WMR ตอนที่ 1 การเทเลพอร์ตที่เฮงซวยที่สุด
การเทเลพอร์ตที่ปลอดภัยนั้นเป็นของตาย แต่น่าเสียดายที่แต่ละคนมีความโชคร้ายของตัวเอง
-เจนเซ่น ตอลสตอย ไวท์
กู้เป่ยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เมื่อตื่นขึ้นจากสภาวะสับสนสิ่งแรกที่เข้ามาคือความรู้สึกปวดหัวเจียนตาย ราวกับสมองของเขาถูกเข็มทิ่มแทงจนเป็นเหตุให้ไม่สามารถคิดสิ่งใดได้ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่สิ่งที่สัมผัสได้ในตอนนี้มีเพียงความอึดอัด
โดยไม่ต้องใช้หัวคิดมากนักเขาก็ตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่เตียงเล็ก ๆ ที่เขาเคยนอน
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
สภาพแวดล้อมโดยรอบทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเนื่องจากพื้นที่มีขนาดเล็กเสียยิ่งกว่าห้องที่เขาเช่า ไม่นานแสงสลัวก็ตกกระทบเปลือกตาของเขา โดยข้างหลังไม่ไกลนักมีเสียงน้ำหยดซึ่งสร้างความอึดอัดมากยิ่งขึ้น....
ในตอนนั้นเองเสียงต่ำก็ดังเข้ามาในหูของเขา
“ดูเหมือนเขาจะตายแล้วจริง ๆ แอนนี่ วิธีที่เจ้าใช้มันรุนแรงเกินไป!”
เสียงฟังดูเหมือนผู้หญิงที่กำลังตำหนิใครสักคน
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าร่างกายของเขาจะอ่อนแอมากขนาดนี้? แล้วอีกอย่างข้ายังไม่ทันได้ทำอะไรเลย!”
ผู้หญิงที่ชื่อแอนนี่พูดด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นตระหนก
“พอเถอะ ตอนนี้เรามาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะแก้ตัวกับมิเชลยังไงดี”
“มิเชล... ไม่นะ! เราควรทำยังไงดี? มิเชลต้องฆ่าเราแน่!”
“อย่าลากข้าเข้าไปเกี่ยว ทั้งหมดมันเป็นความผิดของเจ้าตั้งแต่แรก เจ้าต่างหากที่เป็นคนฆ่าเขา! ไม่ใช่ข้า...”
บทสนทนายังคงดำเนินต่อไป แต่เสียงของมันดังมากจนทำให้กู้เป่ยเวียนหัว โชคดีที่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ค่อย ๆ ชินกับความปวด และฟื้นคืนสติกับความสามารถในการตัดสิน
เขาลืมตาอย่างยากลำบาก
มันเป็นห้องใต้ดินแคบ ๆ ที่เหมือนหลุดออกมาจากหนังระทึกขวัญบางเรื่อง รอบๆ นั้นมืดสนิทโดยมีคบไฟบนผนังเป็นแหล่งกำเนิดแสงเพียงแหล่งเดียว ตะไคร่น้ำขึ้นเกาะตามมุมผนังและเพดานส่งผลให้ห้องมีความชื้นค่อนข้างมากซึ่งทำให้ผู้อยู่ข้างในรู้สึกไม่สบายตัว
กู้เป่ยพยายามพยับร่างกายของเขา
ในตอนนั้นเองที่เขาพบว่าเขากำลังถูกมัดติดอยู่กับเก้าอี้โดยมือของเขาถูกมัดไว้ข้างหลังด้วยเชือกป่านหนา
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังตระหนักอีกว่าร่างกายของเขาอ่อนแอกว่าที่ควรเป็น
เป็นความอ่อนแอที่แปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“ระ เราควรทำยังไงดี.... มิเชล.... โอ้พระเจ้า ธะ เธอมาแล้ว!”
