ฟ้าส่งข้ามาเติมรัก บทที่ 7
สองสามวันที่ผ่าน เว่ยเหนียนเหยาได้ขอให้สามีพานางไปเลือกซื้อของที่ร้านเล็กๆ ในหมู่บ้าน เนื่องจากนางเห็นว่า ข้าวสารและเครื่องปรุงต่างๆ นั้นร่อยหรอจนแทบจะหมดลงไปแล้ว
หลังจากที่ช่วยกันขนข้าวของกลับมาเก็บไว้ที่บ้าน นางจึงขอให้สามีช่วยดูแลบุตรชายในช่วงนี้ โดยอ้างกับสามีไปว่า ในช่วงนี้ร่างกายของนางยังไม่แข็งแรง อีกทั้งบุตรชายทั้งสองยังเล็ก หากช่วงนี้สามีต้องออกไปขึ้นเขา เกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
หานตงเองเห็นว่า ในเมื่อไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกินไปอีกพักใหญ่ เรื่องที่ภรรยาขอร้องก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร ยังไงที่ผ่านมาเขาก็ดูแลบุตรชายทั้งสองมาเพียงคนเดียวอยู่แล้ว
เว่ยเหนียนเหยาเร่งมือปักผ้าตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน นางรู้ว่าตอนนี้ทางบ้านเหลือเงินอยู่ไม่มากแล้ว ที่ทางที่จะเอาไว้เพาะปลูกก็ไม่มี เนื่องจากทางบ้านสามีซื้อที่ให้เฉพาะเพียงพอปลูกบ้านหลังนี้เท่านั้น
หญิงสาวถอนหายใจ ก่อนจะมองดูผลงานที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้า
เฮ้อ ในที่สุดก็เสร็จเสียที ร่างบางขยับคอขยับไหล่ไล่ความเมื่อยขบที่เกาะกินตามร่างกาย หลังจากตรวจทานความเรียบร้อยของงานอีกรอบ นางก็พาร่างที่ไร้เรี่ยวแรงจากการโหมงานมาตลอดวันไปนอนบนเตียงก่อนจะหลับใหลไปในที่สุด
"ท่านพี่เจ้าคะ วันนี้ข้าอยากจะเข้าไปในตัวเมืองสักหน่อย"
หานตงขมวดคิ้วมองหน้าภรรยาอย่างสงสัย แต่ยังไม่เอ่ยปากสอบถามอะไรเหมือนจะรอให้อีกฝ่ายพูดต่อ
"คือข้าปักผ้าเช็ดหน้า ถุงหอม และถุงเงินเอาไว้ ข้าอยากนำมันไปขายเจ้าค่ะ"
"ถ้าอย่างนั้นคงต้องรีบกันหน่อย ตอนยามซื่อจะมีเกวียนรับจ้างขนคนเข้าเมือง เดี๋ยวข้าจะเอาบุตรทั้งสองไปฝากไว้กับแม่อาเหยาก่อน จากนั้นจะกลับมารับเจ้าอีกที่"
"ไม่เจ้าค่ะท่านพี่ ครั้งนี้ข้าอยากพาเขาทั้งสองไปด้วย หากของพวกนั้นพอขายได้ราคา ข้าอยากซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้พวกเขาคนละชุด"
ชายหนุ่มหันมองหน้าบุตรชายทั้งสอง ซึ่งตอนนี้คนทั้งคู่ก็กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน แววตาออดอ้อนและวาดหวังทำให้คำปฏิเสธทั้งหมดถูกกลืนลงไปในกระเพาะทันที
บัดนี้ลูกชายทั้งสองของเขาแม้จะไม่ได้อวบอ้วนแต่ก็ไม่ผอมแห้งเหมือนแต่ก่อนแล้ว เสื้อผ้าที่ใส่อยู่มองดูคับแคบจนแทบจะใส่ไม่ได้
