309 - ไม่เคยเห็นคนหน้าหนาขนาดนี้มาก่อน
309 - ไม่เคยเห็นคนหน้าหนาขนาดนี้มาก่อน
“ศากยมุนี ......”
บุตรศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วงมีสีหน้าจริงจังดวงตาของเขาเปล่งประกายวิบวับ เช่นเดียวกับเขาองค์ชายเซี่ยและยอดฝีมือรุ่นอาวุโสคนอื่นล้วนมีใบหน้าที่เปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย
“เดิมทีข้าขอคำแนะนำจากเจ้า แต่เจ้ากลับมาถามข้าแทน สหายช่างมีความหมายจริงๆ” บุตรศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วงยิ้มอย่างอบอุ่นแล้วส่ายหัว
“ข้าได้ยินเพียงเรื่องจากคำบอกเล่า ข้าไม่รู้ความจริง ข้าหวังว่าสหายผู้มีความรู้จะชี้แจงในเรื่องที่ข้าสงสัย” แขนเสื้อของเย่ฟ่านโบกสะบัดอย่างเป็นจังหวะ
“เด็กคนนี้ เขาคิดว่าเขาเป็นนักพรตเต๋าจริงๆ? ท่าทางของเขาดูกลมกลืนอย่างยิ่ง” หลิวคุนพึมพำอย่างลับๆ
“ทั้งหมดเป็นเพราะแม่ชีคนนั้นงดงามมากเกินไป” หลี่เหอสุ่ยสรุป
"เสแสร้งเกินไปแล้ว!" เจียงฮั่วเหรินแค่นเสียงอย่างเย็นชา
ดวงตาของบุตรศักสิทธิ์แสงโชติช่วงลึกราวกับสามารถข้ามฟากฟ้าแห่งประวัติศาสตร์และมองเข้าไปในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้และกล่าวว่า
“บุคคลผู้นี้ไม่ธรรมดาและทรงพลังอย่างยิ่ง ทรงพลังจนน่าเหลือเชื่อว่ากันว่าเขาอาจจะเป็นผู้อมตะคนหนึ่ง เหตุการณ์ทุกอย่างมันเริ่มขึ้นเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้ว แม้ว่าคนอื่นจะบอกว่าเป็นตำนานแต่ข้ารู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง”
เย่ฟ่านยิ้มสดใสราวกับดวงอาทิตย์ยามอัสดงและพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ในความเป็นจริงจิตใจของเขาหวั่นไหวเป็นอย่างมาก
กว่าสองพันปีที่แล้วศากยมุนีทำอะไร มีร่องรอยอะไรหลงเหลืออยู่ในโลกนี้ ทุกวันนี้ยังมีอยู่ไหม?
ทั้งหมดนี้เป็นปริศนา เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่รู้ ดังนั้นเขาจึงต้องการเข้าใจเรื่องนี้อย่างสุดซึ้ง
นี่สำคัญเกินไปสำหรับเขา อีกฟากหนึ่งของท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวมีประตูมิติที่คนโบราณทิ้งไว้ มันเป็นประตูที่สามารถใช้เดินทางข้ามจักรวาลมาถึงที่นี่ ใครเป็นคนสร้างประตูนั้น?
เขามีคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบมากเกินไป มังกรเก้าตัวดึงโลงศพไปที่นั่นโดยบังเอิญหรือว่าแท้ที่จริงแล้วมันตามร่องรอยของบางสิ่งบางอย่างไป?
“ศากยมุนีน่าจะมาที่โลกนี้จริงๆ แต่ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วพระองค์อยู่ที่ไหน”
เย่ฟ่านคิดในใจและมองเห็นองค์ชายต้าเซี่ยที่มีใบหน้าเย็นชาและเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
ทำไมเขาเป็นแบบนี้ต้องมีวาระซ่อนเร้นอย่างแน่นอน ศากยมุนี เหตุไฉนคำนี้จึงเป็นคำต้องห้าม!
