บทที่ 35 คอนเสิร์ต
บทที่ 35 คอนเสิร์ต
คดีที่ 3 ศพหญิงสาวไร้หัว
วันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนกันยายน เหตุโศกนาฏกรรมฆ่าล้างครอบครัวกำลังเป็นกระแสอยู่ในสื่อสังคม ซึ่งในรายงานข่าวของเมืองหลงอันอ้างอิงถึง ‘พลเมืองดีนิรนาม’ ที่มีส่วนช่วยเหลือในการไขคดีอีกครั้ง ทำให้ชาวเน็ตอดไม่ได้ที่คาดเดาถึงเบื้องหลังของพลเมืองดีที่โผล่มาช่วยถึงสองครั้งคนนี้
เวลาผ่านเข้าสู่เดือนตุลาคม ชีวิตของเฉินฉีกลับมายุ่งเหยิงเป็นปกติ ในแต่ละวันเขาจะออกรอบขับอูเบอร์ตั้งแต่รุ่งเช้าและพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้โดยสารเหล่านั้น พอไม่มีเรื่องให้ต้องคิดมากแล้วบรรยากาศก็เต็มไปด้วยความสุขสงบ
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้รับสายจากหลินถงซู หลังจากส่งผู้โดยสารถึงจุดหมายปลายทางแล้ว เขาก็ขับตรงไปยังทางเข้าหน้าสถานีตำรวจทันที หลินถงซูเพิ่งแต่งตัวเสร็จมาหมาด ๆ เธอเปิดประตูเข้ามากระแทกตัวนั่งและงับประตูปิดดังโครม เฉินฉีมองเธอผ่านกระจกมองหลัง “เป็นอะไรไปน่ะคุณหลิน? คราวนี้ไปถูกใครยั่วโมโหมาอีกล่ะ?”
“คุณไง!”
เฉินฉีเขย่าซองบุหรี่ก่อนหยิบมันออกมามวนหนึ่ง “ผมเหรอ? ทำไมเป็นผมไปได้เนี่ย?”
“คุณเป็นคนยุให้สวีเสี่ยวตงมาชวนฉันไปดูคอนเสิร์ตใช่ไหม?”
“ผมขอพูดให้ชัดเจนก่อนว่าผมไม่เคยไปยุอะไรเขา ผมก็แค่บอกเขาว่าถ้าคิดจะจีบสาวก็ต้องกล้าให้มันมากกว่านี้”
หลินถงซูที่กำลังโกรธหลุดหัวเราะออกมา “แบบนี้ยังไม่เรียกว่ายุอีกเหรอ?”
“ถ้าคุณไม่ได้สนใจเขาก็แค่บอกไปตรง ๆ ก็สิ้นเรื่อง ทำไมถึงเอาแต่โทษว่าผมเป็นตัวการ?”
“โอ้ ขอเถอะ เขายังไม่ได้สารภาพอะไรออกมาเลย แล้วฉันจะปฏิเสธอะไรเขาได้? และต่อให้ฉันพูดดักคอเข้าจริงเดี๋ยวเขาก็จะหาว่าฉันคิดมากไปเองอีก”
“แล้วคุณตกลงไปดูคอนเสิร์ตกับเขาไหมล่ะ?”
“ไม่! พูดขนาดนี้แล้วจะให้ฉันตกลงได้ยังไงล่ะ?! ไม่ว่าวันพรุ่งนี้หรือวันไหน ๆ คุณห้ามทำแบบนี้เด็ดขาดเลยนะ คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันชอบคนแบบไหน แต่พยายามจะจับคู่ให้ฉันอยู่เรื่อย!”
“คุณหลิน งั้นผู้ชายแบบไหนล่ะที่คุณชอบ? บอกหน่อยสิ ผมจะได้ช่วยคุณหาให้ตรงสเปค!”
หลินถงซูยกขาขึ้นถีบด้านหลังเบาะที่นั่งคนขับทันที “ไร้สาระ!”
“คุณมาเจอผมแค่เพราะจะต่อว่าเรื่องนี้รึไง?”
“ก็ไม่ใช่แค่นี้หรอก” หลินถงซูหยิบบัตรคอนเสิร์ตของจางเสวโหย่วออกมาสองใบพร้อมยิ้มเย้ย “คุณอยากทำอาชีพเสริมเป็นช่างจับคู่ด้ายแดงแล้วทำให้ฉันติดหนี้คุณใช่ไหม? ฉันไม่ยอมหรอก ฉันจะทำให้คุณทั้งอึดอัดและรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป ได้ยินว่าคุณไม่ได้ชอบจางเสวโหย่วเหมือนที่โม้ไว้ตอนแรกนี่ เพราะงั้นฉันจะชวนคุณไปดูคอนเสิร์ตของเขาให้อกแตกตายไปเลย!”
