บทที่ 497 คำขอของเสี่ยวอิง(ตอนฟรี)
บทที่ 497 คำขอของเสี่ยวอิง
ตอนนี้เซียวซูเหม่ยกล้าที่จะโกรธสามีของเธออย่างเต็มที่ แต่เธอไม่กล้าที่จะแสดงความโกรธกับลูกชายของเธออย่างจริงจัง เธอรู้จักนิสัยลูกชายของเธอดีกว่าใคร เพราะถ้าเธอโกรธขึ้นมาจริงๆ จี้เฟิงจะช่วยเหลือเธออย่างแน่นอน ไม่ว่าเขาจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม เขาจะลงมือทำอย่างแน่นอน!
อย่างไรก็ตาม ผลที่ตามมาอาจจะทำให้ลูกชายของเธอรู้สึกหดหู่และกลายเป็นบาดแผลในใจจนไม่สามารถรักษาให้หายได้ไปตลอดชีวิต!
ถ้าเธอยืนกรานที่จะให้เขาทำ ลูกชายของเธอจะไม่คัดค้านอย่างแน่นอน แต่นี่ไม่ใช่วิธีการที่เซียวซูเหม่ยจะทำ
ถ้าพูดกันตรงๆ แม้จะฟังดูโหดร้าย แต่ถ้าเธอต้องเลือกระหว่างพ่อกับลูกชาย เธอยอมเลือก... เซียวซูเหม่ยส่ายหน้าเล็กน้อย สถานการณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่เธอกลัวที่สุด ไม่ว่าเธอจะเลือกใคร เธอก็จะต้องเสียใจอย่างที่สุด
อย่างไรก็ตาม ลูกชายของเธอยังเด็กมาก และชีวิตก็เพิ่งเริ่มต้น หากเวลานี้เธอทำให้เขามีบาดแผลที่รักษาไม่หาย เขาอาจจะเจ็บปวดและเสียใจไปตลอดชีวิต แม้เซียวซูเหม่ยจะตาย เธอก็ไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นโดยเด็ดขาด
ดังนั้นเธอจึงได้แต่พูดกับลูกชายของเธอดีๆ และพยายามเกลี้ยกล่อมเขาให้ไปที่เขตหมางซือ สุดท้ายแล้วความจริงก็เป็นสิ่งไม่ตาย เซียวซูเหม่ยรู้ดีว่าลูกชายของเธอก็เป็นคนใจอ่อนเช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้นเขาคงทนไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางอ่อนแอใกล้ตายของผู้เป็นตา
แต่ลูกชายของเธอได้จับประเด็นสำคัญของปัญหาและทำให้แผนของเธอล้มเหลวในพริบตา
เซียวซูเหม่ยที่รู้สึกกลุ้มใจจึงตัดสินใจโทรปรึกษาสามีของเธอ แต่ผู้ชายคนนั้นไม่เพียงแต่พยายามปกป้องลูกชายของเขา แต่ยังเตือนเธออย่างอ้อมค้อมว่าอย่าบีบบังคับลูกชายมากเกินไป... พูดอย่างกับว่าจี้เฟิงเป็นลูกชายของเขาคนเดียวอย่างนั้นแหละ ฉันต่างหากที่เป็นคนคลอดเขาออกมา!
ที่จริงเซียวซูเหม่ยเองก็รู้ดีว่าสามีของเธอไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีต่อพ่อตาของเขานัก จริงๆแล้วเรื่องต่างๆที่ผ่านมา มันทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจน และแน่นอนว่าเขารู้ดีว่าตัวเองทำให้ลูกชายต้องทนทุกข์ทรมานมามาก แต่นอกจากตัวเขาแล้วพ่อตาของเขาก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน!
หากก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ทำอะไรผิด เซียวซูเหม่ยคงไม่ออกจากหยานจิงไป แต่ถ้าหากพ่อตารู้จักให้อภัยและมีความเมตตาแม้เพียงเล็กน้อย เขาก็จะสามารถตามหาเซียวซูเหม่ยและลูกชายของเขาได้เร็วกว่านี้ และคงไม่ทำให้พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานมานานขนาดนี้...