เสียงร้องเท้าส้นสูงที่ดังขึ้นอย่างเชื่องช้าและเต็มไปด้วยความหนักแน่นขัดจังหวะการสนทนาของทั้งสอง นั่นรวมถึงการขัดขืนที่อ่อนแอขอกู้เป่ยด้วย
ภายใต้แสงสลัว ร่างที่คลุมเครือค่อยๆ ปรากฏขึ้น
ร่างนั้นเป็นหญิงสาวนางหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมขนาดใหญ่โดยมีฮูดปกปิดใบหน้าส่งผลให้มองเห็นหน้าตาไม่ค่อยชัด เสื้อคลุมเขียวเวอร์ริเดียนคลุมเธอไว้แน่นโดยไม่เผยผิวเลยแม้แต่น้อย ต่อให้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นหุ่นจำลองก็คงไม่มีใครสังเกต
ส่วนเหตุผลว่าทำไมกู้เป่ยถึงรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงทั้งหมดเป็นเพราะเสียงของรองเท้าส้นสูงและชื่อ “มิเชล” ที่ได้ยินเมื่อครู่
แม้จะยังสับสนอยู่ แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่าตอนนี้เป็นเวลาดีที่จะแกล้งตาย
ดังนั้นเขาจึงผ่อนคลายร่างกายและนอนแน่นิ่งอยู่บนเก้าอี้โดยหวังว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็น
เขาหลับตาแน่น เงี่ยหู และเฝ้าดูการพัฒนาของสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
“มิเชล...”
เสียงของแอนนี่สั่นเครือ
“ปลุกเขา” เสียงผู้หญิงที่ดูหดหู่และไร้อารมณ์ดังออกมาจากเสื้อคลุม
“มิเชล ข้า...”
แอนนี่พูดอย่างลังเล ขณะที่เธอกำลังพิจารณาคำพูดต่อไป จู่ ๆ เธอก็ถูกขัดจังหวะ
“ทั้งหมดมันเป็นความผิดของแอนนี่!” ผู้หญิงอีกคนร้องเสียงแหลมจนทำให้กู้เป่ยมึนงง “มิเชล เจ้าต้องเชื่อข้านะ ทั้งหมดมันเป็นความผิดของแอนนี่ ไม่เกี่ยวกับข้าเลย!”
สิ้นเสียงเหลือไว้เพียงความเงียบที่น่าอึดอัด
“มิเชล ข้า...” แอนนี่พยายามอธิบาย
“เขายังไม่ตาย” มิเชลขัดจังหวะเธออีกครั้ง
กู้เป่ยอดถอนหายใจไม่ได้
“อะไรนะ?”
“เขายังไม่ตาย” ความอดทนของมิเชลเริ่มหมด “ปลุกเขาให้ตื่น”
“อ่า ดะ ได้...”
กู้เป่ยที่กำลังหลับตาอยู่จู่ ๆ ก็รู้สึกหนาวไปทั้งตัวจนอดสั่นไม่ได้ เสื้อผ้าบนตัวของเขาเปียกแนบแน่นไปกับผิว มันให้ความรู้สึกทั้งแฉะและอึดอัดไปในเวลาเดียวกันจนกู้เป่ยรู้สึกคลื่นไส้
ผู้หญิงชื่อแอนนี่สาดน้ำเย็นใส่เขา
เมื่อรู้ว่าเขาไม่สามารถแกล้งตายได้อีกต่อไปเขาจึงต้องลืมตาขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
“เขายังไม่ตายจริงด้วย!”
