ตอนที่ 43 ผ้ารองเบาะ
พนักงานหน้าซีดเผือด เมื่อชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้ขอพบผู้จัดการห้างสรรพสินค้าโดยตรง ถึงจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชายคนนี้ แต่เขาบอกว่าตัวเองนามสกุลลู่
“ทำไมยังยืนอยู่ตรงนี้อีก? ไปสิ!” ใครมาเห็นก็รู้ว่าลู่ชิงสีอารมณ์ไม่ดีและทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ขณะที่พนักงานขายยังยืนงงอยู่ที่เดิม เขาขมวดคิ้วขึ้นและเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ใกล้ ๆ ให้ไปเรียกผู้จัดการ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ก็ยังรีบไปตามผู้จัดการห้างสรรพสินค้าตามที่เขาสั่ง
หลังจากผ่านไปประมาณห้านาที ผู้จัดการจางก็รีบวิ่งเข้ามา เขาจำลู่ชิงสีได้ตั้งแต่อยู่ระยะไกล ความสงสัยบนใบหน้าของเขาถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มกว้างในทันที
“เป็นคุณจริง ๆ ด้วย นายท่านลู่!”
ผู้จัดการจางยื่นมือออกจับมือเขาทันทีที่เขาเข้ามาใกล้ ลู่ชิงสีเพียงแต่มองไปที่มือของพวกเขาโดยไม่แสดงปฏิกิริยาตอบกลับใด ๆ ผู้จัดการจึงชักมือกลับอย่างเขินอาย
“รปภ.บอกผมว่า คนนามสกุลลู่มาที่นี่ ผมก็เดาได้ว่าต้องเป็นครอบครัวของคุณ ไม่คาดคิดเลยว่าคุณจะมา นายท่านลู่กลับมาจากกองทัพแล้วเหรอครับ”
วิธีที่ผู้จัดการจางพูดอย่างถ่อมตน ใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ชายคนตรงหน้ากลับยืนหลังตรง ตอบกลับด้วยท่าทางเย็นชา จนทำให้พนักงานและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประหลาดใจ
“ที่ผมเรียกคุณมาที่นี่ก็เพื่อจะถามคุณสักหน่อย ว่าทำไมถึงปล่อยให้พนักงานขายของคุณมายืนชี้หน้า ดูถูกภรรยาของผม? ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ภรรยาของผมถูกห้ามให้แตะต้องเสื้อผ้าในแผนกของคุณ?” น้ำเสียง แววตา และท่าทางของลู่ชิงสีฉายความเยือกเย็นที่ทำให้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างสั่นสะท้านด้วยความตกใจ
เขากำลังโกรธ ดูเหมือนว่าจะโกรธจัดเสียด้วย
ผู้หญิงที่เขาอยากจะรักและเอาอกเอาใจอย่างสุดซึ้งกลับถูกคนพาลต่อว่า
ผู้จัดการจางเข้าใจสถานการณ์ได้ในทันที
ห้างสรรพสินค้าของที่นี่ คือห้างที่ใหญ่และหรูหราที่สุดในเมือง เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พนักงานจะตัดสินลูกค้าจากเปลือกนอก ผู้จัดการจางเองก็รู้สึกไม่ต่างกันกับพนักงานขาย ที่มักจะมองว่าคนจนก็ควรจะอยู่ในโซนของตัวเอง ไม่ควรมาร้านประเภทนี้ ทำให้หลายครั้งหลายคราเขาทำเป็นเมินเฉยต่อพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพนักงานตนเอง ทว่าวันนี้พวกเขากลับทำพลาดอย่างไม่คาดคิด และไม่รู้ว่าตัวเองจะได้รับความหายนะครั้งใหญ่แบบนี้
ตระกูลลู่เป็นอะไร?
แม้ตระกูลลู่จะพักอยู่ในเมืองนี้ ทว่าชื่อเสียงของเขากลับถูกพูดถึงไปทั่วทั้งจังหวัด
พวกเขามีโรงอาหารผลิตอาหารที่ใหญ่ที่สุดและโรงงานผลิตอิฐ ขนาดที่เจ้าของห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ขาดสภาพคล่องทางการเงิน ก็ยังต้องวิ่งเต้นไปขอกู้เงินจากลู่ชิงไห่
ตอนนี้เจ้านายของเขายืนต่อหน้าลู่ชิงสี เขายังต้องเจียมตัวและถ่อมตัว
“ไปที่แผนกบุคคล ขอรับเงินชดเชย แล้วไม่ต้องกลับมาทำงานอีก” ผู้จัดการจางไล่พนักงานขายออกทันที จากนั้นก็หันไปหาลู่ชิงสีและขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“นายท่านลู่ ผมต้องขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ด้วย ผมผิดเองที่อบรมพนักงานไม่ดี ทางห้างของเราต้องขอโทษด้วยครับ วันนี้ก็เดินเลือกดูของที่ต้องการต่อดีไหมครับ หากอยากได้อะไรแจ้งกับพนักงานแล้วนำกลับไปเลยครับ”
ลู่ชิงสีบ่นอย่างหงุดหงิด “ไม่ว่าภรรยาของผมจะชอบอะไร ไม่จำเป็นต้องลงบัญชีให้เราหรอก ผมจัดการเองได้ แค่นี้แหละ พวกคุณไปกันได้แล้ว”
จากนั้นเขาก็หันไปหาพนักงานขายคนอื่น และขอให้เธอถอดชุดเดรสในหุ่นที่เจียงเหยาดูไว้เมื่อกี้ ก่อนจะนำไปคิดเงินที่เคาน์เตอร์
เจียงเหยาดึงเขาไว้และพูดว่า “ฉันยังไม่ได้ลองเลยนะคะ ไม่แน่ใจว่าจะเหมาะกับฉันไหม”
“ไม่กี่ร้อยเอง ถ้าใส่ได้ก็ใส่ ไม่ชอบก็เอาไปปูที่นอนให้กับเจ้าหมาน้อยเสียวเสี้ยวซะ” ลู่ชิงสียิ้มเยาะโดยไม่ลังเลและกังวล เขาจับมือเจียงเหยาและเดินไปเคาน์เตอร์คิดเงิน