คนเราต่างมีความเห็นแก่ตัว และความบาดหมางที่ซับซ้อนนี้ ต่อให้จี้เจิ้นหัวเป็นผู้นำก็ยังคงมองไม่ออก
แน่นอนว่าเซียวซูเหม่ยไม่สามารถตำหนิสามีได้ เขารู้สึกผิดและตำหนิตัวเองเสมอๆมา แต่ในขณะเดียวกันเขาก็คิดที่จะระบายความโกรธแทนลูกชาย นี่เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ใครๆก็เข้าใจ
แต่พอเป็นแบบนี้เซียวซูเหม่ยจึงยิ่งกลุ้มใจกับเรื่องนี้มาก จนกระทั่งตอนกินข้าวเย็น เธอก็ยังคงปวดหัวอยู่ คิดไม่ตกว่าจะโน้มน้าวลูกชายอย่างไรดี
“คุณป้าคะ อาหารที่พวกเราทำรสชาติไม่ดีใช่มั้ยคะ?” เซียวหยูซวนถามยิ้มๆ เมื่อเห็นเซียวซูเหม่ยจับตะเกียบเขี่ยไปมาด้วยท่าทีเหม่อลอย เซียวหยูซวนรู้สึกสนิทใจกับเซียวซูเหม่ยมาก เธอจึงกล้าถามเชิงหยอกล้อ
เซียวซูเหม่ยรีบยิ้มทันที “ไม่ใช่อยู่แล้ว! สมัยนี้ผู้หญิงสวยๆอย่างพวกหนู แถมยังทำอาหารได้อร่อยขนาดนี้หาได้ยากลงทุกที!”
จี้หยินหงที่อยู่ข้างๆก็อดหัวเราะไม่ได้ “คำพูดนี้จริงที่สุด เด็กสาวสมัยนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าทำอร่อยหรือเปล่า แต่เข้าครัวบ้างหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ไม่เหมือนตอนสมัยพวกเราสาวๆ ทำอาหารไม่เป็นก็อายที่จะพูด ถ้าคนอื่นรู้เข้าก็เป็นเรื่องที่น่าขายหน้ามาก!”
จี้เฟิงพอจะนึกภาพออก สาวสวยทำอาหารไม่เป็น ส่วนผู้หญิงที่ทำอาหารเป็นมักจะไม่สวย นี่แทบจะกลายเป็นกฎไปแล้ว
ในความเห็นของหญิงสาวยุคใหม่ การทำอาหารไม่เป็นดูเหมือนจะกลายเป็นภาพลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ดีและร่ำรวย เพราะไม่จำเป็นต้องทำเอง ส่วนผู้หญิงที่ทำอาหารได้กลับถูกมองว่าเป็นแม่บ้าน นี่เป็นมุมมองที่ทำให้ผู้คนรู้สึกพูดไม่ออกจริงๆ
“ความงามของผู้หญิง เป็นแค่ปัจจัยภายนอกอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่หลายคนมองว่าเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดเอาไว้อวด...” จี้เฟิงหัวเราะและพูด “แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้หญิงที่มีทัศนคติแบบนี้ไม่ได้มีความสวยงามจากภายในเลย”
“ดูผู้หญิงมาเยอะเลยสินะ!” เซียวหยูซวนกลอกตาใส่เขาอย่างช่วยไม่ได้ ทำให้คนอื่นๆหัวเราะออกมาทันที
เซียวซูเหม่ยเพียงยิ้มน้อยๆ ในใจของเธอมีเรื่องให้คิดมาก จึงทำให้เป็นเรื่องยากที่จะหัวเราะออกมาได้อย่างมีความสุขจริงๆ
เมื่อถูกแซวกลางวงอาหารอย่างนี้ จี้เฟิงก็อดเกาหัวไม่ได้ แต่เซียวซูเหม่ยกลับถลึงตาใส่เขาและพูดว่า “ไปเรียนรู้นิสัยแย่ๆแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่?! ทุกคนกำลังกินข้าวกันอยู่ มาเกาหัวอะไรตอนนี้ มันไม่สะอาด!”