หนึ่งในนั้นตะโกนออกมาด้วยความตกใจ ในที่สุดกู้เป่ยก็สามารถเห็นทุกอย่างชัดเจน
ในห้องมีทั้งหมดสามคน อีกสองคนแต่งตัวแบบเดียวกับมิเชลโดยสวมเสื้อคลุมเขียวเวอร์ริเดียนคลุมทั้งตัวรวมถึงปกปิดใบหน้าเช่นเดียวกับเธอ ชุดพวกนั้นดูน่าขนลุกราวกับเป็นพร็อพในหนังสยองขวัญ
ร่างทั้งสามที่สวมฮูดยืนรายล้อมกู้เป่ยราวกับว่าพวกเขากำลังจะทำพิธีบูชายัญชั่วร้าย
ความรู้สึกเย็นยะเยือกแล่นผ่านกระดูกสันหลังของกู้เป่ย
“พวกเจ้าไปพักก่อนเถอะ” มิเชลกล่าว
ทั้งสองพยักหน้าและจากไป บางทีหลังจากนี้พวกเธอคงเริ่มโต้เถียงกันอีกครั้ง
กู้เป่ยสัมผัสได้ถึงสายตาของมิเชลที่กลับมาหาเขา มันเหมือนงูพิษที่กำลังจ้องไปที่เหยื่อของมัน เขารู้สึกไม่สบายใจ แต่ในสถานการณ์นี้ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ ดังนั้นเขาจึงหลับตาและแสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไร
มิเชลก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกันทำให้ความเงียบดำเนินไปชั่วขณะหนึ่ง
แม้จะเป็นช่วงสั้น ๆ แต่ราวกับยาวนานไม่มีสิ้นสุด
ในที่สุดมิเชลก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน
“ความลับในการเปิดคลังคืออะไร?”
กู้เป่ยเงยหน้าขึ้น “ข้าไม่รู้”
“เซอร์ลิเธอร์” มิเชลดูไม่แปลกใจกับคำตอบที่ได้รับ “ท่านน่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าการต่อต้านนั้นไร้ประโยชน์ ท่านสามารถกลับเมืองของท่านเพื่อเป็นอัจฉริยะผู้สูงส่งดังเดิม หรือจะเน่าตายในท้องหนูอยู่ที่นี่ ไม่ว่าทางไหนท่านก็สามารถเลือกได้ และข้าได้แต่เพียงหวังว่าท่านจะเลือกสิ่งที่ดีต่อตัวท่านมากที่สุด”
“ข้าไม่ใช่เซอร์ลิเธอร์อะไรนั่น! เจ้าจับผิดคนแล้ว!”
“เซอร์ลิเธอร์ ความอดทนของข้ามีจำกัด” มิเชลพูดอย่างสุภาพ แต่ความรู้สึกที่ให้กลับกดดันจนน่ากลัว
“หรือว่าท่านไม่พอใจกับการดูแลในตอนนี้ ข้าควรเรียกแอนนี่กลับมาไหม?”
“...”
กู้เป่ยอยากร้องไห้แต่ทำไม่ได้ “คุณผู้หญิง ข้าไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ!”
หลังจากได้สติมาพักใหญ่ เขาก็เริ่มเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น.
ก่อนหน้านี้ตอนกลางดึก เขากำลังเตรียมบทพูดสำหรับเจ้านายของเขาที่ต้องใช้ในวันพรุ่งนี้อยู่ที่โต๊ะ
ในตอนนั้นเขาทำงานล่วงเวลามาได้เกือบครึ่งเดือนแล้วทำให้ทั้งแรงกายและแรงใจแทบไม่มีเหลือ ดังนั้นเขาจึงผล็อยหลับไปหน้าคอมพิวเตอร์เพราะความอ่อนล้าที่สะสม ในฝันของเขา กู้เป่ยเห็นชายอายุอานามราวสี่สิบสวมกางเกงในไว้บนหัวพร้อมกับชี้มาที่จมูกของเขาก่อนจะตะโกนว่า “พลังบาลาร่า เปลี่ยนร่าง!”
ไม่นานก็มีเสียงพึมพำดังขึ้นในหัวของเขา
จากนั้นรู้ตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาในห้องใต้ดินแห่งนี้
เขาไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ที่ว่าผู้หญิงที่ดูประหลาดลักพาตัวเขามาเพราะคิดว่าเขาเป็นใครสักคนที่ชื่อเซอร์ลิเธอร์ และเขาก็ยังไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ที่ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ฝันร้ายที่เกิดจากการทำงานหนักจนเสียสุขภาพและทำให้เกิดภาพหลอน
แต่...