รอยยิ้มที่สงบปรากฏขึ้นบนใบหน้าของบุตรศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วง เขาหันไปทางองค์ชายตาเซี่ยและกล่าวว่า
"องค์ชายข้าคิดว่าเจ้ามีความรู้เกี่ยวกับศากยมุนีมากที่สุดในบรรดาคนทั้งหมด ข้าสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้ว ทำไมทุกสิ่งเกี่ยวกับชายคนนี้ถึงหายไปในอากาศราวกับว่าเขาไม่เคยปรากฏตัวในโลกนี้”
“ไม่รู้ ศาสนาพุทธสอนให้พวกเราถามตัวเอง ถ้าเจ้าต้องการเข้าใจอะไรเจ้าก็ถามตัวเองดีกว่า” องค์ชายต้าเซี่ยดูเฉยเมยและไม่พูดอะไรอีก
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาเหยาซีก็ครุ่นคิดตาม คำว่า ศากยมุนี นางไม่เคยได้ยินมาก่อน เห็นได้ชัดว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วงมีความรู้มากกว่านางมาก
อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแล้วบุตรศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วงก็จะต้องขึ้นเป็นประมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ในสักวันหนึ่ง
เย่ฟ่านสงบลงอย่างสมบูรณ์ ต่อให้เขาต้องการทราบความลับนี้มากแค่ไหน แต่เห็นได้ชัดว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วงจะไม่ยินยอมบอกเล่าออกมาอย่างแน่นอน
สำหรับองค์ชายต้าเซี่ยยิ่งมีท่าทีกีดกันผู้คนให้ห่างไกล การจะได้รับคำตอบที่แท้จริงจากเขานั้นยากยิ่งกว่าให้ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก
เขารู้สึกว่าในอนาคตเขาจำเป็นต้องเดินทางสู่ทะเลทรายตะวันตกเพื่อค้นหายอดเขาพระสุเมรุด้วยตัวเอง
เย่ฟ่านหันไปมองที่แม่ชีตัวน้อย นางสวมชุดสีขาวมีหน้าตาสดใสบริสุทธิ์ ดวงตากลมโตของนางกวาดมองไปรอบๆมีลักษณะขี้อายมาก
เมื่อเห็นว่าเขากำลังจ้องมองอยู่ นางก็รีบซ่อนตัวด้านหลังองค์ชายต้าเซี่ยทันที
องค์ชายต้าเซี่ยขมวดคิ้วฝ่ายตรงข้ามแสดงออกอย่างชัดเจนว่าสนใจในตัวน้องสาวของเขา ในฐานะพี่ชายเขาย่อมรู้สึกไม่พอใจในเรื่องนี้
“พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องสิทธัตถะหรือไม่” ตู้เฟยถามคนอื่นอย่างจริงจัง
“ไม่เคยได้ยินมาก่อน หากไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องในวันนี้ขึ้นข้าวก็ไม่เคยรู้เหมือนกันว่ามีคนคนนี้อยู่ในโลก” หลี่เหอซุ่ยส่ายหัว
“ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับชื่อของเขามาก่อน แต่ข้าไม่รู้รายละเอียดเลย” อู๋จงเทียนขมวดคิ้วและกล่าวว่า
"ปู่ของข้าพูดถึงเรื่องนี้ เขาบอกว่าคนผู้นี้ทรงพลังจนน่าเหลือเชื่อสามารถควบคุมพระพุทธรูปโบราณได้"
“ถ้ารู้แค่นี้ก็อย่าพูดออกมา?” เจียงฮั่วเหรินส่ายหัว
ทันใดนั้นเย่ฟ่านก็เดินไปข้างหน้าอย่างแผ่วเบาและมีลักษณะเหมือนนักพรตเซียน เขาเดินเข้าหาเหยาซีและกล่าวว่า
“แม่นางเหมือนบัวเซียนที่โผล่ขึ้นจากน้ำ สดใสและน่าทึ่ง ชัดเจนด้วยกระดูกอมตะและร่างกายของเต๋าโดยธรรมชาติ”
บุตรศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วงยิ้มเบาๆกับคำพูดของเขาและพูดเหยาซีว่า
"นักพรตยกย่องเกินไปแล้ว มีบางอย่างผิดปกติหรือไม่?"
“ข้าสามารถพูดได้อย่างนั้นหรือ?” เย่ฟ่านเคร่งขรึมอย่างหาที่เปรียบมิได้และกล่าวว่า
“ข้าสัมผัสได้ถึงรัศมีของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณที่ถูกผนึกอยู่ในตัวของเซียนหญิงท่านนี้”
หัวใจของเหยาซีสะท้านหวั่นไหว นางมีวังจันทราอยู่ในร่างกาย นี่เป็นสมบัติของจักรพรรดิโบราณไม่มีใครรู้เรื่องนี้ อย่าบอกนะว่านักพรตน้อยนี่สัมผัสได้ถึงมันจริงๆ แต่นางยังดูสงบและกล่าวว่า
“ท่านนักพรตล้อเล่นเก่งจริงๆ ข้าสงสัยว่าเจ้ามาจากสำนักไหน?”