เฉินฉีเลิกคิ้ว “ให้ผมเดานะ วันนี้คือวันที่หนึ่งตุลาคม* ธนาคารทุกที่จัดโปรโมชันพิเศษลดแลกแจกแถมกันให้วุ่น บัตรคอนเสิร์ตพวกนี้คุณก็ได้มาจากอะไรพวกนั้นใช่ไหมล่ะ?”
* 1 ตุลาคม = วันชาติจีน
“คุณนี่นิสัยแย่ชะมัด! ไม่เห็นคุณค่าของมันเลยรึไงกัน? ฉันอุตส่าห์แย่งชิงแทบตายกว่าจะได้มานะ!”
“ผมผิดไปแล้ว ผมผิดไปแล้ว!” เฉินฉีขอโทษเธอทันที “ผมมัวแต่ตกใจที่คุณหลินชวนผมให้ไปดูคอนเสิร์ตด้วย เอาจริง ๆ ตั้งแต่หนุ่ม ๆ จนอายุปูนนี้แล้ว ยังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนมาชวนผมไปดูคอนเสิร์ตมาก่อนเลย คุณมีลับลมคมในอะไรแอบแฝงไว้ไหมเนี่ย?”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ คิดซะว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณที่คุณช่วยเหลือฉันมาตลอดก็แล้วกัน โดยเฉพาะคดีล่าสุดที่ผ่านมาคุณทุ่มเททั้งสมองทั้งเวลาไปตั้งเยอะ อีกอย่างฉันน่ะอยากไปเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ฉันไม่ไปกับสวีเสี่ยวตงเด็ดขาด เพราะฉะนั้นฉันเลยลากคุณให้ไปเป็นเพื่อนแทน”
“เมื่อไหร่?”
“คืนนี้เลย!”
“โอเค แล้วเจอกัน”
หลินถงซูปาบัตรคอนเสิร์ตใส่อกเฉินฉี “มารับฉันด้วย ห้ามมาสายเชียวนะ!”
เฉิวฉีมองบัตรคอนเสิร์ตก่อนจะยิ้มออกมาพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง “พี่ชายกับน้องสาวคู่นี้ปากไม่ค่อยตรงกับใจเลยแฮะ”
เวลาหนึ่งทุ่ม เฉินฉีขับรถไปรับเธอตามนัด หลินถงซูที่สวมชุดเดรสสีดำตัวสวยเดินมาเปิดประตูแล้วก้าวขึ้นมานั่งภายในรถ เฉินฉีคิดในใจว่าสาวน้อยคนนี้แต่งตัวเก่งไม่เบา แต่ไม่ว่าเธอจะใส่อะไรก็ดูดีไปซะหมด ทั้งยังดึงดูดสายตามากทีเดียว
“มองอะไรอยู่ได้ คุณลุงตัวเหม็นหึ่ง!” เธอสังเกตเห็นสายตาของเฉินฉี
“อาหารตาน่าอร่อยมากเลยครับ”
“อร่อยบ้านคุณสิ!” หลินถงซูชูสองนิ้วขึ้นมาจะทิ่มตาเฉินฉี “รีบขับออกไปได้แล้ว เดี๋ยวเข้างานสายกันพอดี”
ขณะขับรถเฉินฉีก็ตั้งคำถามไปด้วย “คุณเกิดหลังยุค 90 จริงเหรอเนี่ย? ทำไมถึงชอบฟังเพลงของจางเสวโหย่วล่ะ?”
“ฉันชอบเพราะติดนิสัยมาจากครอบครัวน่ะ สมัยเด็ก ๆ ที่บ้านมักจะเปิดเพลงของเขาฟังเสมอ ฉันเลยพลอยได้รับอิทธิพลมาด้วย ตอนฉันไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อนที่เรียนด้วยกันก็เลือกร้องเพลงของเขาอีกจนโดนเพื่อนล้อว่าหัวโบราณ แต่ฉันว่าสิ่งสำคัญอยู่ว่าที่ตัวเราชอบอะไร และเราไม่ควรไปตัดสินรสนิยมการฟังเพลงของใครเพียงเพราะอายุของพวกเขาไม่ตรงกันกับยุคสมัยของเพลงนั้น ๆ”
“คุณพูดถูกที่สุดเลย!”