ตั้งแต่ตอนที่เขาเปิดปากพูดจนถึงตอนนี้ เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าเขาไม่ได้พูดภาษาจีนกลางอีกต่อไป แต่เป็นบางภาษาที่ฟังดูคล้ายกับภาษาอังกฤษแทน
เขาไม่ได้พูดภาษาอังกฤษมาหลายปีแล้ว
แน่นอนว่ากูเป่ยไม่ใช่คนโง่ เขาเป็นแค่คนธรรมดา มีชีวิตที่ธรรมดา แต่มีความฝันที่ไม่ธรรมดา – เขาอ่านพวกนิยายออนไลน์มานับไม่ถ้วน เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ดูจะไม่ถูกต้อง เขาจึงรีบใช้ความรู้จากนิยายที่อ่านมาและได้ข้อสรุปว่า:
เขาถูกเทเลพอร์ต
ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่ทราบสาเหตุ เขาจึงถูกย้ายมายังร่างของเซอร์ลิเธอร์โดยแทนที่เจ้าของร่างเดิมโดยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามช่างน่าเศร้านักที่เซอร์ลิเธอร์คนนี้โชคไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะเขาถูกผู้หญิงที่ดูจิตไม่ปกติลักพาตัว กระทั่งถึงขั้นถูกทรมานจนสาหัส
และตอนนี้ก็ถึงคราวที่เขาต้องถูกทรมานแทนเจ้าของร่างเดิม
กู้เป่ย ถอนหายใจราวกับกำลังคร่ำครวญถึงช่วงเวลาที่เขาสูญเสียเงินเดือนครึ่งหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุจากการเล่นสกีที่ทำให้ทวารหนักของเขาฉีกขาดจนไม่สามารถกลับไปทำงานได้
เขาจะต้องเป็นผู้ข้ามโลกที่โชคร้ายที่สุดเท่าที่มีมาอย่างไม่ต้องสงสัย
“สำหรับตระกูลลิเธอร์คลังสมบัตินั้นเป็นเพียงเมล็ดข้าวเล็ก ๆ ในยุ้งฉางขนาดใหญ่ ตระกูลของท่านยังมีสมบัติอีกมากมายนับพัน ท่านไม่คิดบ้างหรือว่ามันช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลยที่ต้องสละชีวิตแสนล้ำค่าของท่านไปกับสิ่งนี้?”
บางทีมิเชลอาจคิดว่าที่กู้เป่ยถอนหายใจแปลว่าเขายอมแพ้ และพร้อมที่จะทำตามคำเรียกร้องของเธอ
กู้เป่ยเงยหน้ามองเข้าไปตรงใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายในความมืดก่อนกล่าวเน้นทีละคำ:
“ข้า ไม่ รู้!”
ในขณะที่พูดเขาเชื่อว่าดวงตาของเขาดูจริงใจราวกับกวางหนุ่ม
แต่น่าเสียดายที่มิเชลไม่เชื่อเขา
“เซอร์ลิเธอร์ น่าเสียดายที่ท่านเลือกผิด” แม้เสียงของมิเชลจะเย็นชาตั้งแต่ต้นจนจบ แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ถึงจิตสังหารที่แฝงมาด้วย “ข้าคิดว่าแอนนี่คงคิดถึงท่าน”
กู้เป่ยตัวสั่น
เขาไม่รู้ว่าผู้หญิงที่ดูจิตไม่ปกติสองคนนั้นทำอะไรกับเซอร์ลิเธอร์ตัวจริง และเขาก็ไม่อยากรู้ด้วย ทำไมนะเหรอ? เพราะเซอร์ลิเธอร์ตัวจริงถูกทรมานจนตายไปแล้วนะสิ!
