ตอนที่แล้วบทที่ 29 พยายามเท่าไหร่โชคชะตาก็ไม่เข้าข้าง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 31 ความจริงอันน่าตกตะลึง

บทที่ 30 ความคืบหน้าของเฉินฉี


กำลังโหลดไฟล์

บทที่ 30 ความคืบหน้าของเฉินฉี

ไม่นานหลังจากนั้นเฉินฉีก็มาถึงหน้าสถานีด้วยสภาพอิดโรยราวขับรถส่งผู้โดยสารหลายเที่ยว หลินถงซูสังเกตว่าอีกฝ่ายดูโทรมกว่าทุกครั้งเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาทั้งวัน แถมยังไม่รู้จักโกนหนวดเคราให้เกลี้ยง เธอพูดแหย่เขาเล่น “คุณไปกรำศึกที่ไหนมาเนี่ย? เพิ่งกลับมาจากแอฟริกาเหรอ?”

“ก็ประมาณนั้นแหละ ผมเหนื่อยมาก เมื่อคืนแทบไม่ได้นอนเลย แล้วอาหารมื้อเที่ยงของผมล่ะ?”

“เพิ่งมาส่งเมื่อกี้นี้เอง”

ทั้งคู่เดินเข้าไปในออฟฟิศขณะที่เจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ กำลังง่วนอยู่กับงานในมือ เฉินฉีเปิดกล่องข้าวเที่ยงออกและตักกินอย่างเอร็ดอร่อยและมีความสุข ทั้งยังชื่นชมรสชาติไม่หยุดปาก พอเห็นเขากินข้าวแบบนี้หลินถงซูก็รู้สึกหิวขึ้นมาบ้าง ถึงอย่างนั้นเธออยากรู้ความคิดเห็นเกี่ยวกับคดีจากเขามากกว่า แต่เฉินฉีก็ยังไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

หลินถงซูทุบโต๊ะเสียงดัง “ไอหยา ทำไมคุณสนใจแต่เรื่องกินแบบนี้ล่ะ?!”

เฉินฉีหันมองหลินถงซู “คุณเปลี่ยนเน็ตรวบผมแล้วเหรอ? สวยดีนะ”

หลินถงซูที่กำลังหงุดหงิดอยู่หัวเราะออกมาอีกครั้ง “ฉันไม่ได้ให้คุณชื่นชมเรื่องอะไรแบบนี้ซะหน่อย คุณได้ไปสืบคดีมาบ้างไหม?”

“อื้ม!” เฉินฉีตอบรับขณะเคี้ยวอาหารตุ้ย ๆ “ก่อนอื่น เล่าความคืบหน้าของคดีจากฝั่งคุณให้ฟังหน่อยสิ”

หลินถงซูบอกรายละเอียดทั้งหมดให้เขาฟังแม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ หลังจากที่ได้ฟังแล้วเฉินฉีจึงตอบกลับ “พี่ชายของคุณสืบไปผิดทาง”

“ใช่ แต่ถึงเขารู้ทั้งรู้เขาก็ไม่มีวี่แววจะยอมเชื่อคุณเลย”

“ไม่เป็นไรหรอก ให้เขากินความผิดหวังอีกสักสองสามครั้ง จะได้หัดเรียนรู้การเปิดใจรับความคิดใหม่ ๆ บ้าง”

“ทางคุณเจอเบาะแสอะไรร้ายแรงบ้างไหม?” หลินถงซูสังเกตปฏิกิริยาของเขาพลางถามด้วยความระมัดระวัง “คุณต้องเจออะไรบางอย่างมาแน่ ๆ”

เฉินฉีใช้ตะเกียบคีบอาหารขึ้นมาแล้วพูดยิ้ม ๆ “เบาะแสชิ้นนี้ที่ผมรู้มาน่าตกใจเอามาก ๆ เลยล่ะ แต่ผมอยากเปิดโปงในตอนสุดท้ายแบบเท่ ๆ เพราะงั้นให้ผมมีไพ่ตายหน่อยเถอะ”

“พระเจ้า คุณมันโคตรน่ารำคาญเลย!”

ในตอนนั้นเอง สวีเสี่ยวตงก็เดินมาจากทางเดินพร้อมกับถือตั๋วคอนเสิร์ตสองใบไว้ในมือ เขาเดินพร้อมกับพึมพำกับตัวเองไปด้วย “ถงซู ไปดูคอนเสิร์ตกับผมเถอะ!” “วันหยุดสุดสัปดาห์นี้เธอว่างไหม?” “เธอชอบเพลงของจางเสวโหย่ว* ไหม?”

