953-954
7/10
Ep.953
ว่าแต่ศิลานิลกาฬ เมื่อเทียบกับศิลารวมวิญญาณแล้ว อันไหนมันดีกว่ากัน?
เรื่องนี้ซูเฉินยังไม่ทราบ หลังจากขบคิดเล็กน้อย เขาก็เปิด [พื้นที่เลี้ยงงสัตว์] ด้วยสีหน้าเรียบเฉย สนทนากับโลกันต์เยือกแข็ง
“เสี่ยวกู่ นายรู้จักศิลานิลกาฬไหม?”
“เจ้านาย ศิลานิลกาฬมีความคล้ายคลึงกับศิลารวมวิญญาณ มันสามารถช่วยยกระดับมหาเพลิงเอกลักษณ์อย่างพวกเราได้” โลกันต์เยือกแข็งตอบทันที
“งั้นเสี่ยวเล่ยต้องการศิลานิลกาฬกี่ก้อนถึงจะสามารถเลื่อนขั้นเป็นเพลิงเทวะได้?” ซูเฉินถามต่อ
เพลิงอสนีเก้าวิญญาณ ปัจจุบันอยู่แค่ขั้น 8 เท่านั้น ยังถือว่าระดับต่ำเกินไป มีแต่ต้องเลื่อนขั้นสู่เพลิงเทวะเท่านั้น มันจึงจะได้มีบทบาทกับเขาบ้าง
“ศิลานิลกาฬมีคุณภาพดีกว่าศิลารวมวิญญาณ แต่จำเป็นต้องใช้อย่างน้อยสี่ก้อน”
โลกันต์เยือกแข็งนึกทบทวนพักหนึ่ง กอ่นตอบกลับ
อย่างน้อยสี่ก้อน?
ซูเฉินทวนคำ หันไปถามเว่ยหยางว่า “ในมือแกยังมีศิลานิลกาฬอยู่อีกไหม?”
ศิลานิลกาฬเพียงสองก้อน เห็นได้ชัดว่าไม่เพียงพอต่อความต้องการ มิอาจเติมเต็มความตะกละของซูเฉินได้ หากในมือเว่ยหยางยังมีอยู่ เขาตั้งใจจะชิงมันมาทั้งหมด
“ไม่มีแล้ว”
เว่ยหยางกล่าวตามตรง
ศิลานิลกาฬมิใช่กะหล่ำปลี เขาได้มาสองก้อนถือว่าโชคดีแค่ไหนแล้ว ยังไม่พูดถึงเรื่องที่ว่า ต่อให้มี เขาก็จะไม่มีทางพูดมันออกมา
“ไม่มีจริงๆน่ะหรอ?”
ซูเฉินจับจ้องเว่ยหยาง ในดวงตาเริ่มฉายแววไม่เป็นมิตร
“ซูเฉิน ข้าไม่มีแล้วจริงๆ เจ้าอย่างรังแกผู้อื่นให้มันมากเกินไป!” เว่ยหยางกัดฟันกล่าว
เขายอมกรีดเนื้อก้อนโตไปแล้ว หากซูเฉินยังไม่ยอมรามือ เห็นทีคงมีแต่ต้องงัดกันซักตั้ง
ดูจากสีหน้าของเว่ยหยางแล้วไม่น่าจะโกหก ซูเฉินกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ไม่มีก็ไม่มีสิ ทำไมต้องตื่นเต้นนัก? เหมือนฉันไปปล้นของแกอย่างงั้นแหละ”
เว่ยหยางเกือบสำลักประโยคนี้ ตนเพิ่งถูกรีดไถศิลานิลกาฬไป แบบนี้มันต่างอะไรกับการถูกปล้น?
ผู้ฝึกตนจากหมื่นเผ่าพันธุ์ไร้ยางอายเช่นนี้กันทุกคนเลยใช่หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม เขาได้เพียงพร่ำบ่นในใจ แต่ไม่กล้าพูดอะไรต่อหน้าซูเฉิน
ซูเฉินเองก็ไม่ต้องการเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกเช่นกัน เขานำ [รถศึกอัจฉริยะ] ออกมา กวักมือเรียกฟางฉีซาน
“เหล่าฟาง ไปกันเถอะ”
“อะ .. โอ้!”