ด้วยความจริงที่ปรากฏตรงหน้า เขาไม่กล้าสงสัยเลยว่าผู้หญิงพวกนี้ใช้วิธีการอะไรในการทรมานคน
ขณะที่มิเชลกำลังจะหันกลับไป กู้เป่ยก็หยุดเธอ:
“ข้า... ข้ายังบอกเจ้าไม่ได้”
กู้เป่ยไม่มีทางเลือก แม้นี่จะไม่ใช่แผนที่ดีนัก แต่ในเมื่อเหนี่ยวไกแล้วยังไงก็ต้องยิง
ไม่ว่ามันจะเป็นการเทเลพอร์ตหรือไม่ เขาก็ไม่อยากตาย
“ทำไม?”
มิเชลไม่หันกลับ แต่หยุดฝีเท้าโดยหันหลังให้คูเป่ยขณะพูดอย่างเย็นชา
“ถ้าเจ้าไม่รักษาสัญญา แม้ว่าข้าจะบอกเจ้าไป เจ้าก็จะไม่ปล่อยข้าอยู่ดี” กู้เป่ยพยายามนึกฉากที่เกิดขึ้นในนิยายเว็บที่เขาอ่านอย่างหนักโดยภายนอกแสร้งว่ากำลังใจเย็น “ข้าบอกวิธีเปิดคลังกับเจ้าได้ แต่มีข้อแม้คือเจ้าต้องรับประกันความปลอดภัยของข้า”
เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังจากภายใต้ฮูด
เมื่อบรรยากาศตึงเครียดน้อยลง กู้เป่ยจึงมีช่องหายใจ
“ท่านฉลาดมาก” มิเชลหันกลับมา “ความคิดที่จะปล่อยท่านไปนั้นไม่มีอยู่ในหัวของข้าตั้งแต่แรก นั่นก็เพื่อไม่ให้ถูกคระกูลลิเธอร์ไล่ตาม ดังนั้นหลังจากที่ข้าได้สิ่งที่ต้องการมาแล้ว ข้าจะฆ่าท่านทันที และป้อนให้กับหนูในท่อระบายน้ำเพื่อลบร่องรอยทั้งหมด”
กู้เป่ยอยากคืนคำพูดแทบใจจะขาด
“.... ถ้าอย่างนั้นก็ถือซะว่าข้าไม่เคยพูดถึงมัน”
“หากท่านไม่พูด เราจะทรมานจนกว่าร่างกายของท่านจะรับไม่ไหว” เสียงของมิเชลฟังดูโรคจิต “ท่านสามารถเลือกที่จะตายโดยไม่เจ็บปวดได้ ซึ่งพูดก็พูดเถอะมันดีกว่าทางอื่นมากนัก”
“...”
‘เรานี่โชคร้ายจริง ๆ’ กู้เป่ยตัดพ้อกับตัวเอง
ตอนนี้กู้เป่ยได้แต่หวังว่าวิญญาณเซอร์ลิเธอร์ตัวจริงจะกลับเข้าร่างและบีบคอเขาเพื่อที่เขาจะได้ออกจากโลกที่ดูแปลกประหลาดแห่งนี้สักที
‘เวรเอ้ย! ฉันไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลยแท้ ๆ’
“โง่”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะพูด มิเชลจึงส่ายหัวและเตรียมจะออกไป
ทันใดนั้นภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้าย จู่ ๆ กู้เป่ยก็มีความคิดแวบเข้ามาในหัว
“ช้าก่อน!”
มิเชลทำราวกับไม่ได้ยินที่กู้เป่ยพูดขณะยังรักษาความเร็วเท่าเดิม
ดังนั้นกู้เป่ยจึงทำได้เพียงใช้กำลังทั้งหมดที่มีเพื่อตะโกนออกไป:
“คลังสมบัติของตระกูลลิเธอร์มีเพียงสายเลือดของตระกูลเท่านั้นที่เปิดได้ หากเจ้าฆ่าข้า เจ้าจะไม่มีวันได้เปิดมันตลอดชีวิต!”