เมื่อพวกเขามาถึงที่จัดคอนเสิร์ต เห็นไกล ๆ ว่าผู้คนต่อแถวจากบริเวณด้านหน้าเวทียาวออกมาถึงด้านนอก เฉินฉีวนหาที่จอดรถแล้วหยิบเสื้อโค้ตจากเบาะด้านหลัง เป็นแจ็กเกตสีดำที่เขาเพิ่งซื้อมาใหม่ หลินถงซูรู้สึกว่าเขาสวมใส่แล้วดูสบายตา แถมยังดูเด็กลงอีกด้วย
“คุณรู้อะไรไหม?” เฉินฉีหยอกเธอ “งานวิจัยหนึ่งบอกว่าคนที่ชอบสีดำส่วนใหญ่มักเป็นคนเพี้ยน ๆ”
“ไม่รับรู้ ฉันไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น!” หลินถงซูเอามือมาปิดหูไว้ “อย่ามาเผยแพร่ผลการวิจัยเพี้ยน ๆ ใส่หูอันบริสุทธิ์ของฉันนะ”
เฉินฉียิ้มร่า “ไปกันเถอะ!”
บริเวณพื้นที่จัดคอนเสิร์ตโดยรอบมีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับคอนเสิร์ตอย่างต่อเนื่อง ตามหน้างานมีคนเดินเร่ขายแท่งไฟ ไฟ LED และยังมีบางคนที่ขายแม้กระทั่งแผ่นซีดีละเมิดลิขสิทธิ์ เฉินฉีเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะเข้าไปเตือนคนที่กำลังขายซีดีเถื่อน “คุณนี่ช่างกล้าจริง ๆ รู้ไหมว่าการผลิตและจำหน่ายซีดีเถื่อนมันผิดกฎหมายน่ะ? แถมเอามาขายหน้างานเย้ยกฎหมายอีก!?”
คนขายถ่มน้ำลายลงพื้นก่อนหันมาด่า “มันไม่ใช่เรื่องของคุณ ถ้าไม่ซื้อก็ไปไกล ๆ ซะ”
“กล้าแบบนี้ให้ตลอดรอดฝั่งแล้วกัน ผมจะฟ้องคุณเดี๋ยวนี้แหละ!” เฉินฉีหันไปตะโกนเรียกสตาฟหน้างานเสียงดังลั่น “เฮ้! มีคนกำลังขายซีดีเถื่อนอยู่ตรงนี้ครับ!”
สตาฟได้ยินแล้วรีบวิ่งตรงมาทันทีและเมื่อคนขายซีดีเถื่อนเห็นก็หันกลับมาตะโกนด่าเฉินฉีก่อนจะวิ่งเตลิดหนีการถูกจับ “เดี๋ยวฉันจะหาคนมาถลกหนังหน้าแกซะ!”
“ช่วยผ่าตัดให้ผมดี ๆ ด้วยล่ะ! ผมอยากทำศัลยกรรมอยู่พอดีเลย!” เฉินฉีพูดประชดไล่หลังคนขายที่กำลังวิ่งแจ้นเต็มฝีเท้า
หลินถงซูหัวเราะก่อนจะหันไปต่อว่าเขา “คุณนี่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านจริง ๆ เลย!”
“ขายแผ่นซีดีเถื่อนมันก็เหมือนกับการขโมยเงินนั่นแหละ มันเป็นเงินของไอดอลผมนะ จะให้ผมจะอยู่เฉย ๆ ได้ยังไง?” เฉินฉีตอบอย่างจริงจัง
“หึ ไอดอลของคุณคงซาบซึ้งน่าดู”
“นั่นไม่สำคัญหรอก โอ้ ใช่ คุณอยากได้แท่งไฟสักอันไหม? เดี๋ยวผมซื้อให้”
“ถ้าต้องดูไปด้วยและโบกเจ้านั่นไปด้วยฉันคงดูงี่เง่ามากแน่ ๆ!”
“เอาน่า โอกาสแบบนี้นาน ๆ ทีจะมีสักครั้ง” เฉินฉีเรียกคนขายมาและซื้อแท่งไฟกับป้าย LED ที่เขียนว่า ‘God of Songs I love you’ พอคนขายได้รับเงินแล้วจึงใช้คารมชมเชยเขา “แฟนของคุณสวยมากเลยนะ!”
