บทที่ 33 จับกุมฆาตกรตัวจริง
บทที่ 33 จับกุมฆาตกรตัวจริง
หลินถงซูนึกแปลกใจ “ทำไมคุณถึงมั่นใจขนาดนั้นล่ะ? อาจจะแค่บังเอิญก็ได้นี่”
“เพราะว่าถ้าผมเป็นเขา ผมก็จะทำแบบนี้แหละ คุณพกปืนมาด้วยไหม?”
หลินถงซูตบด้านหลังแจ็กเกตของเธอ “ฉันเอามา… แต่ต้องบอกคุณก่อนนะ ปืนของฉันน่ะประสิทธิภาพธรรมดามาก”
เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกสองคนวิ่งออกมาจากห้องผู้ป่วยแล้วถามพยาบาลคนหนึ่ง “ไฟไหม้ตรงไหนครับ?”
พยาบาลคนนั้นตอบ “ห้องเก็บของทางฝั่งตะวันออกค่ะ ยังไม่ลามไปที่อื่น แต่พวกเรากังวลมากว่าถังออกซิเจนอาจจะระเบิดได้ ก็เลยรีบโทรแจ้งนักดับเพลิงเรียบร้อยแล้วค่ะ”
พยาบาลรีบเดินจากไป เจ้าหน้าที่ทั้งสองนั้นมองหน้ากัน เสี่ยวจางเสนอขึ้นว่า “เราควรไปช่วยพวกเขาดับไฟนะ!” แต่โอวจางที่มีอายุงานกว่ายี่สิบปีกลับใจเย็นกว่าอีกฝ่ายและไม่เห็นด้วย “นี่ต้องเป็นการสร้างสถานการณ์ของฆาตกรแน่นอน พวกเราออกไปจากวอร์ดนี้ไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว ไฟไหม้จากทางทิศตะวันออกในขณะที่ห้องผู้ป่วยอยู่ทางฝั่งตะวันตก มันจงใจล่อพวกเราออกไปชัด ๆ”
เฉินฉีหันไปกำชับ “พวกคุณสองคนคอยเฝ้าอยู่ที่นี่แหละ ผมจะลงไปดูแถวบันได”
เขาลากหลินถงซูออกมาด้วย พยาบาลวิ่งสวนกันไปมาบนโถงทางเดินด้วยความแตกตื่น ทั้งคู่เกือบจะชนกับพวกเขาหลายที หลินถงซูเตือนเขา “สถานการณ์ตอนนี้วุ่นวายมากนะ อย่าวิ่งไปทั่วแบบนี้สิ!”
“อย่าโง่น่า คุณคิดว่ากงเหวินเขาจะไปไหนได้ล่ะ?”
“หมายความว่าเขาจะไม่ขึ้นมาที่นี่หรอกเหรอ?”
“ข่าวในหนังสือพิมพ์รายงานว่าเด็กชายยังนอนไม่ได้สติ แน่นอนว่าเขาต้องไปที่ห้องไอซียู!”
ในที่สุดหลินถงซูก็เข้าใจ
ขณะที่ทั้งโรงพยาบาลกำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย มีชายคนหนึ่งกำลังไล่เปิดม่านห้องพักผู้ป่วยไอซียูออกทีละเตียง แต่เปิดดูจนเตียงสุดท้ายกลับไม่พบคนที่เขาต้องการพบหน้า เขาจึงกลับหลังหันเตรียมตามไปตามหาต่อที่ห้องพักอื่น
จังหวะนั้นเอง เสียงปืนขึ้นไกดังมาจากทางด้านหลัง ชายคนนั้นยกมือขึ้นเหนือศีรษะโดยอัตโนมัติทันที
“กงเหวิน คุณถูกจับแล้ว!” หลินถงซูตะโกน มือข้างหนึ่งยกปืนขึ้นเล็ง ส่วนมืออีกข้างหยิบกุญแจมือออกมาและยื่นมันให้กับเฉินฉี
เฉินฉีรีบคว้ามันไว้แล้วพุ่งเข้าดันตัวกงเหวินไปชิดกับกำแพงด้วยท่าทางชำนาญ จากนั้นก็บิดแขนเขามาข้างหลังและใส่กุญแจมือทันที กงเหวินซึ่งสวมหมวกฮูดปิดบังใบหน้าถามด้วยความร้อนใจ “ลูกชายผมอยู่ไหน?”
