WS บทที่ 298 กรงเพลิง
เมอร์ลินกำลังลอยอยู่กลางอากาศ ตามตัวเขามีพลังงานธาตุลมพันตัวเข้าและช่วยให้เขาลอยอยู่ในอากาศ นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเข็มขัดเส้นนี้เป็นอุปกรณ์เวทมนต์แบบบิน
เข็มขัดจะต้องมีพลังลึกลับซึ่งสามารถร่ายเวทย์ธาตุลมได้ โดยคาถาที่ปล่อยมาจะเป็นคาถาระดับสี่
อุปกรณ์เวทมนต์แบบบินมีมูลค่าสูงมาก เป็นที่ทราบกันดีว่าคาถาบินสามารถร่ายได้โดยนักเวทย์ระดับสี่ที่ได้สร้างคาถาธาตุลม
สำหรับนักเวทย์ที่ต่ำกว่าระดับสี่หรือนักเวทย์ระดับสี่ขึ้นไปแต่ไม่ได้สร้างคาถาธาตุลม อุปกรณ์เวทมนต์นี้ช่วยให้นักเวทย์เหล่าเดินได้สะดวกขึ้นแถมยังช่วยในการต่อสู้โดยอ้อมด้วย
เมอร์ลินสำรวจพลังของเข็มขัดเพิ่มเติม ความเร็วในการบินของมันค่อนข้างน่าพอใจ มันมีความเร็วมากกว่าสายลมแห่งอิสระที่เขาใช้มาก มันใกล้เคียงกับความเร็วของคาถาบินระดับสี่ทั่วไป
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเข็มขัดจะต้องเสริมด้วยหินคริสตัลธาตุลมบางชนิด แต่จำนวนนี้ไม่มากสำหรับเมอร์ลินซึ่งตอนนี้มีหินธาตุจำนวนมากจากแหวนที่เขาเก็บมาเมื่อกี้
อุปกรณ์เวทมนต์แบบบินเป็นของที่ดีที่สุดที่เมอร์ลินได้รับจากด่านทดสอบที่สอง แหวนบางวงอาจมีวัสดุล้ำค่าอยู่บ้าง แต่ไม่สามารถเทียบได้กับอุปกรณ์เวทมนต์ชิ้นนี้ได้
นับตั้งแต่ยุคของอาณาจักรมอลต้า ยุคอันรุ่งโรจน์ที่สุดของนักเวทย์ได้ผ่านพ้นไป มรดกของการเล่นแร่แปรธาตุส่วนใหญ่ได้สูญหายไป อุปกรณ์เวทมนต์ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเล่นแร่แปรธาตุเช่นกัน และมันก็ค่อนข้างยากที่จะสรรสร้างอุปกรณ์เวทมนต์แบบบินขึ้นมา
เมอร์ลินได้เคยเห็นอุปกรณ์เวทมนต์แบบนี้ในดินแดนมนต์ดำ อาคารสเตอร์ลิ่งและป้อมอูดอนเลย ดังนั้นเข็มขัดนี้จึงถือเป็นสมบัติอันล้ำค่า
หลังจากปล้นแหวนบนโครงกระดูกตรงด่านทดสอบที่สองเสร็จ เมอร์ลินคาดหวังว่าในด่านทดสอบที่สามต้องมีของมีค่ายิ่งกว่านี้แน่นอน เขาจึงรีบไปที่นั่นทันที
เมอร์ลินเคยได้ยินเรื่องที่เปลวไฟเล่าก่อนหน้านี้ว่าในระยะเวลากว่าสามพันปี มีเพียงสามคนเท่านั้นที่เขาไปท้าทายด่านทดสอบที่สามและเมอร์ลินเป็นคนที่สี่ แต่นอกจากเขาแล้ว ยังไม่มีใครเคยที่เอาชนะด่านทดสอบที่สามสำเร็จ
ดังนั้นนักเวทย์ที่ไปด่านที่สามได้จะต้องเป็นนักเวทย์ที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!