ในที่สุดมิเชลก็หยุดและเดินกลับมาอย่างเป็นจังหวะด้วยรองเท้าส้นสูง
กู้เป่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขาได้ยกเรื่องที่มักพบได้บ่อยในโครงเรื่องนิยายทั่วไปอย่างมีเพียงเลือดของคนภายในตระกูลเท่านั้นที่สามารถเปิดขุมทรัพย์ได้ มันเป็นพล็อตที่ดูโบราณดีเนอะว่าไหม แต่กลับกลายเป็นว่าไอของซ้ำซากจำเจแบบนี้ดันกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ช่วยชีวิตเขาไว้
หลังจากเงียบไปสักพัก มิเชลก็พูดขึ้นว่า:
“ท่านไม่ใช่สายเลือดของตระกูลลิเธอร์”
“อะไรนะ?!”
กู้เป่ยถูกทำให้ตกใจโดยไม่ทันตั้งตัว มือที่ถูกมัดไว้ข้างหลังกำแน่น
“ท่านเป็นเพียงญาติห่าง ๆ ของตระกูลลิเธอร์” น้ำเสียงของมิเชลเจือด้วยความดูถูก “ป้าของท่านแต่งงานเข้าตระกูลลิเธอร์ ส่วนท่านแค่ตามเธอไปและได้รับสกุลลิเธอร์มา ฉะนั้นแล้วในตัวของท่านจึงไม่มีเลือดของลิเธอร์อยู่เลยสักหยดเดียว ที่ท่านกล่าวมาว่าต้องใช้เลือดของท่านเพื่อปลดผนึกคลัง เห็นทีคงจะไม่ได้กระมั้ง”
“...”
“เซอร์ลิเธอร์” คนนี้ก็เป็นเพียงลูกปลาตัวเล็ก ๆ ในตระกูลใหญ่งั้นเหรอ?
อาการปวดหัวดูเหมือนจะแย่ลงแล้วสิ
กู้เป่ยรู้สึกสิ้นหวัง มันราวกับเขาหยิบหินขึ้นมาทุบเท้าตัวเอง หรือไม่ก็กระโดดลงหลุมที่ตัวเองขุด
มันยังมีวิธีช่วยให้รอดในสถานการณ์นี้อีกมากมาย แต่เขากลับลงเอยด้วยการปิดทางหนีของตัวเองด้วยพล็อตทั่วไป
ตอนนี้มันเหลืออะไรที่เขาสามารถทำได้บ้าง?
เอาเข้าจริงตั้งแต่ถูกเทเลพอร์ตมันก็ผ่านมาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น อย่าบอกนะว่าชีวิตเขาต้องจบลงตรงนี้
มิเชลหัวเราะและพูดว่า “ท่านคิดจริง ๆ หรือว่าก่อนที่ข้าจะลักพาตัวท่านมา ข้าจะไม่หาข้อมูลอะไรเลย...”
“ข้อมูลของเจ้ามันผิด!” ทันใดนั้นกู้เป่ยก็ตะโกนขัดจังหวะเธอ “ข้าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลลิเธอร์และยังเป็นคนที่มีเลือดบริสุทธิ์ที่สุดในตระกูล ข้ารู้ว่าเจ้าแต่งเรื่องนี้ขึ้นเพื่อทดสอบข้า เจ้ายังสงสัยอะไรอีก?”
“ท่าน...”
กู้เป่ยพูดอย่างแข็งกร้าว “ถ้าเจ้ากลัวว่าข้าคิดถ่วงเวลา นั่นแปลว่าเจ้าแค่ต้องการหลอกข้าเท่านั้น อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่กังวลเรื่องการลักพาตัวขุนนาง? คนที่ตระกูลของข้าส่งมาอาจมาถึงเมื่อไหร่ก็ได้ หากเจ้ายังคิดลากเรื่องนี้ต่อไป คนที่ต้องชดใช้ด้วยชีวิตไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้า!”