“คุณยังจำได้อยู่เหรอว่าตัวเองมีลูกชาย?” เฉินฉีแค่นเสียงพร้อมแสยะยิ้มเย็นชา “เขาสบายดี ไม่ได้บาดเจ็บหนักอะไร พรุ่งนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”
“แต่ในหนังสือพิมพ์บอกว่า…” กงเหวินหันขวับมามองหน้าเฉินฉี ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจว่านี่เป็นกับดัก แต่สายไปแล้วที่จะเสียใจ จากทุกสิ่งที่เขาทำลงไปย่อมทำให้ต้องพบกับจุดจบนี้อย่างไม่ต้องสงสัย เสียงล็อกกุญแจมือดังแกร็กยิ่งตอกย้ำให้ความรู้สึกของเขาจมดิ่ง
“ขอผมเจอหน้าเขาสักครั้งเถอะนะ” กงเหวินขอร้อง “ถ้าผมได้พบเขาแล้ว จากนี้คุณจะลงโทษผมยังไงก็ได้ ผมยอมทุกอย่าง”
เฉินฉีตอกกลับ “คุณไปเจอเขาได้ แต่ไม่กลัวเหรอว่าถ้าเขาเจอหน้าคุณอีกครั้งจะทำให้อาการทางจิตของเขากำเริบขึ้นมาอีก? สภาพจิตใจของเขาเพิ่งฟื้นตัวได้นิดหน่อยเอง ไม่สงสารเขาบ้างหรือไง?”
ริมฝีปากกงเหวินสั่นระริก เขาทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ อย่างช้า ๆ ก่อนจะร้องไห้ออกมาเสียงดัง “ผมเป็นพ่อที่เลวจริง ๆ!”
การได้เห็นชายวัยกลางคนปล่อยโฮร้องไห้ไม่ต่างอะไรไปจากเด็กไม่รู้ประสา ทำให้หลินถงซูรู้สึกสงสารเขาขึ้นมาเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาทำลงไป ความสงสารเหล่านั้นก็จางหายไปจนหมด ในเมื่อเขาเลือกที่จะทำแบบนี้เอง ดังนั้นก็ต้องยอมรับผลจากการกระทำ!
“คุณไปวางเพลิงที่ไหน?” เฉินฉีถามเขา
กงเหวินพูดพร้อมกับสูดจมูก “ผมไม่ได้วางเพลิงอะไรเลย แค่เอาไฟแช็กไปลนใต้ที่ตรวจจับความร้อน ลูกชายผมเองก็อยู่ในโรงพยาบาลนี้นะ ผมจะกล้าวางเพลิงที่นี่ได้ยังไง?”
ที่แท้ก็เป็นแค่เหตุการณ์ฉุกเฉินหลอก ๆ หลินถงซูโทรแจ้งเจ้าหน้าที่อีกสองคน เมื่อพวกเขาได้ยินว่าผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมได้ทำการรับสารภาพเรียบร้อยแล้วต่างก็ตกตะลึง จากนั้นจึงวิ่งตามมาสมทบและควบคุมตัวกงเหวินขึ้นรถกลับไปยังสถานีทันที
หลินถงซูมองนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสาม เธอและเฉินฉีสามารถปิดคดีได้ทันตามเวลาที่กำหนดไว้
กงเหวินถูกนำตัวไปที่สถานีตำรวจ หลินชิวผูประหลาดใจมากเพราะทีมของเขายังทำการตามหาตัวกงเหวินไม่พบด้วยซ้ำ ทันใดนั้นเขาจึงสั่งให้ทุกคนหยุดปฏิบัติหน้าที่และประกาศว่าคดีถูกไขเรียบร้อยแล้ว เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วห้องประชุมพร้อมกับเสียงแสดงความชื่นชมยินดี มีเพียงสวีเสี่ยวตงที่ตีหน้าเศร้าอยู่คนเดียว
เมื่อเสียงอื้ออึงในห้องเงียบลงแล้ว หลินชิวผูจึงพูดต่อหน้าที่ประชุม “การที่เราสามารถไขคดีสังหารหมู่ครอบครัวได้ภายในสี่สิบแปดชั่วโมง ต้องขอบคุณคนคนหนึ่งที่ช่วยเหลือให้เราประสบความสำเร็จ และเขาก็คือ…”
ทุกคนต่างรอคอยด้วยความอยากรู้
หลินชิวผูกวาดสายตามองไปรอบห้อง “ไอหยา เขาไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกเหรอ?”