*หวู่ม!*
ร่างของเมอร์ลินปรากฎขึ้นตรงหน้าด่านทดสอบที่สาม เขากวาดสายตาไปบนพื้น แต่ขมวดคิ้วเพราะเขาไม่เห็นกระดูกหรือวงแหวนใด ๆ ในบริเวณนี้
เมอร์ลินจำได้ว่านอกจากเมอร์ลินแล้ว ยังมีอีกสามคนที่มาที่ด่านที่สาม
อย่างไรก็ตาม ทั้งสามไม่สามารถผ่านด่านทดสอบได้สำเร็จ
เมอร์ลินนึกถึงสิ่งที่เปลวไฟพูดอย่างละเอียด มันกล่าวว่าเป็นมีนักเวทย์คนหนึ่งที่มีพลังปีศาจแพนโดร่าห้าธาตุ แต่เขาใช้โอกาสทั้งสามหมดไปแล้วและถูกโยนเข้าไปในกรงเพลิง
ขณะที่เขาคิดเรื่องนี้ ดวงตาของเมอร์ลินก็ส่องประกาย และเขาก็พึมพำด้วยเสียงต่ำ
“ใช่แล้ว กรงเพลิงไงล่ะ ที่นั่นจะต้องมีนักเวทย์จำนวนมากที่ถูกโยนไปในนั้นเนื่องจากไม่สามารถผ่านด่านทดสอบทั้งสามได้ แม้แต่นักเวทย์ระดับเจ็ดก็ยังถูกโยนไปที่นั่น พวกแหวนน่าจะอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน”
กรงเพลิง เป็นสถานที่ที่เปลวไฟพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า นอกจากนี้ ตามการคาดเดาของเมอร์ลิน กรงเพลิงนี้อยู่บนเรือของนิโคล่าอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินอาจควบคุมเรือของนิโคล่าได้อย่างสมบูรณ์ในตอนนี้ แต่เขาไม่ได้ค้นพบกรงเพลิงเช่นกัน
“กรงเพลิงน่าจะเป็น 'คุก' ที่จอมเวทย์ในตำนาน นิโคล่า สร้างขึ้น เนื่องจากเป็น 'คุก' จึงต้องซ่อนไว้อย่างดีและแข็งแรงเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนหลบหนีได้ง่าย”
ความคิดนับไม่ถ้วนแวบเข้ามาในหัวของเมอร์ลิน จากนั้นเขาก็ค้นหาทุกมุมของเรือนิโคล่าอีกครั้ง ยิ่งกว่านั้นเขามองออกไปโดยเฉพาะจุดที่มีธาตุไฟหนาแน่น
อย่างไรก็ตาม หลังจากค้นหามาระยะหนึ่ง เขาก็ยังไม่พบตำแหน่งกรงเพลิงเลย
ถึงอย่างนั้น เมอร์ลินไม่ยอมแพ้แต่เปลี่ยนวิธีคิดแบบอื่น เขาค้นหาสถานที่ที่มีธาตุไฟความเข้มข้นสูงสุดบนเรือของนิโคล่าแทน
“สถานที่ที่ธาตุไฟมีความเข้มข้นมากที่สุดคือที่ที่มีเสาเพลิงตั้งอยู่!”
สิ่งแรกที่เมอร์ลินนึกถึงคือเสาเพลิงซึ่งสร้างโดยธาตุไฟที่ควบแน่น มันเป็นสถานที่ที่มีธาตุไฟเข้มข้นสูงสุดบนเรือของนิโคล่า กรงเพลิงจะต้องอยู่ในเสาเพลิงอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินไม่เคยคิดจะไปไปบริเวณนั้น แต่เพื่อที่จะค้นหากรงเพลิง เมอร์ลินจึงตัดสินใจไปยังที่ตั้งของเสาเพลิง
…
“อย่างที่ฉันคาดไว้เลย ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยอณูธาตุไฟเข้มข้นมาก!”