เขาตัดสินใจแล้วว่า วันนี้หลังจากเข้าเมือง หากผ้าปักของภรรยาขายไม่ออก พรุ่งนี้เขาจะชวนเพื่อนๆ ออกขึ้นเขาล่าสัตว์ แม้อาจจะต้องเสี่ยงภัยเข้าไปลึกหน่อย แต่ยังไงต้องหาอะไรออกมาขายให้ได้ เช่นนี้ครอบครัวของเขาจึงจะมีเงินเพื่อนำมาซื้อเสื้อผ้าให้บุตรชายสักคนละชุด
เมื่อเห็นว่าได้เวลา หานตงเดินนำบุตรและภรรยาออกมารอรถตรงหน้าหมู่บ้าน รถเกวียนเล่มนี้เป็นรถของหมู่บ้านถัง ซึ่งจะออกรับคนที่จะเข้าตัวเมืองทุกๆ 3 วัน โชคดีที่วันนี้มีคนเข้าตัวเมืองน้อย ทางครอบครัวของหานตงจึงไม่ต้องเบียดเสียดกับคนอื่นมากนัก
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ทั้งสี่ชีวิตก็สามารถเดินทางมาจนถึงตัวเมือง หลังจากลงจากรถ เว่ยเหนียนเหยาก็ให้สามีพาไปที่ร้านขายผ้าทันที
ตอนนี้ต้องลองดูว่า ผ้าของนางจะขายได้หรือไม่ นางพึงเคยมาที่นี่ ย่อมไม่รู้ว่ารสนิยมของผู้คนว่าเป็นอย่างไร การปักลวดลายจึงใช้ลายดอกไม้เป็นหลัก
หานตงพาภรรยาไปที่ร้านเชิงอี้ชิง ร้านนี้ไม่ถือว่าเป็นร้านใหญ่นัก หากแต่ความเป็นมากลับไม่ธรรมดา เนื่องจากร้านร้านนี้เป็นเพียงแค่สาขาย่อยแห่งหนึ่งเท่านั้น สาขาหลักที่แท้จริงกับตั้งมั่นคงอยู่ในเมืองหลวง
ว่ากันว่าหากสินค้าที่นำมาขาย สามารถทำให้คนดูแลที่นี่พอใจได้ อาจจะมีโอกาสนำไปขายที่สาขาหลักในเมืองหลวงเลยทีเดียว
เว่ยเหนียนเหยาก้าวเท้าเข้าไปในร้านด้วยความมั่นใจ ชีวิตที่ผ่านมา กว่านางจะประสบความสำเร็จ นางผ่านการทำงานมามากมาย เรื่องแค่นี้ถือว่าเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วสำหรับนาง
"ฮูหยิน คุณชาย ไม่ทราบว่าพวกท่านต้องการซื้อหาสิ่งใดเจ้าคะ"
สาวน้อยที่ดูแลหน้าร้าน ตรงเข้ามาสอบถามอย่างนอบน้อม
เว่ยเหนียนเหยารู้สึกพอใจในการอบรมคนงานของร้านนี้มาก ดูจากการแต่งตัวของนางและครอบครัวคนทางร้านก็น่าจะทราบว่า พวกนางน่าจะมีฐานะไม่ดีนัก แต่หญิงสาวนางนี้กลับไม่มีแววตาดูแคลน ซ้ำกับเข้ามาสอบถามอย่างนอบน้อม
"น้องสาว พวกข้าจะนำผ้าปักมาขาย ไม่ทราบว่าทางร้านพอจะรับซื้อหรือไม่"
"ถ้าอย่างนั้น ข้าขอดูชิ้นงานของท่านได้หรือไม่เจ้าคะฮูหยิน"
เว่ยเหนียนเหยาหยิบถุงใส่เงินส่งให้อีกฝ่ายดู เพียงแค่อีกฝ่ายเห็นถุงผ้าปักลายตรงหน้า สีหน้าก็ฉาบยิ้มขึ้นอีกเท่าตัว
"โอ้ ช่างงดงามเหลือเกินเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยเห็นลายปักแบบนี้มาก่อนเลย เชิญฮูหยินและทุกท่านเข้ามานั่งด้านในก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะรีบไปแจ้งข่าวกับนายหญิงสักครู่