มิเชลสูญเสียคำพูดไปในทันใด เป็นอีกครั้งที่คนภายใต้ชุดคลุมดูราวกับหุ่นจำลอง
กู้เป่ยหัวเราะออกมาเล็กน้อย
‘ฉันพนันถูก!’
ถ้าเขาเป็นแค่ญาติห่าง ๆ จริง งั้นทำไมเขาถึงรู้จักคลังสมบัติของตระกูลล่ะ? ถ้าเขาเป็นแค่ญาติที่ไม่สำคัญจริง งั้นทำไมมิเชลถึงต้องลักพาตัวเขาตั้งแต่แรก?
เมื่อกู้เป่ยลองคิดดูให้ดี ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่าเรื่องที่เธอพูดมามันโกหกทั้งเพ
มิเชลคงสังเกตเห็นว่า “เซอร์ลิเธอร์” ทำตัวดูน่าสงสัย ดังนั้นจึงคิดทดสอบเขา หากเขางับเหยื่อ อีกฝ่ายคงรู้ได้ในทันทีว่าเขาไม่ใช่เซอร์ลิเธอร์ตัวจริง และไม่มีประโชน์ที่ต้องเก็บไว้
แต่โชคดีที่กู้เป่ยสงบพอจะมองผ่านคำโกหกที่เต็มไปด้วยช่องโหว่นี้
ร่างกายที่เขาใช้อยู่ต้องเป็นสายเลือดแท้ของตระกูลลิเธอร์อย่างไม่ต้องสงสัย!
กลับกลายเป็นว่ากลอุบายของเขานั้นสมบูรณ์แบบจนถึงขึ้นทำให้หญิงสาวลึกลับนางนี้ตะลึงงัน
“นี่คุณหญิงมิเชล หากเจ้าอยากเปิดคลังจริง ๆ ข้าคิดว่าเจ้าควรรีบหน่อยนะ” กู้เป่ยใช้โอกาสนี้เพื่อเยาะเย้ยอีกฝ่าย “เพราะเจ้าก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าตระกูลลิเธอร์ไม่ใช่ตัวตนที่เจ้าควรยั่วยุ”
เกิดความเงียบไปช่วงหนึ่ง
“....ท่านชนะ”
กู้เป่ยเลิกคิ้วอย่างสนุกสนาน
คำพูดของมิเชลราวกับหลุดออกมาจากช่องว่างระหว่างฟันที่กัดแน่น: “ข้าจะพาท่านไปที่คลังเพื่อให้ท่านเปิดประตูให้ซึ่งระหว่างนั้นข้าจะรักษาระยะห่างเอาไว้ และเมื่อประตูเปิดแล้วเราจะปล่อยท่านเป็นอิสระ จากนั้นท่านจะหนีไปไหนก็เรื่องของท่าน ท่านคิดว่าดีรึไม่?”
หลังจากได้ยินดังนั้น กู้เป่ยก็อดยิ้มไม่ได้: “ตกลง!”
เฮ้อ...
ในที่สุดก็เอาหินในใจก้อนใหญ่ออกไปได้เสียที กู้เป่ยเริ่มมองเห็นแสงความหวังที่ดูริบหรี่อีกครั้ง
ขณะที่เขาดีใจที่รอดจากการทรมาน แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็อดตัดเพ้อไม่ได้ว่าตนช่างเป็นผู้ข้ามโลกที่โชคร้ายที่สุด
ผู้อื่นสามารถพึ่งพาสูตรโกงที่ติดตัวมาเพื่อช่วยชีวิตของพวกเขา แต่เขากลับทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองเท่านั้น
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เวลาที่สามารถเบาใจได้
ในเมื่อเรื่องโกหกเกิดขึ้นแล้ว เขาก็ต้องสร้างเรื่องโกหกต่อไปเพื่อเอาชีวิตรอด หญิงบ้าคนนี้ตั้งใจจะพาเขาไปที่คลัง ดังนั้นเขาจึงต้องหาทางหนี มิฉะนั้นพวกเธอจะรู้ว่าเขาโกหก และคงมีแต่ความตายที่รอเขาอยู่
เกมมันเพิ่มเริ่มเท่านั้น!