* จางเสวโหย่ว = นักร้อง/นักแสดงชื่อดังของจีน มีบทเพลงไพเราะมากมาย จนได้รับฉายาว่า เทพเจ้าแห่งเพลง (God of Songs , 歌神) คนที่ 2 ของเกาะฮ่องกง และยังเป็นเบอร์หนึ่งในกลุ่มนักร้องจตุรเทพแห่งวงการเพลงจีน ในปี 2018 เขาจัดทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกถึง 200 รอบ ถูกยกย่องจากวงการเพลงทั่วโลกว่าเป็นสุดยอดคอนเสิร์ตยอดเยี่ยมแห่งปี 2018 อีกด้วย

หลังจากที่ซ้อมพูดอยู่อีกสองสามครั้งก็ดูเหมือนมันจะยังฟังไม่เข้าที สวีเสี่ยวตงไม่รู้ตัวเลยว่าเขาเดินมาถึงประตูออฟฟิศแล้ว ทันทีที่เงยหน้าขึ้นก็เห็นหลินถงซูและเฉินฉีกำลังพูดคุยและหัวเราะกันอยู่ข้างใน เขาตกใจมากจนตัวแข็งทื่อ

เฉินฉีเงยหน้ามองผู้มาใหม่พร้อมสบตาอีกฝ่ายและถามด้วยรอยยิ้ม “คุณทานมื้อกลางวันแล้วหรือยังครับ?”

“คุณ…คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” สวีเสี่ยวตงไม่รู้ว่าควรพูดคุยอะไรดี

“ผมเพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เอง โอ้ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วผมขอคุณช่วยอะไรสักอย่างหน่อยได้ไหม? วันนี้ผมไม่ได้ขับรถมา ว่าจะติดรถคุณไปที่โรงพยาบาลสักหน่อย”

“อะไร? มาขอผมเป็นคนขับรถให้เนี่ยนะ? คุณคิดว่าตัวเองใหญ่มาจากไหนกัน?!”

“เป็นอะไรไปไอ้หนุ่ม? ไปกินดินปืนที่ไหนมาล่ะวันนี้? ทำไมดูห้าวจัง”

สวีเสี่ยวตงรู้สึกเคืองอีกฝ่ายมากจึงระเบิดคำพูดออกมาอย่างไม่ไว้หน้าอีกต่อไป “ถงซู ทำไมเธอทำตัวติดกับไอ้หมอนี่ตลอดเลยล่ะ? เธอชักจะเชื่อใจเขามากเกินไปแล้ว! ผมไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไขคดีนี้ได้!”

“เรามาเดิมพันกันหน่อยไหมล่ะ?” เฉินฉีเหยียดยิ้ม

“ใครอยากจะเดิมพันกับคุณกัน? ผมไม่เสียเวลามาเล่นอะไรพรรค์นี้เด็ดขาด!”

“ไม่ทันไรก็กลัวแพ้แล้วเหรอ? เป็นถึงตำรวจแต่ไม่กล้าสู้กับคนขับรถธรรมดาอย่างผมเนี่ยนะ?”

แม้การยั่วโมโหจะเป็นวิธีทางจิตวิทยาที่ล้าสมัยไปสักหน่อย แต่พองัดขึ้นมาใช้แล้วยังได้ผลอยู่เสมอ ความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของสวีเสี่ยวตงตื่นขึ้นทันที เขาตะโกนตอบรับ “ได้! งั้นเรามาพนันกัน แล้วจะใช้เรื่องอะไรเป็นสิ่งเดิมพันล่ะ?”

“ตั๋วสองใบนั้นในมือของคุณ”

สวีเสี่ยวตงรีบซ่อนมือตัวเองไว้ด้านหลังทันทีแต่ยังช้ากว่าสายตาช่างสังเกตของเฉินฉี เขาพูดตะกุกตะกัก “คุณ... คุณหมายความว่าไง?”

“ผมชอบจางเสวโหย่ว ได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่าเขาจะจัดคอนเสิร์ตในหลงอัน โชคร้ายที่ตั๋วคอนเสิร์ตแพงมากจนผมตัดใจซื้อไม่ได้”

“คุณนี่เก่งเรื่องฉวยโอกาสจากคนอื่นจริง ๆ เลย!”