หลังจากที่ให้อีกฝ่ายนั่งรออยู่ที่โถงต้อนรับ หญิงสาวนางนั้นก็หายเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นานนางก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับหญิงสาวอีกคน
หญิงสาวที่มาใหม่นี้ มีรูปร่างบอบบางสมส่วน ดวงตาแววหวาน มองดูก็รู้ว่าเป็นหญิงสาวที่มากความรู้ อายุอานามก็น่าจะมากกว่าเจ้าของร่างนี้ประมาณสองถึงสามปี
เว่ยเหนียนเหยารีบลุกขึ้นทำความเคารพผู้มาใหม่ทันที
"เถ้าแก่เนี้ย"
"เถ้าแก่เนี้ยอะไรกัน ข้ายังไม่แก่แบบนั้นเสียหน่อย เรียกข้าว่าพี่ชุนเหมยเถอะ"
หญิงสาวตรงหน้าเอ่ยอย่างอารมณ์ดี หึ หึ ก็จะไม่ให้นางอารมณ์ดีได้อย่างไร อยู่ๆ เงินก็ตกจากฟ้าลอยเข้ามาเข้ากระเป๋านางก้อนโตแบบนี้
ถุงเงินที่เด็กในร้านนำไปให้นางดู ล้วนตัดเย็บอย่างประณีต ลายปักดอกเหมยกุ้ยอ่อนช้อยราวกับจะผลิบานออกมาจากผ้า นางไม่เคยเห็นฝีเข็มที่ปักเย็บแบบนี้เลยสักครั้ง ครั้งนี้คาดว่านางจะเก็บเพชรเม็ดงามขึ้นมาจากโคลนตมแท้ๆ
"ไหน ไหน ข้าขอดูผ้าปักของเจ้าทั้งหมดหน่อย ไม่ทราบว่าน้องสาวเอาอะไรมาเสนอขายบ้าง"
เว่ยเหนียนเหยายิ้มรับถ้อยคำคนตรงหน้า ช่างเป็นยอดนักขายแท้ๆ เพียงคำพูดไม่กี่คำก็สามารถสร้างความสนิทสนมกับนางราวกับรู้จักกันมาเป็นแรมปี
"พี่ชุนเหมย วันนี้ข้านำ ถุงเงิน ถุงเครื่องหอม กับผ้าเช็ดหน้ามาให้ท่านดูเจ้าค่ะ"
หญิงสาวจัดเรียงสิ่งของรวมกันเป็นชุด เพื่อสะดวกในการเสนอขายสินค้า
ชุนเหมยรับของสามสิ่งเข้ามาดูรายละเอียด นางพบว่า ไม่ว่าจะเป็นถุงใส่เงิน ถุงใส่เครื่องหอม หรือผ้าเช็ดหน้า ล้วนแล้วแต่เป็นลวดลายเดียวกัน อีกทั้งการเก็บชายผ้าเช็ดหน้ากับมีการใช้ด้ายสร้างลวดลายสวยงามบนบริเวณริมผ้า ยิ่งทำให้ผ้านี้สวยงามแปลกตาขึ้นไปอีก
"พี่ชุนเหมยเจ้าคะ สิ่งที่ท่านเห็นนี้ข้าจะให้ท่านนำเสนอขายเป็นชุดเจ้าค่ะ ท่านเห็นว่าเป็นอย่างไรเจ้าคะ"
"ดี ดียิ่งนัก เจ้ารู้หรือไม่ว่า ทุกวันพวกคุณหนูพวกนั้นเข้ามารื้อค้นร้านค้าเพื่อนำมาเปรียบเทียบกับลวดลายปักบนถุงหอมที่นางชอบบ้าง บนลายผ้าเช็ดหน้าบ้าง แบบนี้ต่อไป ข้าจะเสนอขายของไปให้ยกชุดซะเลย จะได้ไม่ต้องเรื่องมากกันอีก ว่าแต่วันนี้เจ้านำมาให้ข้ากี่ชุดละ"
"ทั้งหมดมี ห้าชุดเจ้าค่ะ มีลายดอกเหมยกุ้ยสามแบบ ดอกหลันฮวา2แบบเจ้าค่ะ"
"แล้วเจ้าจะขายสักเท่าไหร่"
"พี่ชุนเหมยข้าไม่เคยทำการค้าด้านนี้มาก่อน ได้แต่หวังความเมตตาจากพี่สาวเจ้าค่ะ"
ชุนเหมยเห็นหญิงสาวตรงหน้าเอ่ยขึ้นอย่างซื่อตรงไร้เล่ห์เหลี่ยม ในใจยิ่งเมตตา ประกอบกับมองเลยไปยังเด็กน้อยทั้งสองที่ส่งสายตาออดอ้อนคาดหวัง หัวใจยิ่งเหลวเป็นสายน้ำ