“ฮี่ฮี่ ครั้งหน้าจะไม่ทำอีกแล้วคร้าบ!” จี้เฟิงหัวเราะคิกคักและกำลังจะเกาหัวอีกครั้ง แต่เซียวหยูซวนก็เหลือบมองเขาด้วยเช่นกัน เขาจึงชะงักไปและหัวเราะออกมาทันที “ไม่รู้ว่าติดเกาหัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่ มันไม่ดีจริงๆ!”
“ใช่แล้ว! มันดูเสียบุคลิกไปเลย!” เซียวหยูซวนกล่าว
“คุณป้ากับพี่หยูซวนพูดถูก นิสัยไม่ดีจริงๆ!” ถงเล่ยพูดสนับสนุนด้วยน้ำเสียงที่คมชัด
ถ้าจี้เฟิงไม่เกาหัว เวลาเขายืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน เขาจะมีกลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนไม่กล้าดูแคลน แต่ถ้าหากเขาเกาหัว มันจะทำให้เขาดูซื่อๆ และสูญเสียบุคลิกของความสุขุมไปเลยทีเดียว ซึ่งดูไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดาทั่วไป
ทุกคนต่างชอบให้แฟนหนุ่มของตัวเองโดดเด่นแม้ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน อยากให้เขาดูเปล่งประกายราวกับนกกระเรียนท่ามกลางนกกระจอก แน่นอนว่าถงเล่ยและเซียวหยูซวนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เซียวซูเหม่ยกับจี้หยินหงหันมามองหน้ากันเมื่อเห็นหญิงสาวสองคนนี้เข้ากันได้ดี ส่วนเสี่ยวอิงและบอดี้การ์ดหญิงอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็แอบตกตะลึงอย่างเงียบๆ ผู้หญิงสองคนนี้คิดอะไรอยู่? พวกเธอไม่รู้หรือว่าการมีอยู่ของอีกฝ่ายมันเป็นเหมือนหนามยอกอกของพวกเธอ?
คุณชายตระกูลใหญ่บางคนจัดการเรื่องความรักส่วนตัวได้อย่างยุ่งเหยิง บางคนอาจกล่าวได้ว่าก่อปัญหาเป็นอย่างเดียวแต่ไม่คิดจะแก้ไขปัญหาเลย ปล่อยให้ผู้หญิงทะเลาะตบตีแย่งชิงกันเอง เรื่องเหล่านี้เสี่ยวอิงและบอดี้การ์ดหญิงอีกคนเคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่ว่าจะทำตัวเหลวไหลแค่ไหนก็ไม่มีใครกล้าเอาพวกเธอมาร่วมโต๊ะอาหารพร้อมกัน
แต่จี้เฟิงกลับต่างออกไป นอกจากเขาจะให้พวกเธออยู่ร่วมกันแล้ว เขายังพาแฟนสาวทั้งสองคนของเขาไปรับแม่ตัวเองที่สนามบินอย่างเปิดเผยต่อด้วยการพาพวกเธอไปบ้านของญาติผู้ใหญ่อย่างโจ่งแจ้ง นี่มัน...
