302 - เจตนาดีไม่มา
302 - เจตนาดีไม่มา
เหตุการณ์นองเลือดผ่านไปหลายวัน ในวันหนึ่งที่เย่ฟ่านกำลังฝึกฝนอยู่ที่ภูเขาด้านหลังก็มีเสียงดังขึ้นจากประตูด้านหน้า
"ศิษย์ของนิกายซวนเยว่ได้มาสักการะภูเขาและขอเข้าพบปรมาจารย์นิกายชิงเซี่ย!"
ไม่นานหลังจากนั้นผู้อาวุโสของนิกายชิงเซี่ย ก็นำชายหนุ่มอายุ 20 ปี ขึ้นไปบนขั้นบันไดหิน ชายหนุ่มคนนั้นตรวจสอบทั้งสี่ทิศทางและรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา
“เจ้าเป็นแค่ลูกศิษย์ของนิกายซวนเยว่แต่เจ้ากำลังส่งเสียงดังที่ประตูภูเขารบกวนการฝึกของเรา และเจ้ายังบอกว่าเจ้าคิดจะพบกับปรมาจารย์นิกายชิงเซี่ยของข้า แม้แต่ผู้อาวุโสของเจ้าที่มาด้วยตัวเองก็ไม่มีคุณสมบัติเข้าพบปรมาจารย์ของพวกเรา”
“ผู้น้อยหลี่โหย่วหรานศิษย์คนที่เก้าของปรมาจารย์นิกายซวนเยว่มาเยี่ยมตามคำสั่งของอาจารย์ของข้า”
หลี่โหย่วหรานสำรวจทั้งสี่ทิศทางและเห็นคราบเลือดบางส่วนที่สระน้ำและบนบันไดหินทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ยิ่งสดใสมากขึ้น
"เจ้าต้องการอะไร?" ผู้อาวุโสของนิกายชิงเซี่ยที่ออกมาต้อนรับถามด้วยความไม่พอใจ
“ข้าได้ยินมาว่ามีการเปลี่ยนแปลงในนิกายชิงเซี่ย นิกายซวนเยว่ของข้าต้องการให้ความช่วยเหลือ ผู้อาวุโสจากนิกายของเราจะมาที่นี่ในเร็วๆนี้” หลี่โหย่วหรานตอบกลับ
“โอหัง พวกเจ้าต้องการครอบครองนิกายชิงเซี่ยของข้าใช่หรือไม่” ผู้อาวุโสทั้งสามโกรธจัด
“ข้าไม่กล้า อาจารย์ของข้าและหัวหน้านิกายของท่านเป็นเพื่อนสนิทกัน ถ้านิกายชิงเซี่ยมีปัญหานิกายซวนเยว่ของข้าจะคอยช่วยเหลือให้พวกท่านผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก”
หลี่โหย่วหรานคาดเดาข้อเท็จจริงของนิกายชิงเซี่ย ในขณะเดียวกันรอยยิ้มของเขาก็สดใสมากขึ้นเรื่อยๆ
"นิกายซวนเยว่ต้องการลงมือปล้นในขณะที่เกิดเพลิงไหม้หรือไม่" มีเพียงยี่สิบหกคนที่เหลืออยู่ในนิกายชิงเซี่ย และทุกคนก็โกรธแค้นในขณะนี้
“เราแค่มาช่วยอย่างจริงใจเท่านั้น” หลี่โหยวหรานกางด้ามพัดในมือออกและพูดอย่างฉะฉานว่า
"อาจารย์ของข้าและประเมินอาจารย์นิกายชิงเซี่ยได้พูดคุยกันเรื่องที่จะรวมสองนิกายเข้าด้วยกันอยู่แล้ว"
เมื่อคำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวไปแล้ว จุดประสงค์ของนิกายซวนเยว่นั้นก็ชัดเจนไม่มีอะไรปิดบังอีกต่อไป
"เจ้า ...... " ศิษย์ของนิกายชิงเซี่ยโกรธจัด
"ยอดเยี่ยมจริงๆ" เย่ฟ่านเดินออกไปและกล่าวว่า
“การรวมสองนิกายเข้าด้วยกันนั้นเป็นเรื่องที่ดี กลับไปบอกอาจารย์ของเจ้าว่าให้นำต้นกำเนิดทั้งหมดของเขามาที่นิกายชิงเซี่ยได้ตลอดเวลา เมื่อเขามาที่นี่แล้วข้าจะแต่งตั้งเขาเป็นรองหัวหน้านิกาย”
"เจ้าคือใคร?"
