บทที่ 32 คนจะมายังไงก็ต้องมา
บทที่ 32 คนจะมายังไงก็ต้องมา
หลินชิวผูมาถึงสถานีตำรวจแต่เช้าและตรงไปยังแผนกนิติเวชเพื่อขอรายงานการทดสอบ เผิงซื่อจวี๋ทำงานอยู่ในห้องทั้งวันทั้งคืนเช่นเคย กลิ่นหอมกรุ่นโชยออกมาจากเครื่องชงกาแฟ เผิงซื่อจวี๋จดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์พลางพูดโดยที่ไม่หันมามอง “ผลการทดสอบวางอยู่บนโต๊ะ”
โดยปกติแล้วหลินชิวผูชอบดื่มชามากกว่ากาแฟ แต่ตลอดสองวันที่ผ่านมาแล้วเขารู้สึกเหนื่อยล้าไม่น้อยจากการพยายามไขคดี พอได้กลิ่นกาแฟลอยเข้ามาแตะจมูกก็อดใจรินให้ตัวเองไม่ได้ ซึ่งเผิงซื่อจวี๋ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร ลำพังตัวเขาไม่ต้องการเสแสร้งทำเป็นสุภาพกับใคร และคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องสุภาพกับเขา
กาแฟรสขมปี๋ไหลผ่านลำคอลงไปสู่กระเพาะอาหาร หลินชิวผูรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที “ขอบใจมากนะหัวหน้าเผิง ถ้าคุณไม่คิดทดสอบไขมันในเลือด เราคงไม่มีทางรู้แน่ว่าฆาตกรตัวจริงเป็นใคร โอ้ ใช่สิ ทำไมจู่ ๆ คุณก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ล่ะ?”
“ผมไม่ได้เป็นคนคิดเรื่องนี้ เฉินฉีต่างหากที่เป็นคนบอกผม”
“เฉินฉี? เฉินฉีไหน?” หลินชิวผูช็อกกับคำตอบของอีกฝ่ายจนเกือบทำถ้วยกาแฟร่วงจากมือ
“คุณรู้จักคนชื่อเฉินฉีหลายคนเหรอ? ก็คนขับรถที่คุณไม่ชอบขี้หน้านั่นไง!”
“เป็นเขางั้นเหรอ?!” หลินชิวผูตกใจจนวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะ ในใจของเขารู้สึกสับสน ไอ้หมอนี่เป็นใครกันแน่? ทำไมเขาถึงพบเบาะแสชิ้นสำคัญก่อนหน่วยงานของเราอีกแล้ว? หลังจากได้รับหลักฐานมาในวันนี้ เขารู้สึกภูมิใจและมีความสุขมาก นึกว่าครั้งนี้จะเอาชนะเขาได้อยู่แล้วเชียว!
เผิงซื่อจวี๋ตั้งคำถามอย่างไม่ใส่ใจ “หรือผมไม่ควรบอกคุณ?”
หลินชิวผูหัวเราะกลบเกลื่อน “ผมเป็นคนขอให้เขามาช่วยไขคดี ทำไมผมจะไม่อยากให้คุณบอกผมล่ะ?”
“ครั้งนี้คุณไม่ได้ไปเดิมพันอะไรกับเขาไว้ใช่ไหม?”
“ไม่”
“ดีแล้ว เวลาอยู่ต่อหน้าน้องสาวตัวเองจะได้ไม่ต้องกระดากอายหรือเสียหน้า”
ถ้าคนอื่นพูดแบบนี้หลินชิวผูคงโมโหเป็นฟืนไฟไปแล้ว แต่สำหรับเผิงซื่อจวี๋ที่มีนิสัยตรงไปตรงมาถือเป็นข้อยกเว้น หลินชิวผูดื่มกาแฟต่อจนหมดแก้วก่อนหยิบผลการทดสอบติดมือมา “ผมขอตัวก่อนนะ”
เผิงซื่อจวี๋ไม่บอกลากลับแต่อย่างใด เขายังคงจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์และอ่านประวัติข้อมูลของเฉินฉีโดยละเอียด ประโยคสุดท้ายของข้อมูลนั้นคือ ‘หายตัวไปตั้งแต่ปี 2016’ เผิงซื่อจวี๋พึมพำกับตัวเอง “จริง ๆ แล้วคุณเป็นใครกันแน่?”