กู้เป่ยกลับมาสนใจมิเชลอีกอีกครั้ง
มิเชลเดินออกไปราวกับจะแสดงความไม่พอใจ ขณะที่เธอตอกส้นสูงด้วยแรงสุดขีด ในทางเดินที่มืดมิดเธอเรียก ‘พี่น้อง’ ของเธอ:
“แซลลี่ แอนนี่ ได้เวลาไปแล้ว!”
เธอคงวางแผนจะพาเขาไปที่คลังพร้อมกับผู้ติดตามของเธอ
แต่...
ไม่มีใครตอบสนอง ทางเดินยังคงเงียบอย่างที่มันเป็น
โอ้?
ดูเหมือนว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น กู้เป่ยพยายามซ่อนความสุขของเขา
“แซลลี่? แอนนี่?”
มิเชลเพิ่มระดับเสียงของเธอ เสียงที่ฟังดูใจเย็นเริ่มแสดงความผันผวน
ในที่สุดก็มีเสียงตอบกลับมา
“มิเชล มีบางอย่างเกิดขึ้น!”
แม้คำพูดที่ตอบกลับมาจะดูตื่นตระหนก แต่มิเชลยังคงดูไม่สะทกสะท้านกับมัน
ไม่นานก็มีร่างที่สวมเสื้อคลุมซ่อนอยู่ใต้ฮูดร่างหนึ่งรีบเดินออกมาจากความมืด
“ทหารของตระกูลลิเธอร์กำลังจะมาถึงในไม่ช้า! มิเชล นี่ไม่ดีแน่!”
เมื่อได้ยินกู้เป่ยก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่นานความกังวลก็เข้ามาแทนที่
เขาควรจัดการกับญาติจากตระกูลลิเธอร์ที่เขาไม่เคยพบมาก่อนอย่างไรดี?
ในทางกลับกัน หากพวกเขาตามมาทัน กู้เป่ยไม่คิดว่ามิเชลจะปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่เช่นกัน
อา น่าปวดหัว
มิเชลถามอย่างใจเย็น "แอนนี่ แซลลี่อยู่ไหน?”
“ข้า ข้าไม่รู้...”
“แอนนี่บอกข้ามา แซลลี่อยู่ไหน?”
แอนนี่เริ่มพูดตะกุกตะกัก สงสัยคงเป็นเพราะเธอกำลังตื่นตระหนก:
“แซลลี่หายตัวไป.... ขะ ข้าไม่แน่ใจ เธอบอกข้าว่าจะไปดูรอบ ๆ แล้วจู่ ๆ เธอก็หายไปเลย ข้า.... ข้าคิดว่าเธอคงเห็นคนจากตระกูลลิเธอร์และหนีไปคนเดียว! หรือไม่ก็... เธออาจถูกพวกเขาจับ!”
มิเชลยังคงเงียบ
แอนนี่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ แต่เสื้อคลุมไม่สามารถปกปิดความตื่นตระหนกของเธอได้
“มิเชล ถึงเวลาที่เราต้องไปแล้ว หากเรายังลากต่อไปเราจะถูกพวกเขาจับ!”
แต่มิเชลยังคงนิ่งเงียบ
เงียบจนทำให้แอนนี่รู้สึกอึดอัด เธอเป็นราวกับนักแสดงตลกที่เล่นมุกฝืดจนทำให้คนตอบสนองไม่ถูก หนึ่งนาทีผ่านไป สองนาที... บรรยากาศเย็นยะเยือกจนเธอแทบทนไม่ไหว
กู้เป่ยเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้
เขาจงใจลากเสียงโดยแสร้งทำเป็นแปลกใจกึ่งเยาะเย้ย:
“แอนนี่ หรือว่าเจ้าฆ่าแซลลี่ไปแล้ว?”