หลินถงซูกระทืบเท้าทันที “ฉันไม่ใช่แฟนเขาซะหน่อย ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่าเดาส่งเดชสิ!” พูดแล้วก็หันไปมองหน้าเฉินฉีที่ยังยิ้มแฉ่งไม่รู้สึกรู้สา “คุณมันแย่ มัวยิ้มหน้าระรื่นไม่ยอมแก้ตัวแทนฉันอีก! ตาลุงพวกนี้เป็นประเภทเดียวกันหมดหรือยังไงนะ!”
“การที่ผมเป็นผู้ชายเส้นตื้นอารมณ์ดีมันผิดขนาดนั้นเลยรึไง?!” เฉินฉีตอบด้วยความสัตย์จริง
หลินถงซูเบือนหน้าหนีและไม่สนใจเขาอีก ทันใดนั้นเธอก็เห็นสวีเสี่ยวตงกำลังยืนต่อคิวอยู่ในแถวที่คดเคี้ยวเป็นรูปตัว S และกำลังพูดคุยและหัวเราะกับสาวสวยคนหนึ่งอย่างอารมณ์ดี หลินถงซูถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง จากนั้นจึงรีบหันขวับไปด้านหลังและกระซิบกับเฉินฉี “ดูนั่นสิ ตรงนั้น!”
“ผมเห็นก่อนคุณอีก ทำไมเหรอ?” เฉินฉีดูใจเย็นมาก
“คุณไม่คิดว่าไอ้หมอนี่ทำเกินไปหน่อยรึไง?! พอถูกฉันเทปุ๊บก็เปลี่ยนเป้าหมายไปหาคนอื่นปั๊บ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่ตกลงมาดูคอนเสิร์ตกับเขา!” หลินถงซูแค่นเสียงฮึดฮัด
“ผมไม่เห็นว่ามันจะผิดตรงไหน อย่าลืมว่านี่เป็นธรรมชาติของผู้ชายนะคุณ อุตส่าห์หว่านแห่ไปหลายที่ยังไงก็ต้องได้อะไรกลับมาให้ชื่นใจบ้าง คุณคิดว่าผู้ชายคนหนึ่งจะรอผู้หญิงคนเดียวไปตลอดกาลเลยรึไง?”
“นี่! คุณไม่ยอมเข้าข้างฉันไม่พอ ยังหยิบยกเหตุผลอะไรก็ไม่รู้มาทำให้เขาเป็นฝ่ายถูกซะงั้น”
“โอ้ จริงอย่างที่คุณว่า เจ้าบ้านั่นใจโลเลชะมัดเลย!” เฉินฉีแกล้งทำท่าไม่พอใจ
“คุณแอคติ้งได้ห่วยแตกมาก!” หลินถงซูยิ้มออกและกำหมัดชกแขนเขาเบา ๆ
หลังใช้เวลายืนต่อแถวเข้างานอย่างยาวนาน ในที่สุดทั้งคู่ก็สามารถเข้ามาภายในพื้นที่จัดคอนเสิร์ต หลินถงซูเจอที่นั่งของตัวเองแล้ว โชคดีที่ไม่ได้นั่งใกล้กับสวีเสี่ยวตง เธอกำลังจะหันไปบอกเฉินฉี แต่เขากลับไม่ได้เดินตามเธอมาแต่อย่างใด
ผ่านไปสักพักเฉินฉีก็เดินกลับมาพร้อมถุงขนมและเครื่องดื่มอีกหลายอย่าง เขานั่งลงข้างหลินถงซูพร้อมรอยยิ้ม “ระหว่างรอคุณควรกินอะไรรองท้องสักหน่อย กว่าการแสดงจะเริ่มก็อีกตั้งชั่วโมงหนึ่ง”
หลินถงซูบ่นอุบ “รองท้องด้วยเครื่องดื่มพวกนี้เนี่ยนะ? ไม่กลัวฉันจะปวดฉี่กลางคันรึไง? รู้ไหมว่าผู้หญิงอย่างเรา ๆ น่ะเข้าห้องน้ำลำบากแค่ไหน ยิ่งอยู่นอกสถานที่ที่มีผู้คนมากมายล้อมหน้าล้อมหลังแบบนี้ คุณนี่ไม่รู้อะไรเอาซะเลย!” เธอต่อว่าเขาพร้อมเอื้อมมือไปหยิบกระป๋องโคล่าออกมาจากกระเป๋าสะพาย