ฟางฉีซานรีบตอบกลับ วิ่งขึ้นรถศึกอย่างรวดเร็ว
หากซูเฉินจากไปแล้วทิ้งเขาไว้ที่นี่คนเดียว เขาคงถูกจับไปทรมานจนเหลือแค่เศษเนื้ออย่างแน่นอน
ตอนนี้ เอาจริงๆเขาเกิดความกังวลเล็กน้อยว่าซูเฉินจะทิ้งเขาไว้ตามลำพังหรือไม่ โชคดีก็คือซูเฉินยังคงไม่บิดพริ้ว
“เสี่ยวจือ ออกไปจากที่นี่”
พอขึ้นรถ ซูเฉินออกคำสั่งทันที
“รับทราบ” [รถศึกอัจฉริยะ] รับคำสั่ง ขับจากไปอย่างสง่าผ่าเผย
“ในที่สุดก็ไปเสียที …”
เฝ้ารอจน [รถสึกอัจฉริยะ] หายลับไปจากสายตา เว่ยหยางถอนหายใจโล่งอก
“เหล่าฟาง ที่นี่น่าจะอยู่ไม่ไกลจากเมืองมู่กวง ถูกไหม”
ระหว่างทาง ซูเฉินเอ่ยถาม
งานประลองระดับดวงดาวยังเหลือเวลาอีกหลายเดือน ซูเฉินต้องการใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี้ตระเวนไปรอบๆ เผื่อว่าจะสามารถเก็บศิลารวมวิญญาณหรือศิลานิลกาฬติดไม้ติดมือมาบ้าง แล้วยกระดับเพลิงอสนีเก้าวิญญาณเป็นเพลิงเทวะ
“ก็ใกล้อยู่นะ ใช้เวลาไม่เกินหนึ่งวันก็น่าจะถึงแล้ว” ฟางฉีซานตอบ
“งั้นคุณนำทางไปเมืองมู่กวง ถึงที่หมายเมื่อไหร่ คุณก็ออกไปได้” ซูเฉินสั่ง
ก่อนหน้านี้เขาเคยลั่นวาจาไปแล้ว ว่าเขาจะยอมปล่อยฟางฉีซานไปเมื่อเขาออกจากเมืองเฮยหยา
“ขอบพระคุณผู้อาวุโส!” ฟางฉีซานกล่าวอย่างปลื้มปิติ ความกดดันในหัวใจคลายลง
แม้ซูเฉินจะแข็งแกร่งชนิดหาผู้ใดเทียมเทียบ แต่เขาล่วงเกินผู้คนเยอะเกินไป หากยังติดตามต่อ ก็ยากจะรับประกันว่าจะไม่โดนลูกหลง
สามารถแยกตัวจากไปได้ในเวลานี้ เป็นเรื่องที่ดีมาก
ซูเฉินพยักหน้า ก่อนเอ่ยถามว่า “เหล่าฟาง ขุมกำลังไหนที่ปกครองเมืองมู่กวงอยู่?”
ตอนนี้สถานะถูกเปิดเผยแล้ว ซูเฉินไม่เพียงแต่ต้องระวังนักพรตเทียนซ่านเท่านั้น แต่ต้องคอยระวังตระกูลหานและตระกูลกู่ด้วยเช่นกัน จะดีกว่าหากไม่เข้าไปในอาณาเขตของอีกฝ่าย
8/10
Ep.954
“เมืองมู่กวงอยู่ภายใต้การควบคุมของขุมกำลังเผ่าอสูรอัคคี” ฟางฉีซานตอบทันที
เผ่าอสูรอัคคี?
ซูเฉินทวนคำ เอ่ยถามว่า “กำลังรบของพวกเผ่าอสูรอัคคีเป็นยังไงบ้าง?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อเผ่าอสูรอัคคี จึงอยากจะทราบข้อมูลเพิ่มเติมของพวกมัน
“ผู้แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าอสูรอัคคีมีชื่อว่าฮั่วฮวน เป็นทั้งผู้วิวัฒนาการและปรมาจารย์มนตราธาตุไฟในระดับเทวะขั้น 4 ครอบครองกำลังรบแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ไม่ได้ด้อยไปกว่าระดับเทวะขั้น 5 ทั่วไปเลย”
ฟางฉีซานอธิบายอย่างละเอียด พร้อมเอ่ยเตือนอีกครั้ง
“ชาวอสูรอัคคีมีอารมณ์ฉุนเฉียวมาก แค่ไม่เห็นด้วยหรือพูดไม่ถูกหูก็ต่อสู้กันแล้ว เจ้าต้องระวังให้ดี”
ซึ่งซูเฉินเองก็เป็นผู้ปกครองที่ลงมือโดยไม่เอ่ยอะไรซักคำเช่นกัน เขากังวลจริงๆว่าซูเฉินจะเกิดความขัดแย้งกับชาวอสูรอัคคีทันทีที่เข้าเมืองมู่กวง
ซูเฉินไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ไม่เกี่ยวหรอกว่าเผ่าอสูรอัคคีจะอารมณ์ฉุนเฉียวหรือไม่ ตราบใดที่มันไม่แสดงท่าทีโมโหหงุดหงิดต่อหน้าเขา เท่านั้นก็พอ
ต่อมา ซูเฉินเอนตัวลงบนเก้าอี้คนขับ หลับตาพักผ่อน
[รถศึกอัจฉริยะ] บินมาทั้งวัน ในที่สุดเมืองใหญ่ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา
“ผู้อาวุโส พวกเรามาถึงเมืองมู่กวงแล้ว” ฟางฉีซานเรียก
ซูเฉินค่อยๆลืมตาขึ้น กวาดมองไปยังเมืองมู่กวง ออกคำสั่งแก่ [รถศึกอัจฉริยะ] “เสี่ยวจือ เข้าไปในเมือง”
เมืองมู่กวงก็เหมืนกับป่าหยานเย่ ด้านนอกถูกห่อหุ้มไว้ด้วยม่านพลังงาน ใครก็ตามที่อยากเข้าไป จำเป็นต้องผ่านช่องทางที่เตรียมเอาไว้ให้
ซึ่งตรงจุดนั้นจะมีชาวอสูรอัคคีเฝ้าอยู่ ทุกคนที่จะเข้าไปข้างในต้องจ่ายหินพลังงานมิติจำนวนหนึ่ง
ซูเฉินเก็บ [รถศึกอัจฉริยะ] เดินไปยังทางเข้าพร้อมกับฟางฉีซาน
ข้างหน้ามีผู้คนมากมาย ซูเฉินมิได้แหกกฏ ต่อแถวอย่างใจเย็น
เมื่อถึงคิว ชาวอสูรอัคคีกวาดสายตาสำรวจมองซูเฉิน เอ่ยเสียงเย็นว่า “เผ่ามนุษย์ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป”
“เอ๋?”