หลินชิวผูเดินตรงไปที่ห้องประชุม ก่อนหน้านี้เขาใช้เวลาทั้งหมดไปเกือบสิบชั่วโมงในการวางแผนไขคดี แต่วันนี้เขาจะใช้เวลาเพียงไม่นานในการอธิบายเพราะตอนนี้รูปคดีทั้งหมดชัดเจนแล้ว เวลานี้แผนการเพียงอย่างเดียวคือตามหาตัวกงเหวินให้พบ
ภายในห้องประชุม เจ้าหน้าที่ทุกนายต่างถือหนังสือพิมพ์ฉบับรายวันอยู่ในมือ หลินชิวผูเดินมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงสองสามคนโดยที่พวกเธอไม่รู้ตัว แต่พอมีเพื่อนร่วมงานอีกฝั่งสะกิดให้รู้ตัวจึงรีบผุดลุกขึ้นยืนตรงทันที “ผู้กองหลิน! มาแล้วเหรอคะ”
“พวกคุณกำลังอ่านอะไรกัน?”
“อืม... วันนี้ในพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์หลงอัน ไม่รู้ว่าองค์กรไหนเป็นคนเขียนข่าว แต่ค่อนข้างละเอียดเลยล่ะค่ะ”
“ว่าไงนะ? ส่งให้ผมดูซิ!”
หลินชิวผูคว้าหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่าน ในเนื้อหาข่าวบอกเล่าเรื่องของคดีและมีการใส่สีตีไข่เพิ่มลงไป “เมื่อเหยื่อที่เป็นเด็กตื่นขึ้นมาและเห็นคนทั้งครอบครัวถูกฆ่า เขาจึงตกใจเสียสติจนกระโดดลงมาจากชั้นสามของอาคารและได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะเพราะสมองได้รับการกระทบกระเทือน ตอนนี้เขากำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล XX ชั้นสามด้วยอาการโคม่า เด็กน้อยผู้น่าสงสารไม่รู้ตัวเลยว่าเขากลายเป็นกำพร้าไปเสียแล้ว เราหวังว่าในเมืองนี้จะมีพลเมืองดีให้ความช่วยเหลือโดยการบริจาคเงินให้กับเขา ช่องทางการบริจาค…”
หลินชิวผูโกรธมากจนเกือบจะฉีกหนังสือพิมพ์ในมือทิ้ง เขาถามคนที่อยู่ในห้อง “ใครเป็นคนเผยแพร่ข่าวนี้?!”
ทุกคนเงียบกริบ มีเพียงหลินถงซูที่ทำหน้าตาเลิ่กลั่กเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเฉินฉีเป็นคนไปรายงานเรื่องนี้ให้สำนักข่าวตีพิมพ์เมื่อวาน ซึ่งตอนนั้นเธอก็พยายามบอกเฉินฉีแล้วว่าพี่ชายของเธอต้องเป็นบ้าแน่เมื่อรู้เข้า แต่เฉินฉีเพียงยิ้มและตอบอย่างใจเย็น “ไม่ต้องกังวลไป อย่างแรก... ผมไม่ใช่สมาชิกในทีม อย่างที่สอง... ผู้กองหลินไม่เคยกำชับกับผมว่าไม่ให้เผยแพร่คดีสู่สาธารณชน และยิ่งไปกว่านั้นถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมา คนที่รับผิดชอบคือผม ไม่ใช่คุณ เพราะฉะนั้นคุณจะกลัวอะไรล่ะ?”
เฉินฉีตั้งใจใช้ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เป็นแรงกระเพื่อมและเหยื่อล่อ ถึงแม้ว่าท่าทางของเฉินฉีจะดูมั่นใจเสียเหลือเกินแต่หลินถงซูไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะถ้ากงเหวินเห็นข่าวนี้จริง เขาจะเอาตัวเองไปเสี่ยงแค่เพื่อต้องการเยี่ยมลูกชายตัวเองหรอกหรือ?