หลี่โหย่วหรานปิดพัดของเขาอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มของเขาแข็งค้างในขณะที่เขาตะคอกออกไปอย่างเย็นชา
“เจ้าอายุยังน้อย ไม่มีที่ให้เจ้าพูดคุยที่นี่ ข้ากำลังคุยกับผู้อาวุโสของเจ้า ไสหัวออกไปซะ”
นิกายชิงเซี่ยถูกครอบครองโดยเย่ฟ่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาจะยอมให้คนอื่นครอบครองมันได้อย่างไร
"เจ้ากำลังพูดกับข้าเหรอ?" เย่ฟ่านเดินลงบันไดโบราณสีเขียว สายลมอ่อนพัดผเส้นผมของเขาให้โบกสะบัด เขายิ้มและกล่าวว่า
"นี่คือนิกายชิงเซี่ย ข้าจะพูดอะไรก็ได้ เจ้าเป็นลูกศิษย์ของนิกายซวนเยว่แต่เจ้ากลับหยิ่งทะนงอยู่นี่ เจ้าคิดว่านี่เป็นบ้านของเจ้าหรือ?”
“ข้ามาที่นี่ในนามของนิกายซวนเยว่เจ้าซึ่งเป็นลูกศิษย์รุ่นเยาว์ เจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดกับข้า!” หลี่โหยวหรานกางด้ามพัดและมองดูทิวทัศน์จากระยะไกลด้วยท่าทางหยิ่งผยอง
“ไปบอกอาจารย์ของเจ้าให้เตรียมต้นกำเนิดทั้งหมดมาที่นี่ไม่เช่นนั้นข้าจะออกไปหาเขาด้วยตัวเอง!”
เย่ฟ่านหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา แขนยาวของเขาสะบัดออกไปข้างๆเบาๆราวกับปัดฝุ่น
"พรึ่บ"
หลี่โหยวหรานถูกสะบัดออกจากภูเขาทันที เขาปลิวไปในระยะไกลก่อนจะกระแทกลงกับพื้นอย่างรุนแรง
“เจ้า ...... เจ้ากล้าดียังไงถึงได้หยาบคายกับนิกายซวนเยว่ของข้า!”
"ปัง!"
เย่ฟ่านโบกแขนเสื้ออีกครั้ง จู่ๆหลี่โหยวหรานก็มีเลือดทะลักออกมาจากปากและจมูก ใบหน้าของเขาซีดเผือดและเขารีบลุกขึ้นก่อนจะวิ่งหนีไปในทันที
“ดี ดี ดี คราวนี้นิกายชิงเซี่ยของเจ้าจะถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์!” ใบหน้าของหลี่โหย่วหรานกลายเป็นสีเขียวคล้ำ
“หากเจ้ายังคงพูดมากอยู่อย่างนี้เจ้าจะไม่มีโอกาสได้ไปแล้ว” เย่ฟ่านยืนอยู่กับที่โดยไม่ขยับ และแขนเสื้อใหญ่ของเขาโบกสะบัดอย่างต่อเนื่อง
ร่างกายของหลี่โหย่วหรานถูกกระแทกลงกับพื้นอีกครั้ง ฟันในปากของเขาร่วงออกมาทั้งหมดและใบหน้าของเขาบวมเป่งราวกับหัวหมู
…….
ภายใต้ยอดเขาหลักของนิกายชิงเซี่ย น้ำสีมรกตเป็นประกายระยิบระยับและมีต้นกล้วยไม้ที่แกว่งไปมาและแขวนไว้ด้วยดอกไม้สีขาวและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ
ลมพัดผ่านต้นกล้วยไม้และกลีบดอกก็ร่วงหล่นปลิวไปในอากาศ ราวกับกล็ดหิมะสีขาวสดและกลิ่นหอมแรงยิ่งขึ้น
สายน้ำไหลผ่านต้นกล้วยไม้ นำกลีบดอกหอมลอยไปไกล
เย่ฟ่านยืนอยู่อย่างเงียบๆในป่ากล้วยไม้ ในตอนนี้เขาพยายามสัมผัสถึงเต๋าอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
ผ่านไปนานเขาก็หันกลับมาพูดว่า
“นี่อาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง!”