หลินถงซูตอบแทน “เขาบอกว่าหิวเลยแวะกินข้าวที่ร้านด้านนอกก่อนค่ะ”
“ไปเรียกเขามาให้หน่อยสิ!”
หลินถงซูเจอเฉินฉีอยู่ที่ร้านอาหารใกล้กับสถานีตำรวจและกำลังคีบเส้นบะหมี่เนื้อเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อได้ยินเธอบอกว่าผู้กองหลินต้องการให้เขารับความดีความชอบนี้ต่อหน้าคนในทีม เฉินฉีก็ย่นคิ้วทันที “อะไรนะ? เขาไม่ชอบขี้หน้าผมนี่ ทำไมตอนนี้มากลับคำซะอย่างนั้นล่ะ?”
“พี่ชายฉันไม่ได้ใจแคบแบบที่คุณคิดซะหน่อย ครั้งนี้เขาต้องการให้คุณได้รับคำชื่นชมจริง ๆ นะ”
“ผมไม่ไป เราตกลงกันแล้วนี่ว่าจะยกความดีความชอบทั้งหมดให้เป็นของคุณ ยิ่งไปกว่านั้นผมไม่ใช่ตำรวจ ผมเป็นแค่พลเมืองดีทั่วไป”
“เร็วเข้าเถอะน่า ทุกคนกำลังรอคุณอยู่นะ!”
“งั้นให้ผมกินบะหมี่หมดก่อนสิ!”
“เถ้าแก่ คิดเงินโต๊ะนี้ทีค่ะ!” หลินถงซูวางเงินลงบนโต๊ะดังโครม จากนั้นจึงฉุดกระชากลากเฉินฉีออกมา “เดี๋ยวฉันจะเลี้ยงอาหารดี ๆ ให้คุณทีหลังเอง!”
เฉินฉีถูกดันให้เดินเข้าไปในห้องประชุม หน้าตาของหลินชิวผูดูกระอักกระอ่วนชอบกล แต่เขากลับพูดด้วยเสียงดังฟังชัด “เหตุผลที่เราสามารถปิดคดีนี้ได้ ทั้งหมดต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากคุณเฉิน เขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีม ดังนั้นเราจึงไม่สามารถให้รางวัลอะไรแก่เขาได้ ดังนั้นผมเลยอยากให้ทุกคนตอบแทนเขาโดยการปรบมือ”
ทุกคนต่างปรบมือกันระนาวอย่างพร้อมเพรียง เฉินฉีที่ปกติใช้ชีวิตอยู่นอกสายตามาตลอดรู้สึกเขินเล็กน้อยเมื่อการได้รับการชมเชยแบบนี้
หลินชิวผูได้ทีจึงพูดกลั้วหัวเราะเพราะนึกอยากแกล้งเขา “คุณเฉิน ทำไมคุณไม่พูดอะไรสักหน่อยล่ะ?!”
“ไม่เป็นไร! ไม่เป็นไร ขอบคุณทุกคนมาก ขอบคุณจริง ๆ”
“มาเถอะน่า ประโยคสองประโยคก็ยังดี!”
“ไปเลย ไปสิ!” หลินถงซูผลักเขาจากด้านหลัง
หลินชิวผูรู้สึกเศร้าใจ ไม่อยากเชื่อเลยว่าสองพี่น้องจะเข้าขากันในเรื่องแบบนี้ เขาเดินขึ้นไปบนพื้นยกระดับหน้าห้องประชุม สายตาทุกคู่จับจ้องมาทางเขาอย่างรอคอยสิ่งที่เขากำลังจะพูด เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหยิบใบเสร็จสองสามแผ่นออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “ผมเข้าใจว่าผมอาจไม่ได้รางวัลอะไรเลย แต่ผมขอเปลี่ยนจากรางวัลเป็นขอเงินคืนจากใบเสร็จพวกนี้แทนได้ไหม? สิ่งที่ผมอยากพูดก็มีเท่านี้แหละ ขอบคุณมากนะทุกคน!”