ซูเฉินผงะไปครู่หนึ่ง เอ่ยถามอย่างงงงวยว่า “ทำไม?”
เมื่อกี้เขาเห็นอยู่ชัดๆ ว่ามีพวกต่างเผ่าสายพันธุ์อื่นตั้งหลายคนสามารถเข้าไปในเมืองมู่กวงได้ แล้วเหตุใดมนุษย์ถึงไม่ได้รับอนุญาต?
“ไม่มีเหตุผล นี่คือกฏของเมืองมู่กวง รีบออกไปซะ ไม่งั้นก็อย่าตำหนิว่าพวกเราหยาบคาย!”
ทหารยามเผ่าอสูรอัคคีตวาดเสียงเย็น
ได้ยินคำเหล่านี้ ฟางฉีซานลอบร้อง ‘ท่าไม่ดีแล้ว’ ในใจ
ซูเฉินคือบุคคลประเภทใดกัน? เขาคือบุคคลที่กระทั่งสัตว์ร้ายมิติระดับเทวะขั้น 4 ก็ยังยอมก้มหัวให้ ทว่าทหารยามเผ่าอสูรอัคคีกลับกล้าพูดใส่ซูเฉินด้วยทัศนคติเช่นนี้! อ๊าา! นี่มันคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม?
ฟางฉีซานจินตนาการฉากต่อไปได้ทันที ว่าทหารยามผู้นี้ชะตาขาดแน่นอน! และอาจเป็นไปได้ว่าทั้งเมืองมู่กวงอาจโดนลูกหลงไปด้วย จนสุดท้ายเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้น!
และหากเป็นแบบนั้น เขาคงไม่สามารถแแยกตัวจากไปเพียงลำพังได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขามาที่นี่พร้อมกับซูเฉิน
“แกควรมีคำอธิบายที่เหมาะสมให้กับฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะคิดว่าแกกำลังเลือกปฏิบัติต่อเผ่ามนุษย์!”
น้ำเสียงของซูเฉินค่อยๆเย็นชา ตามตัวเขาแผ่จิตสังหารออกมา
ในฐานะสมาชิกเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาจะไม่ยอมปล่อยให้มีการเลือกปฏิบัติทางสายพันธุ์
หากมีใครกล้าทำ เขาจะซ้อมมันเอง ซ้อมจนกว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนความคิด!
“อธิบายให้เจ้าฟัง?” ทหารยามเผ่าอสูรอัคคีแค่นเสียงเบาๆ กล่าวด้วยใบหน้าเหยียดหยาม “เจ้าหนู เจ้ารู้ไหมว่าที่นี่คือสถานที่ใด? มันคือเมืองมู่กวง! เป็นอาณาเขตของเผ่าอสูรอัคคีเรา! ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้เผ่ามนุษย์อ่อนแอฟัง ไสหัวไปซะ! หรือจะให้ข้าฆ่าเจ้า!”
ประกายเย็นเยียบทอวาบในแววตาของซูเฉิน ระเบิดพลังแห่งจิตวิญญาณออกมา พันธนาการทหารยามเผ่าอสูรอัคคีเอาไว้ แล้วฉกมือเข้าบีบคอ
“พวกที่กล้าดูถูกเผ่ามนุษย์ต่อหน้าฉัน ไม่เคยมีใครรอดชีวิตไปได้!”
ซูเฉินตะคอกเสียงเย็น จากนั้นหักคอทหารยยามเผ่าอสูรอัคคีโดยตรง