นิกายซวนเยว่ยังสนับสนุนโจรเร่ร่อนบางส่วน แต่ก็ทำอย่างลับๆขนาดและความแข็งแกร่งของพวกเขาคล้ายกับนิกายชิงเซี่ย และสิ่งเดียวที่ทำให้เย่ฟ่านกลัวก็คือพวกเขายังมีผู้นำที่แข็งแกร่งซึ่งในระดับอาณาจักรลับตำหนักเต๋าที่สาม
ในภูมิภาคนี้ถือได้ว่าพวกเขาคือมหาอำนาจที่แข็งแกร่งเป็นลำดับต้นๆ แข็งแกร่งยิ่งกว่านิกายชิงเซี่ย
เย่ฟ่านมีร่างกายที่พิเศษและมีพลังการต่อสู้ที่น่าทึ่ง และถือเป็นบุคคลชั้นยอดในหมู่ผู้ฝึกตนในระดับเดียวกัน แต่สำหรับสัตว์ประหลาดอาวุโสเช่นนี้เขายังอ่อนแอเกินไป
ความแตกต่างของความแข็งแกร่งระหว่างอาณาจักรต่างๆ นั้นใหญ่มาก เช่นเดียวกับการปีนขึ้นบันไดสวรรค์ การก้าวขึ้นหนึ่งขั้นคือ "เซียน" การถอยหลังหนึ่งก้าวคือ "ความตาย" เป็นการปราบปรามผู้ที่อยู่ในอาณาจักรเบื้องล่างโดยสิ้นเชิง
ไม่ว่าเขาจะมีความสามารถเพียงใด หากมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างอาณาจักร มันก็เหมือนกับช่องว่างข้ามรอยแยกแห่งสวรรค์ เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะ
"ถอยหลังและยอมแพ้แก่ผู้เป็นเซียน"
คนของนิกายชิงเซี่ยต่างกังวล นิกายซวนเยว่หากตั้งใจจะทำร้ายพวกเขาเกรงว่าราชาปีศาจที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้
“ไม่เป็นไร พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าจะไปหาพวกเขาเอง” เย่ฟ่านต้องการสัมผัสความเป็นจริง หากเป็นไปได้เขาต้องการโจมตีโดยตรงและสังหารผู้นำนิกายเฒ่าคนนั้นด้วยทักษะการต่อสู้พิเศษ
……
นิกายซวนเยว่อยู่ห่างจากนิกายชิงเซี่ย 900 ลี้ และยังอยู่ใน สถานที่ที่เต็มไปด้วยดินแดนโบราณและลำธารอันเงียบสงบ เมื่อเทียบกับความสง่างามของนิกายชิงเซี่ย สถานที่แห่งนี้มีรัศมีลึกลับเป็นพิเศษ
เย่ฟ่านเคลื่อนไหวอย่างลึกลับ ในตอนนี้ร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงลักษณะภายนอกของเขากลายเป็นคนอื่น
“ต้วนเต๋อขอยืมชื่อเสียงเจ้าหน่อยก็แล้วกัน”
ในขณะเดียวกันไกลออกไปในที่ที่ไม่รู้จักบนท้องฟ้า นักพรตต้วนเต๋อที่ไร้ยางอายลุกขึ้นยืน ในวันนี้เขาจามอยู่บ่อยครั้งโดยไม่ทราบสาเหตุ
"ลูกหมาตัวไหนที่พูดถึงข้า?"
เย่ฟ่านมาถึงนิกายซวนเยว่อย่างง่ายดาย มีลำธารและแม่น้ำหลายสายไหลยาว ต้นไม้โบราณที่บังแสงแดด และเถาวัลย์เซียนซึ่งเชื่อมระหว่างหน้าผาหลายแห่งเข้าด้วยกัน
“หยุด เจ้าเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่” ศิษย์หนุ่มที่ประตูภูเขาถาม
“สวรรค์ของผู้บ่มเพาะไม่มีขอบเขต ข้าเคยได้ยินชื่อที่ยิ่งใหญ่ของนิกายซวนเยว่มาเป็นเวลานาน นักพรตผู้น่าสงสารอยู่ที่นี่และต้องการหารือกับปรมาจารย์นิกายของเจ้า”
เย่ฟ่านโบกไม้ปัดฝุ่นของเขาและแสดงลักษณะของปรมาจารย์นักพรต
เหล่าศิษย์ที่เฝ้าประตูภูเขาตะลึงกับคำพูดนั้นจริงๆ ฝ่ายตรงข้ามต้องการพบปรมาจารย์นิกายของพวกเขา นี่ไม่ใช่ผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่เข้าไปรายงาน
เย่ฟ่านได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาเปลี่ยนสวรรค์มาถึงระดับหนึ่งแล้ว และเขารู้สึกว่ามันจะไม่มีปัญหาใดๆ