บอดี้การ์ดสาวสองคนไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรดีถึงจะเหมาะสมกับจี้เฟิง อย่างไรก็เสียพวกเธอก็ไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่ได้มาเห็นด้วยตาของตัวเอง
“คุณป้าคะ ลองชิมรากบัวชิ้นนี้ดูหน่อยสิคะ..” ถงเล่ยพูดอย่างร่าเริงและคีบอาหารวางลงบนชามของเซียวซูเหม่ย
เซียวซูเหม่ยฉีกยิ้มกว้าง เธอพยักหน้าอย่างมีความสุข ถงเล่ยงดงามไร้ที่ติ แม้แต่คำพูดและน้ำเสียงก็ยังทำให้คนฟังรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก เซียวซูเหม่ยรู้สึกรักและเอ็นดูเธอมาก และรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ในอนาคตจะได้เด็กสาวคนนี้มาเป็นลูกสะใภ้
แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น ผู้หญิงสองคนนี้ ทั้งสวยทั้งเก่ง ได้รับการอบรมกิริยามารยาทมาเป็นอย่างดี ทำไมถึงตามจี้เฟิงมาได้ล่ะ!
สุดท้ายแล้วไม่ว่าจี้เฟิงจะเลือกคนไหน ก็จะต้องทำร้ายอีกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เซียวซูเหม่ยอยากเห็น แต่นี่ก็เป็นปัญหาและความรู้สึกของเด็กๆ เธอไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านี้ เธอจึงได้แต่แอบส่ายหน้าอยู่ในใจ
จี้หยินหงที่อยู่ข้างๆมองแล้วก็รู้สึกอิจฉามาก เซียวซูเหม่ยไม่เพียงแต่มีลูกชายที่เก่งมาก แต่เธอยังได้ลูกสะใภ้ที่ดี คนหนึ่งเรียบร้อย จิตใจดี ดูฉลาดเหมาะที่จะเป็นแม่บ้านที่ดี อีกคนก็พูดจาฉะฉาน กล้าพูดกล้าทำ ดูหัวไว นอกจากนั้นพวกเธอทั้งสองยังหน้าตาสวยมากอีกด้วย ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้!
เมื่อนึกถึงตอนที่เซียวซูเหม่ย พี่สะใภ้ของเธอยังเร่ร่อนอยู่ข้างนอก จี้หยินหงก็ยิ่งรู้สึกนับถือเธออย่างที่สุด การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งด้วยตัวคนเดียวโดยที่ไม่มีอะไรเลย แถมยังเลี้ยงจนโตมาได้เป็นคนที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ พี่สะใภ้ช่างสุดยอดจริงๆ!
เซียวซูเหม่ยไม่ได้รู้ถึงความอิจฉาและความนับถือในใจของจี้หยินหง เธอกินอาหารที่ถงเล่ยคีบให้เธออย่างช้าๆ แต่ในใจกลับคิดถึงอาการป่วยของพ่อ จึงอดเป็นห่วงไม่ได้
ความจริงแล้วเซียวซูเหม่ยก็ไม่ค่อยเข้าใจรายละเอียดเกี่ยวกับอาการป่วยของพ่อเธอเท่าไหร่นัก เธอได้ยินต่อมาจากสามีของเธออีกที เพราะความสัมพันธ์สองพวกเขา ถงไค่เต๋อที่อยู่หมางซือก็คอยติดตามข่าวคราวของตระกูลเซียวอยู่ตลอดเวลา
ผู้เฒ่าเซียวเป็นมะเร็งปอด ถงไค่เต๋อรับทราบข่าวนี้มาจึงได้โทรมาบอกจี้เจิ้นหัว
แต่จากข้อมูลที่ถงไค่เต๋อได้รับ พ่อของเซียวซูเหม่ยรู้ตัวช้าเกินไป จึงทำให้โรคมะเร็งปอดอยู่ในขั้นกลางหรือปลายแล้ว สถานการณ์ค่อนข้างไม่ดี จากคำวินิจฉัยของหมอ การที่เขาจะอยู่ได้เกินหนึ่งปีก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว
พอคิดถึงเรื่องนี้ เซียวซูเหม่ยก็กังวลใจมาก พ่อของเธออายุมากแล้ว ร่างกายก็แย่ลงเรื่อยๆ ซ้ำร้ายยังมาเป็นโรคร้ายอีก และเธอก็ไม่รู้ว่าตอนนี้จิตใจแม่ของเธอจะทนรับผลกระทบนี้ได้แค่ไหน...