ภารกิจในวันนี้พุ่งประเด็นไปที่การตามหาตัวกงเหวิน หลังจากอธิบายทุกอย่างครบถ้วนแล้ว หลินชิวผูจึงสั่งให้ทุกคนแยกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ เขาหันไปสั่งตำรวจที่กำลังจะเดินออกไปทั้งสองนาย “โอวจาง เสี่ยวชาง พวกคุณทั้งคู่ไปเฝ้าสังเกตการณ์อยู่หน้าห้องของเด็กชายที่โรงพยาบาลด้วย
หลินถงซูสะดุ้งเฮือก ท่าทางของเธอถูกหลินชิวผูสังเกตเห็น เขาปรี่เข้าไปหาเธอทันที “ต่อให้เธออยากทำผลงานแค่ไหนก็ไม่ควรทำแบบนี้!”
หลินถงซูหน้าแดงด้วยความโกรธเมื่อถูกต่อว่า “เฉินฉีเป็นคนคิดแผนนี้ ไม่ใช่ฉันซะหน่อย!”
“คิดไว้แล้วเชียว!” หลินชิวผูกัดฟันแน่น
หลินถงซูลุกขึ้นยืน “ผู้กองหลิน ฉันขออนุญาตตามไปที่โรงพยาบาลด้วยค่ะ”
หลินชิวผูเหลือบมองหลินถงซูแวบหนึ่ง จากนั้นจึงโพล่งขึ้นเพราะคิดว่าคงห้ามเธอไม่ได้แล้ว “อยากไปก็ไปสิ! อย่าลำพองใจไปหน่อยเลย ผมไม่คาดหวังอะไรมากอยู่แล้วเพราะไอเดียของเขาดูไร้ประโยชน์จะตายไป! เราระดมกำลังค้นหาตัวกงเหวินแทบพลิกเมืองแล้ว ในเมื่อทุกที่มีตำรวจเดินเพ่นพ่านเต็มไปหมดเขาคงอยู่ในที่กบดานไม่ออกมาง่าย ๆ แน่ เขาจะยอมเสี่ยงถูกจับเพื่อไปเยี่ยมลูกชายตัวเองได้ยังไง? แล้วอย่าลืมล่ะว่าหนังสือพิมพ์พวกนี้ตีพิมพ์แค่ประมาณหมื่นฉบับต่อวัน คุณคิดว่ากงเหวินจะเห็นข่าวนี้เหรอ? คิดว่าตัวเองฉลาดมากรึไง!?”
หลินชิวผูพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดแล้วก็เดินออกไปจากห้อง หลินถงซูถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เธอและตำรวจอีกสองนายมุ่งตรงไปที่โรงพยาบาลตามที่นัดหมายไว้ก่อนหน้านี้ เฉินฉีมารอในห้องอยู่ก่อนแล้ว อาการบาดเจ็บทางกายของเด็กชายเริ่มดีขึ้น แต่อาการบาดเจ็บทางใจกลับไม่ทุเลาลง เฉินฉีกำลังปอกแอปเปิลอย่างระมัดระวัง และพยายามชวนเด็กชายพูดคุยตลอดเวลา
“คุณ! ออกมานี่เลย!” หลินถงซูออกคำสั่ง
เฉินฉีวางแอปเปิลที่ปอกแล้วลงบนโต๊ะและเดินตามเธอออกไปนอกห้อง “มีอะไรเหรอ? วันนี้ดูเหวี่ยงแปลก ๆ นะ?”