พูดจบแล้วเฉินฉีก็โค้งคำนับอย่างสุภาพก่อนก้าวขาลงมาจากพื้นยกระดับ ท่ามกลางความพิศวงงงงวยของทุกคน
หลินชิวผูสำลักออกมาทันที “โอเค ถึงแม้คดีนี้จะปิดลงด้วยดี แต่เรายังมีงานอื่นอีกมากที่ต้องทำ ทุกคนกลับไปทำงานต่อได้!”
หลังจากคนในห้องประชุมแยกย้ายกันออกไป สวีเสี่ยวตงก็เดินมาหาเฉินฉีพร้อมหยิบตั๋วสองใบออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “พี่เฉิน ผมยอมรับความพ่ายแพ้ รู้ตัวแล้วว่าผมไม่เก่งเท่าพี่”
“ว้าว ไม่คิดเลยว่าคุณจะยอมรับตรง ๆ แบบนี้!” เฉินฉีหยิบตั๋วพวกนั้นมา “ตอนแรกคุณกะจะชวนหลินถงซูให้ไปดูคอนเสิร์ตเป็นเพื่อนใช่ไหมล่ะ?”
สวีเสี่ยวตงอึกอักขึ้นมาทันที และแล้วก็ยอมรับแบบเขิน ๆ “ผมยกตั๋วทั้งหมดให้พี่ไปแล้ว ทำไงได้ล่ะ?”
เฉินฉีคว้ามือสวีเสี่ยวตงแล้วยัดตั๋วสองใบนั้นใส่มือเขา “ผมแค่ล้อเล่นน่ะ! คิดจริง ๆ เหรอว่าผมจะช่วงชิงของแบบนี้มาจากคุณ? เพราะงั้นถ้าคุณชอบเธอ ก็รวบรวมความกล้าแล้วไปชวนเธอซะสิ!”
สวีเสี่ยวตงเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจและมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา ‘คำพูดแบบนี้ออกมาจากปากศัตรูหัวใจได้ยังไงกัน?! หรือเราคิดไปเองมาตลอด? พี่เฉินไม่ได้ตามจีบถงซูงั้นเหรอ?’
“พี่เฉินไม่อยากได้จริงเหรอ?”
“ไม่ล่ะ คนที่เกิดในยุค 90 แบบผมชอบฟังเพลงของโจวเจี๋ยหลุน* มากกว่า อย่าลืมสิว่าเจนของผมมันคนละเจนกับจางเสวโหย่วนะ ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร” เฉินฉียิ้มแล้วหันหลังเดินจากไป จุดหมายครั้งนี้คือห้องสืบสวน เขาไม่อยากพลาดการสอบปากคำจากผู้ต้องหา
* โจวเจี๋ยหลุน = หรือ Jay Chou นักร้องชื่อดังมากพรสวรรค์ ได้รับฉายาว่าเจ้าพ่อแห่งวงการเพลง เขาเก่งหลากหลายด้านทั้งด้านนักร้อง นักแสดง นักแต่งเพลง ผู้กำกับ นักเขียนบท โปรดิวเซอร์ และนักธุรกิจชาวไต้หวัน
สวีเสี่ยวตงมองตามหลังเฉินฉีและอดถามไม่ได้ “คุณเป็นเด็กยุค 90 จริงเหรอ?”
“ประมาณ 1890 มั้ง ถ้าผมจำไม่ผิด” เฉินฉีหันกลับไปตอบอย่างติดตลก
สวีเสี่ยวตงก้มมองตั๋วคอนเสิร์ตในมือ พอได้มันกลับคืนมาหลังจากที่เกือบทำหลุดมือไปครั้งหนึ่ง เขายิ่งมองมันเป็นสิ่งล้ำค่ามากกว่าเดิม ในใจเกิดความมุ่งมั่นว่าจะต้องมอบเป็นของขวัญให้กับหลินถงซูภายในวันนี้ให้ได้!