“ในเมื่อเป็นการเดิมพันงั้นก็ต้องทำให้ทุกอย่างยุติธรรมมากขึ้น ถ้าผมชนะ... ตั๋วสองใบนั้นต้องเป็นของผม แต่ถ้าผมแพ้... ผมจะจ่ายเงินจำนวนเท่ากับราคาตั๋วทั้งสองใบนั้นให้กับคุณ โอเคไหม?”

สวีเสี่ยวตงครุ่นคิด ถึงไม่ค่อยอยากยอมรับการเดิมพันมากนักเพราะอีกใจก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องมีทักษะอยู่บ้างแน่ ๆ คิดจะหลอกให้เขาตกหลุมพรางสินะ?

แต่ต่อหน้าหลินถงซูแล้ว เขาไม่สามารถยอมถอยกลับในฐานะคนแพ้แต่แรกจึงเจรจาต่อรอง “เพิ่มเงื่อนไขด้วย คุณจะต้องไม่ใช้เบาะแสทั้งหมดที่มีอยู่ปัจจุบัน ไม่ว่ารูปภาพ ข้อมูลจากแผนกชันสูตร ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นในที่ประชุม หรืออะไรพวกนั้น”

“ได้เลย!” เฉินฉียอมรับอย่างรวดเร็ว “ผมจะไม่ใช้เบาะแสที่พวกคุณมีอยู่ในตอนนี้แม้แต่อย่างเดียว แต่สิ่งที่ผมค้นพบด้วยตัวเองไม่ถือว่าเกี่ยวข้องกับเงื่อนไขใหม่นี้นะ”

“ถือเป็นอันตกลง” สวีเสี่ยวตงเหลือบมองหลินถงซูและนึกกระหยิ่มว่ายังไงเขาก็ต้องเป็นคนที่ปิดคดีนี้ได้ หลินถงซูจะได้มองเขาเป็นคนใหม่สักที “งั้นผมขอตัวก่อนล่ะ!”

ระหว่างที่เดินอยู่สวีเสี่ยวตงก็คิดกับตัวเอง ‘ถึงผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งจะตายไปแล้ว แต่ยังมีผู้ต้องสงสัยอันดับสอง อันดับสาม อันดับสี่... ถ้าฉันไปพบผู้ต้องสงสัยทีละคนยังไงก็ได้เปรียบกว่า เพราะฉะนั้นต้องรีบสะสางให้เร็วที่สุด ฉันจะปล่อยให้ศัตรูหัวใจทำคะแนนนำไปก่อนไม่ได้!’

หลังจากสวีเสี่ยวตงเดินออกไปหลินถงซูก็หันมาตำหนิเขา “คุณนี่เลือดเย็นจริง ๆ เลย คุณรู้อยู่แล้วว่าคดีนี้เป็นมายังไงแต่ก็ยังเดิมพันกับเขา ขี้โกงชะมัด”

“ไม่เห็นเกี่ยวเลย บางทีเบาะแสของผมอาจจะผิดก็ได้ มันคือส่วนหนึ่งของการไขคดีนะ เรื่องผิดพลาดและคาดไม่ถึงสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ถ้าใครคนหนึ่งมีความพยายามมากกว่า ความเป็นไปได้ในการไขคดีสำเร็จก็จะสูงขึ้น”

“ฟังดูมีเหตุผลดีนะ แต่ฉันว่าคุณน่ะคิดมารอบคอบแล้ว เรื่องนี้ก็แค่ข้อแก้ตัวให้ดูดีขึ้นเท่านั้นแหละ เรื่องนี้คุณเป็นคนเริ่มเองนะ ฉันไม่ขอเข้าไปยุ่งด้วยแล้วกัน”

“ไม่สำคัญหรอกว่าใครจะแพ้หรือชนะ ยังไงคุณก็ได้ไปดูคอนเสิร์ตกับเขาแน่นอน มีแต่ได้กับได้เชียวนะ!”

“ไร้สาระน่า!” หลินถงซูยอกย้อนเขา “ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขาซะหน่อย”

“ผมคิดว่าพวกคุณสองคนก็ดูเหมาะสมกันอยู่นะ”

“ถ้ายังไม่หยุดพูดอีกฉันจะทุบหลังคุณ!” หลินถงซูเงื้อมือขึ้น

“โอเค! ผมผิดไปแล้ว! ไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ!”