เมอร์ลินปรากฏตัวในห้องที่มีสีแดงเพลิง เขามองไปรอบ ๆ สถานที่นั้นเต็มไปด้วยเสาเพลิงขนาดมหึมาซึ่งเปล่งความร้อนแผดเผาอย่างน่าประหลาดใจ
เมอร์ลินเดินไปรอบ ๆ และค้นพบประตูโลหะโดยบังเอิญ ในห้องเต็มไปด้วยเปลวไฟ
ถ้าเมอร์ลินไม่ได้มาที่นี่ด้วยตัวเขาเอง เขาก็คงไม่มีทางค้นพบประตูเหล็กนี้
แม้ว่าเมอร์ลินจะควบคุมเรือของนิโคล่า แต่เขามองเห็นเพียงเสาเพลิงจำนวนมากจากการมองคร่าว ๆ โดยไม่เข้าใจรายละเอียดของเสาเพลิงเหล่านี้อย่างชัดเจน
“ห้องที่อยู่เบื้องหลังประตูบานใหญ่นี้? น่าจะเป็นกรงเพลิงที่เปลวไฟพูดถึง”
เมอร์ลินเดินเข้าไปใกล้ประตูเหล็กบานใหญ่และมองไปรอบ ๆ เพื่อหากลไกหรืออะไรทำนองนั้นในการเปิดมันแต่เขาไม่เห็นอะไรอย่างนั้น
เขาได้ครุ่นคิด ตอนนี้เขาเป็นผู้ครอบครองแม็กซิมแห่งไฟและยังครอบครองเรือของนิโคล่าด้วย ดังนั้นเขาสามารถเข้าไปที่ใดก็ได้บนเรือลำนี้อย่างสมบูรณ์
ขณะที่เขาคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้ เมอร์ลินก็ได้เปิดใช้งานแม็กซิมห่งไฟในจิตใต้สำนึกของเขาและปล่อยพลังออกมา
จากนั้นเมอร์ลินเปิดปากพูดด้วยเสียงที่แหบว่า
"จงเปิด!"
*ครืน!!!*
หลังจากที่พลังของม็กซิมแห่งไฟถูกปล่อยออกมารอบ ๆ ตัวเมอร์ลิน ประตูเหล็กหนาทึบก็เริ่มเปิดออกทีละน้อย
ประตูเหล็กเปิดออก และในชั่วพริบตา เมอร์ลินก็ก้าวเข้ามาข้างใน
มันเป็นห้องโถงที่กว้างขวางและว่างเปล่า ตรงกลางห้องโถง มีพื้นที่วงกลมล้อมรอบไปด้วยเสาขนาดใหญ่สิบหกต้น เส้นรูนหนาทึบปกคลุมเสา
มีแม้กระทั่งร่องรอยของพลังของแม็กซิมแห่งไฟที่เมอร์ลินคุ้นเคย
เสาขนาดมหึมาทั้งสิบหกเสาสร้างวงเวทย์รูนขนาดใหญ่ขึ้นซึ่งล้อมรอบพื้นที่วงกลม ภายในบริเวณนั้นมีเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง
“กรงเพลิง ที่นี่ต้องเป็นกรงเพลิงอย่างแน่นอน!”
เมอร์ลินรู้สึกยินดี เปลวไฟภายในพื้นที่วงกลมที่ล้อมรอบด้วยเสารูนสิบหกต้น ทำให้เกิดความรู้สึกคุ้นเคยในเมอร์ลิน พลังนี้คล้ายกับของแม็กซิมแห่งไฟ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเปลวไฟภายในพื้นที่นั้นน่ากลัวเพียงใด ทันทีที่ก้าวเข้ามา คนหนึ่งจะกลายเป็นเถ้าถ่าน
เหตุใดจึงไม่รู้สึกถึงความร้อนที่แห้งแล้งนี้ในห้องโถง เป็นไปได้มากว่าต้องขอบคุณอักษรรูนลึกลับเหล่านี้ที่กักเปลวไฟไว้แน่นในวงกลม สิ่งนี้ทำให้เกิดกรงเพลิงที่น่าสะพรึงกลัว นักเวทย์คนใดที่ไม่สามารถผ่านด่านทดสอบทั้งสามและไม่ถูกฆ่าโดยปฏิมากรอัคนี พวกเขาก็จะถูกโยนเข้าไปในกรงไฟ
“กรงเพลิง มันเป็นสถานที่ที่อันตรายมาก ฉันเกรงว่าจะไม่มีใครสามารถต้านทานพวกมันได้ หากนักเวทย์สามคนที่ไปถึงด่านทดสอบที่สามและถูกโยนเข้าไปในกรงเพลิงแล้วล่ะก็ พวกเขาจะต้องตายไปนานแล้ว คำถามคือแหวนเหล่านั้นยังอยู่หรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าเปลวเพลิงของกรงเพลิงนั้นน่ากลัวเพียงใด เมอร์ลินจึงรู้สึกไม่มั่นใจนัก แม้ว่าวงแหวนจะไม่เสียหายง่าย ๆ แต่เมื่อเผชิญกับเปลวไฟที่มีพลังคล้ายกับแม็กซิมแห่งไฟและถูกสร้างขึ้นโดยจอมเวทย์ในตำนาน นิโคล่า มันก็มีความเป็นไปได้ว่าแหวนพวกนี้อาจจะแหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วก็ได้
อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินคิดว่าเขาน่าจะลองดูก่อน เขาจึงมุ่งหน้าไปยังกรงไฟเพื่อตรวจสอบให้ละเอียด
ทันทีที่เขาเข้าใกล้กรงเพลิง อักษรรูนบนเสาสิบหกต้นก็กลายเป็นตาข่ายรูนขนาดใหญ่ที่ขวางทางของเมอร์ลิน จากความแข็งแกร่งของอักษรรูนเหล่านี้ เมอร์ลินเดาว่าแม้แต่จอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังยากที่จะฝ่าฟันไปได้
อย่างไรก็ตามเขามีแม็กซิมแห่งไฟที่สามารถควบคุมเรือทั้งหมด เมื่อเขาปลดปล่อยพลังของแม็กซิมออกมา อักษรรูนที่ขวางเขาก็สลายหายไป
*หวู่ม!*
เปลวเพลิงในกรงเพลิงช่างน่ากลัวยิ่งนัก เมอร์ลินไม่กล้าที่จะประมาทแม้แต่น้อย เขาได้เปิดใช้งานแม็กซิมแห่งไฟอย่างต่อเนื่อง เขาค้นพบว่าเพียงพลังเพียงเล็กน้อยจากแม็กซิมก็สามารถระงับเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วงเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์ เป็นเพราะเหตุนี้เองที่เมอร์ลินจึงกล้าที่จะก้าวเข้าไปในกรงเพลิง
“มีคนถูกโยนเข้ามาในกรงเพลิงอีกแล้วงั้นเหรอ?”
ทันใดนั้น เสียงที่ฟังดูชราและแหบแห้งดังมาจากกลางกรงเพลิง ฝีเท้าของเมอร์ลินหยุดชะงักตามสัญชาตญาณ และพลังจิตของเขาก็พุ่งขึ้น
“ยังมีคนรอดชีวิตอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?”
เมอร์ลินเริ่มระมัดระวังในทันทีและเริ่มมุ่งหน้าไปยังเสียงนั้น ในที่สุด ที่ด้านล่างของเสาที่สิบสาม เมอร์ลินเห็นนักเวทย์ซึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้เสา ร่างกายของเขาขดตัวเป็นลูกบอล เปลวเพลิงของกรงเพลิงกำลังลุกไหม้อยู่บนร่างกายของเขาแต่พวกมันกลับถูกชั้นของเปลวไฟที่คล้ายคลึงกันขวางกั้นไว้
เมอร์ลินหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาคาดเดาว่าเขาต้องเป็นหนึ่งในนักเวทย์ที่ถูกโยนเข้าไปในกรงเพลิง สำหรับชั้นไฟบาง ๆ พวกมันเคลื่อนไหวด้วยความผันผวนของธาตุที่เห็นได้ชัด สิ่งนี้บ่งชี้ว่าเขากำลังร่ายคาถาเพื่อต่อต้านเปลวไฟของกรงเพลิงตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ทำให้เมอร์ลินประหลาดใจ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต่อสู้กับเปลวไฟของกรงเพลิงอย่างต่อเนื่องและเอาชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ แม้แต่จอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่สามารถมีพลังเวทย์มนตร์จำนวนมหาศาลที่จะรักษาสิ่งนี้ไว้ได้
ขณะที่เมอร์ลินกำลังมองนักเวทย์ผู้ลึกลับคนนี้ ฝ่ายตรงข้ามก็เงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นเคราที่รุงรังและใบหน้าที่แก่ชรา
เมื่อเขาเห็นว่าเปลวเพลิงรอบ ๆ เมอร์ลินดูเหมือนจะถูกระงับ การแสดงออกของนักเวทย์ชราภาพก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“เจ้าต้องไม่ใช่นักเวทย์ที่ถูกโยนเข้าไปในกรงเพลิงสินะ เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ดวงตาของนักเวทย์ชราเริ่มอ่อนล้า แต่แววตาของเขากลับแหลมขึ้นในทันทีและจับจ้องไปที่เมอร์ลินอย่างไม่วางตา