“ดูความคิดงี่เง่าของคุณสิ! พี่ชายของฉันรู้เรื่องแล้ว เขายังบอกด้วยว่าหนังสือพิมพ์มีแค่ประมาณหมื่นฉบับต่อวัน ยังไงกงเหวินก็ไม่มีทางอ่านเจอแน่”
“จริงอยู่ที่หนังสือพิมพ์วางจำหน่ายไม่กี่ฉบับ แต่ไม่ได้แปลว่ามันจะขายไม่ออกซะหน่อย คุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงเลือกใช้หนังสือพิมพ์? เพราะมันราคาถูกไงล่ะ! ร้านอาหารเช้าตั้งหลายร้านรับประจำไว้เผื่อลูกค้าหยิบอ่าน หลังจากข้ามวันไปพนักงานก็จะเอาหนังสือพิมพ์มาห่ออาหารเช้า และถ้ากงเหวินซื้อกินก็มีโอกาสสูงมากที่เขาจะเห็นข่าว”
“แล้วถ้าเขาไม่เห็นล่ะ?”
“การลงทุนมีความเสี่ยง ผมพูดได้แค่ว่ามีโอกาสสูงมากที่เขาจะมาที่นี่”
“ฉันหวังเหลือเกินให้เป็นจริงอย่างที่คุณพูด”
งานการสังเกตการณ์และเฝ้าระวังน่าเบื่อมาก เด็กชายไม่คุยกับใครเลย เขาพูดกับหลินถงซูเพียงสองสามคำเท่านั้น ทุกครั้งที่กล่าวถึงครอบครัวเพียงประโยคเดียวเขาก็เอาแต่ร้องไห้
พอหลินถงซูคิดว่าการที่เด็กชายคนหนึ่งต้องสูญเสียพ่อแม่ไปอย่างกะทันหันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดแค่ไหน เธอก็รู้สึกสงสารจนน้ำตาปริ่ม
เฉินฉีออกความเห็น “ถ้าคุณมองใครบางคนเพียงผิวเผินอาจคิดว่าพวกเขาดูเป็นตัวปัญหา แต่ถ้ารู้เบื้องลึกเบื้องหลังอาจจะเข้าใจพวกเขาในอีกมุมหนึ่ง ชีวิตของบางคนน่าเศร้ามาก หลายคนเคยมีบ้านมีครอบครัว แต่ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่กลับทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพแบบนั้น ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่ไม่อบอุ่นหรือคนในครอบครัวล้มหายตายจากไป” ขณะที่พูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเฉินฉีเต็มไปด้วยความสลดใจและหดหู่
หลินถงซูพลอยเศร้าไปด้วย “คุณพูดเหมือนกับว่าตัวเองเคยเจอฆาตกรมาเยอะอย่างนั้นแหละ”
“ผมเห็นพวกเขาในซีรีส์ไง! ตอนนี้ผมติดเรื่อง ‘Reading the Heart’ งอมแงมเลยล่ะ” เฉินฉีกลับมายิ้มอีกครั้ง
เวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนบ่าย หลินถงซูเริ่มกระสับกระส่ายมากขึ้น เธอเริ่มเดินวนไปทั่วทางเดินและมองคนที่เดินผ่านไปมาอย่างอยู่ไม่สุขอีกต่อไป สิ่งที่เธอจินตนาการไว้ในใจเริ่มสลายไปทีละนิด และคิดว่าวันนี้กงเหวินน่าจะไม่มาแล้ว
เธอคาดหวังกับคดีนี้ไว้สูงมากแม้ไม่เคยพูดให้ใครฟัง และอยากได้รับผลงานเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้หลินชิวผูยอมรับสักที
แต่จนถึงตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกอย่างเริ่มไร้ความหวัง หลินถงซูเริ่มเป็นกังวล ความอดทนลดน้อยลงเรื่อย ๆ
ทันใดนั้นเองเสียงสัญญาณเตือนกลับดังขึ้นอย่างกะทันหัน ป้ายสัญญาณหนีไฟตรงทางเดินส่องแสงสีแดงกะพริบ พยาบาลเริ่มวิ่งวุ่นและตะโกนลั่น “ไฟไหม้! ไฟไหม้โรงพยาบาล! รีบหนีเร็วเข้า!”
เฉินฉีรีบวิ่งออกมาจากห้องผู้ป่วยทันที “เขามาแล้ว! คนจะมายังไงก็ต้องมา!”