“ไปเยี่ยมเด็กเหรอ?”

“เปล่า โรงพยาบาลอื่นน่ะ”

ทั้งคู่เดินทางไปยังโรงพยาบาลทันที เฉินฉีไม่บอกรายละเอียดอะไรมากนัก แค่กำชับให้หลินถงซูแสดงตราตำรวจเมื่อจำเป็นเท่านั้น พวกเขาขอเข้าพบแพทย์คนหนึ่ง เฉินฉีเป็นฝ่ายทักทายก่อน “สวัสดีครับ พวกเราต้องการทราบประวัติรายงานการตรวจสุขภาพของคนไข้รายหนึ่ง”

“พวกคุณเป็นใครกัน?”

เฉินฉีให้สัญญาณ จากนั้นหลินถงซูก็แสดงตราของเธอออกมา “พวกเราเป็นตำรวจจากหน่วยสืบสวนอาชญากรรม มาที่นี่เพื่อสืบคดีค่ะ หวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือ”

“โอ้ สหายตำรวจนี่เอง ขออภัยในความหยาบคายด้วยครับ พวกคุณต้องการทราบเรื่องอะไรล่ะ?”

“ก่อนหน้านี้มีลูกจ้างจากบริษัทประกันภัย XX มาตรวจสุขภาพที่นี่กับคุณหรือเปล่าครับ?”

“อ๋อ ผมจำพวกเขาได้!”

“ปกติแล้วการตรวจสุขภาพประจำปีของพนักงานตามหน่วยงานห้างร้านเน้นตรวจเช็กอะไรบ้างครับ?”

“ตรวจเลือด ทดสอบปัสสาวะ การทำงานของตับ แล้วก็ระดับน้ำตาลในเส้นเลือดน่ะครับ”

“ผมต้องการผลการตรวจสุขภาพของคนที่ชื่อกงเหวิน”

หลินถงซูมองเฉินฉีด้วยความงุนงงและกระซิบถามเขา “คุณอยากรู้ข้อมูลพวกนี้ไปเพื่ออะไรเหรอ?”

เฉินฉีสบตาเธอกลับแต่ไม่ได้ตอบอะไรในทันที แพทย์ค้นพบผลตรวจสุขภาพของกงเหวินอย่างรวดเร็วจากไฟล์ข้อมูลและทำการพิมพ์ออกมา เฉินฉีก้มอ่านข้อมูลในแผ่นกระดาษ “จากการตรวจมีอะไรผิดปกติหรือเปล่าครับ?”

“ผู้ชายคนนี้มีไขมันในเลือดสูง มีอาการตับบวมระยะแรก และเป็นโรคไขข้ออักเสบ”

“โอเคครับ ขอบคุณมาก!”

หลังออกมาจากโรงพยาบาลแล้วหลินถงซูก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอกดดันเขา “คุณกำลังตามสืบอะไรกันแน่? ทำไมถึงได้ดูสนใจสภาพร่างกายของผู้ตายนักล่ะ?”

เฉินฉียังอุบไว้ “คุณบอกว่าผมทำตัวลึกลับเกินไป ถ้านั้นตอนนี้ให้ผมทดสอบคุณหน่อย เราไม่เจอรอยนิ้วมือหรือดีเอ็นเอของบุคคลภายนอกเลย อีกทั้งฆาตกรยังไว้ชีวิตเด็ก และเลือดบนอาวุธก็ได้รับการยืนยันว่าเป็นของผู้เสียชีวิตเท่านั้น พอเบาะแสเหล่านี้ถูกรวมเข้าด้วยกัน คุณพอจะเดาความจริงได้รึยัง? ถ้าเดาไม่ได้คุณคงเป็นคนสวยที่ไม่มีไหวพริบเอาซะเลย!”

หลินถงซูขมวดคิ้วและพยายามคิดทบทวนเป็นเวลานานก่อนจะส่ายศีรษะยอมแพ้ “เฉลยสักทีเถอะน่า!”

เฉินฉีม้วนแฟ้มเอกสารแผ่นบางเคาะหัวเธอเบา ๆ “ดูเหมือนไหวพริบของคุณจะแย่จริง ๆ ด้วย! รีบกลับไปที่สถานีแล้วทดสอบอะไรบางอย่างกันดีกว่า”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด