวแทนของเราขึ้นประลอง"
เซี่ยวหลุนเยว่ กล่าวต่อบิดาของนาง ขณะนั้นก็หันมามอง เพื่อดูท่าทีของเล้งซาน แต่ไม่พบสีหน้าที่กังวลใจแม้แต่น้อย อีกทั้งยังเห็นรอยยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากของมัน เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ นางก็ขมวดคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
"ความเป็นมามิแน่ชัด?" เซี่ยวหลินหลุน
"เรียนท่านพ่อ จากที่ข้าทราบข่าวเกี่ยวกับคนผู้นี้ มันแจ้งต่อหลี่ซุนว่า ตนและครอบครัวถูกโจรป่าไล่ล่าจึงวิ่งหนีมาที่หมู่บ้านเรา แต่จากคำกล่าวของท่านลุงชุน ด้วยพลังฝีมือของมัน โจรป่าย่อมมิอาจทำร้ายมันได้แน่นอน"
เซี่ยวหลินหลุนพยักหน้าเห็นด้วยเล็กน้อย มันขมวดคิ้วและมองมาที่ เล้งซาน สายตาบ่งบอกชัดเจนว่ามันต้องการคำอธิบาย เล้งซานจึงประสานมือขึ้นและกล่าวตอบ
"เรียนนายท่าน ขออภัยที่ก่อนหน้านี้สิ่งที่ข้าบอกกล่าวแก่ผู้อาวุโสหลี่ซุน มิใช่ความจริงแต่อย่างใด แต่เนื่องด้วยเหตุผลของข้า จึงมิอาจเล่าความเป็นมาแก่คนโดยทั่วได้" สีหน้าของเล้งซานสงบนิ่ง คล้ายไม่ยี่หระกับสิ่งใด
"เหตุผลอันใด หากเจ้ามิได้มีเหตุผลเพียงพอ ไม่เพียงข้าจะมิให้เจ้าทดสอบเข้าร่วมประลอง แต่ข้าจะสั่งลงโทษเจ้า และขับเจ้าออกจากหมู่บ้านโดยทันที!!"
ปึ้งงง!!
เซี่ยวหลินหลุน กระแทกฝ่ามือใส่พนักพักแขนของเก้าอี้จนเกิดเสียงดัง เป็นเชิงข่มขู่ แต่ถึงกระนั้นหางคิ้วของเล้งซานยังไม่กระดิกแม้แต่กระผีกเดียว คล้ายการข่มขู่เช่นนี้ไม่ได้เกิดผลใดๆต่อจิตใจของมัน ก่อนจะกล่าวต่อ...
"เรียนนายท่าน แท้จริงแล้วข้าเป็นเด็กกำพร้า และได้เป็นศิษย์ของแกนหลักสำนักเทือกเขาไท่จู"
"สำนึกเทือกเขาไท่จู?" เซี่ยวหลินหลุนฉายความฉงนเล็กน้อยจากแววตา
"สำนักเทือกเขาไท่จู อยู่บนยอดเขาไท่จู ตั้งอยู่ ณ สุดเขตทิศใต้ของทวีปเต่าทมิฬ แต่แล้วสำนักเล็กๆของข้ากลับเกิดเรื่องมิคาดฝัน ปรากฏหายนะในรอบหลายร้อยปี สำนักข้าถูกรุกรานโดยสำนักใหญ่จากแดนใต้ เพื่อแย่งชิงเหมืองแร่ในเขาไท่จู แต่เหมืองแห่งนั้นคือสถานที่ต้องห้ามที่สำคัญที่สุดของสำนัก เป็นสุสานของ ผู้ก่อตั้งสำนัก และเจ้าสำนักอีก 7 รุ่น
สำนักข้าเข้าสู้รบโดยมิยอมจำนน แต่แล้ว...ด้วยกำลังที่ต่างราวผืนปฐพีกับผืนฟ้า พวกข้าถูกสังหารหมดสิ้นทั้งสำนัก!! เหลือรอดเพียงข้าผู้เดียวแต่ก็บาดเจ็บสาหัสถึงขั้นสูญสิ้นพลังลมปราณทั้งหมดที่เคยบ่มเพาะ และเริ่มบ่มเพาะใหม่ตั้งแต่ชั้นลมปราณสีม่วงขั้นต้น ข้าได้หลบหนีและแฝงตัวตลอดการเดินทางจากสุดเขตทิศใต้ของทวีป ใช้เวลา 6 เดือนถึงได้มาอยู่ในทิศเหนือของทวีปเต่าทมิฬแห่งนี้ เพียงเพื่อหลบหนีการตามล่าของสำนักใหญ่นั่น"
ขณะเล่าสาธยายเรื่องโป้ปดนานาประการของมัน เล้งซานตีสีหน้าสลดเศร้าสร้อยกึ่งเล่ากึ่งร่ำ ดวงตาฉายเปล่งทุกข์ระทมขมขื่น แสดงประกอบทุกวาจาที่พ่นออกมา
'เหอะ!! การพลิกลิ้นและการแสดงอากัปกิริยาของเจ้า นับเป็นอัจฉริยะ มิต่างจากพลังฝีมือจริงๆ' เฟรย่าแอบสบถออกมา
.............................................