“นักพรตผู้น่าสงสารไม่มีต้นสังกัดเป็นเหมือนเมฆว่างเปล่าที่ล่องลอยไปตามสายลม ในครั้งนี้ข้าออกตามหาศิษย์หลานคนหนึ่งไม่ทราบว่าสหายทุกท่านเคยพบเขาหรือไม่” เย่ฟ่านยังคงแสดงตัวเป็นนักพรตเซียนอย่างจริงจัง
“ข้าสงสัยว่าใครเป็นหลานชายของเจ้า ข้าอาจเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง” เหยาซีไม่เชื่อถือเย่ฟ่านแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าคนๆนี้มีเจตนาแอบแฝง
เย่ฟ่านต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับตัวตนของนักพรตไร้ยางอายต้วนเต๋อจากทายาทดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ดังนั้นเขาจึงกล่าวออกไปว่า
"ชื่อของเขาคือต้วนเต๋อและนามเต๋าของเขานั้นคืออู๋เหลียง"
“นักพรตอู๋เหลียงเป็นหลานชายของเจ้าหรือ” เหยาซีมีสีหน้าตกใจ
“โดยปกติแล้วอู๋เหลียงมักจะทำผิดกฎของสำนักอยู่เสมอ ในครั้งนี้อาจารย์ของเขาสั่งให้ข้าออกมาตามหาและพาเขากลับสำนัก”
“ข้าขอถามหน่อยได้ไหมว่าท่านนักพรตอายุเท่าไหร่?” เหยาซีถามด้วยสีหน้าไม่เชื่อ
“นักพรตผู้น่าสงสารเป็นผู้บ่มเพาะมากว่าสามร้อยปี และเมื่อคิดดูแล้วข้ารู้สึกเหมือนตัวเองใช้เวลาสามร้อยสิบแปดปีไปโดยเปล่าประโยชน์จริงๆ”
......
"ถุย!"
หลี่เหอสุ่ยถ่มน้ำลายลงพื้นและสบถเสียงต่ำ
"เด็กคนนี้เป็นสัตว์ร้ายจริงๆ!"
“ข้าเคยเห็นคนหน้าหนามามาก แต่ไม่เคยเห็นคนหน้าหนาขนาดนี้มาก่อน ให้ตายสิเจ้าขโมยชุดชั้นในของหญิงสาวไปแล้ว แต่ในตอนนี้ยังแกล้งทำเป็นผู้อาวุโสของนาง” ตู้เฟยสาปแช่งอย่างดุเดือด
“เจ้าคิดว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วงจะกระอักเลือดออกมาไหมหากพวกเราเปิดเผยตัวตนของเจ้าเด็กนั่น” เจียงฮั่วเหรินหัวเราะ
อู๋จงเทียนขมวดคิ้วและพูดปรามว่า
"อย่าไร้สาระอย่างเด็ดขาด เด็กน้อยนี่มีเจตนาแอบแฝงพวกเราไม่อาจทำให้พี่น้องเสียการใหญ่ได้ บางทีเจตนาของเขาอาจทำให้พวกเราได้รับประโยชน์เช่นกัน!"
“หากไม่ใช่ว่าพวกเรามีศีลธรรมอยู่ในจิตใจป่านนี้เด็กน้อยนั่นคงถูกทุบตีอย่างแสนสาหัสไปแล้ว” หลิวคุนไม่พอใจและกระซิบ "ช่างเป็นสัตว์ร้ายโดยแท้จริง!"
ไม่ไกลกันนักบุตรศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วงและองค์ชายต้าเซี่ยกำลังยืนอยู่ด้านหน้าของก้อนหินเก้าก้อนและพิจารณาอย่างจริงจัง พวกเขาเลิกให้ความสนใจต่อเย่ฟ่านไปแล้ว
เมื่อมองเห็นลักษณะท่าทางของพวกเขา อู๋จงเทียนก็ขมวดคิ้วและพูดว่า
"ข้ารู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นเตาหลอมสวรรค์และปฐพี พลังโลหิตของเขาอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง ข้าเกรงว่าในบรรดาคนรุ่นเดียวกันจะไม่มีใครสามารถต่อสู้กับเขาได้"
หลี่เหอสุ่ยและคนอื่นๆหน้าซีดกับคำพูดของเขา พวกเขาเชิญอู๋จงเทียนมาที่นี่เพื่อชำระล้างความอัปยศกับบุตรศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วงแต่การประเมินดังกล่าวทำให้พวกเขารู้สึกหมดแรง