แน่นอนว่าจี้เฟิงก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของแม่ แต่เขาไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ก้มหน้าลงและกินอาหารอย่างตั้งใจ เซียวหยูซวนและถงเล่ยคีบอาหารให้เขาเป็นครั้งคราว ทั้งสามคนสนิทสนมกันมาก ดังนั้นสองสาวรู้สึกถึงความผิดแผกแปลกไปของจี้เฟิงได้ แต่พวกเธอไม่รู้ถึงเหตุผล จึงทำได้เพียงแค่เอาใจช่วยเขาอย่างเงียบๆ
และสิ่งนี้ก็ทำให้จี้เฟิงรู้สึกสบายใจขึ้นมาก
เซียวซูเหม่ยเห็นฉากอันแสนหวานระหว่างจี้เฟิงกับหญิงสาวทั้งสอง หัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นมาทันที ถ้าเซียวหยูซวนและถงเล่ยช่วยเกลี้ยกล่อมลูกชายของเธอ.. ใครจะรู้? อาจจะมีได้ผลดีกว่าการที่เธอเป็นคนเกลี้ยกล่อมเองก็ได้!
โดยทั่วไปแล้วนอนคุยมักจะได้ผลดีกว่านั่งคุยอยู่แล้ว สำหรับจี้เฟิงก็ไม่น่าจะมีข้อยกเว้น เซียวซูเหม่ยจึงอดคาดหวังไม่ได้
หลังจากกินข้าวเสร็จ เซียวซูเหม่ยและคนอื่นๆ ที่เพิ่งจะเก็บจานชามและตะเกียบเสร็จ เธอก็ไล่จี้เฟิงขึ้นไปข้างบน ส่วนพวกเธอก็กำลังจะดูทีวีในห้องรับแขก
จี้เฟิงเลิกคิ้ว ทำไมเขาถึงได้กลายเป็นเหมือนคนนอกเฉยเลยล่ะ?
ในเมื่อไม่มีอะไรทำ จี้เฟิงจึงเดินไปที่ห้องหนังสือที่ชั้นบน เขาเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดและตรวจสอบระบบรักษาความปลอดภัยรอบๆวิลล่า หลังจากพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติเขาก็เอนหลังบนเก้าอี้และจุดบุหรี่ขึ้นมามวนหนึ่งแล้วสูบมันอย่างเงียบๆ
ในความเป็นจริงหัวใจของจี้เฟิงไม่ได้สงบเหมือนอย่างที่เขาแสดงออกมา แต่ต่อหน้าแม่ของเขา เขาไม่สามารถแสดงความโกรธออกมาได้
“แอ๊ดดดด—!
เสียงแง้มเปิดของประตูห้องดังขึ้น จี้เฟิงค่อยๆหันไปมองและพบว่ามีร่างน่ารักๆร่างหนึ่งกำลังเดินเข้ามา
“เสี่ยวอิง?!”
จี้เฟิงอดประหลาดใจไม่ได้ “มีอะไรเหรอ?”
เสียวอิงดูขัดเขินเล็กน้อย ใบหน้างดงามแดงระเรื่อ เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม “หัวหน้า... เอ่อ นายน้อยจี้...”
ก่อนที่เธอจะพูดจบ เธอก็ถูกขัดจังหวะโดยจี้เฟิง เขายิ้มและพูดว่า “อย่าเชียว! ไม่ว่าจะหัวหน้าเล็กหรือนายน้อย หรือคุณชาย อย่าเรียกแบบนั้น ฉันขนลุกไปทั้งตัวแน่ ก่อนหน้านี้เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ? เรียกชื่อฉันตรงๆได้เลย อ่ะ บอกมาได้แล้ว เธอต้องการอะไรกันแน่?”
“ฉันอยากจะถามนายว่า ฉันจะขอเรียนกับนายได้หรือเปล่า?!” เสี่ยวอิงโพล่งออกมาด้วยความขัดเขิน
...จบบทที่ 497~❤️