"เอาแบบนี้เถอะ ปรกติร้านข้าซื้อของพวกนี้ชิ้นหนึ่งมากที่สุดไม่เกิน สามร้อยอีแปะ แต่ลวดลายงานของเจ้าสวยงามแปลกตา ข้าจะซื้อเจ้าในราคาชุดละ ห้าตำลึงเงิน เจ้าว่ายังไง"
"ข้าเอาตามที่ท่านแนะนำเจ้าค่ะ"
เว่ยเหนียนเหยารู้ว่า ชุนเหมยให้ราคาที่ดีที่สุดแก่นางแล้ว ตอนแรกนางก็ไม่ได้หวังว่าจะขายได้ราคาดีขนาดนี้ ตอนนี้นางรู้สึกดีใจจนเนื้อเต้นเลยทีเดียว
"พี่ชุนเหมยไม่ทราบว่า ท่านมีเวลาหรือไม่ ข้ามีการค้าอีกอย่างจะขอคำแนะนำจากท่านเจ้าค่ะ"
"ได้สิ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวข้าจะให้เด็กๆ พาบุตรชายและสามีของเจ้าไปนั่งกินของว่างรอที่ในห้องโถงในก่อนดีหรือไม่"
"ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดียิ่งแล้ว หานชิง หานเหนียนยังไม่รีบเข้ามาขอบคุณท่านป้าอีก"
หานตงนำบุตรชายทั้งสองเดินเข้ามาขอบคุณ ก่อนจะแยกตัวเดินตามคนนำทางไปยังห้องโถงชั้นใน หญิงสาวเมื่อเห็นดังนั้น จึงหยิบผ้าชิ้นหนึ่งขึ้นมาวางตรงหน้าชุนเหมย บนผ้าปรากฏรูปแบบของเสื้อผ้าอยู่ชุดหนึ่ง
เว่ยเหนียนเหยาใช้ประสบการณ์เจ้าแม่ขายตรงอันดับหนึ่ง ก่อนร่างสร้างฝันให้ชุนเหมยจินตนาการรูปแบบเสื้อผ้าไปด้วยกัน ยิ่งฟังชุนเหมยยิ่งเห็นเงินทองร่วงหล่นมาจนเต็มห้องโถงเต็มไปหมด
"วิเศษ วิเศษ สิ่งที่เจ้าพูดมาวิเศษมาก นอกจากเราจะขายชุดพวกนี้ได้ ผ้าคาดเอว ผ้าเช็ดหน้า และสิ่งอื่นๆ ล้วนสามารถนำมาต่อยอดการขายได้ทั้งสิ้น"
"ใช่แล้วเจ้าค่ะ"
เนื่องจากภายในบ้าน เว่ยเหนียนเหยาหาได้เพียงเศษถ่านจึงนำมาวาดแบบลงบนผ้า ไม่สามารถหาดินสอ หรือดินสอสีมาช่วยสร้างจินตนาการได้ นางจึงต้องอาศัยทักษะในการพูด เพื่อให้ชุนเหมยสามารถจินตนาการเสื้อผ้าตามแบบที่นางเขียนขึ้นมาได้
"แล้วการค้าชิ้นนี้เจ้าจะขายข้ายังไง"
"การค้าชิ้นนี้ข้าจะขอไม่ขาย แต่จะขอเป็นการแบ่งกำไร สองในสิบส่วน ท่านเห็นว่าเป็นอย่างไรเจ้าค่ะ"
ชุนเหมยอึ้งไปเล็กน้อย ด้วยไม่คิดว่าจะได้รับข้อเสนอการค้ารูปแบบนี้
"พี่ชุนเหมยโปรดวางใจ หลังจากผ้าชุดนี้ออกไป ตัวข้ายังมีแบบอื่นๆ อีกมายมาย แน่นอนว่าต้องนำเสนอให้กับร้านท่านเพียงร้านเดียว"
"ได้ตกลงตามนี้ ข้าจะรีบตัดเย็บให้เรียบร้อย หลังจากนี้เจ็ดวัน ขอให้เจ้ากลับมาอีกครั้ง ข้าจะนำเสื้อที่ตัดเย็บเสร็จแล้ว มาให้เจ้าตรวจดู ส่วนของที่ซื้อขายกันในวันนี้เป็นเงิน2ตำลึงทองกับอีก5ตำลึงเงินเดียวข้าจะให้เด็กๆ นำเงินมาให้เจ้า"
"พี่ชุนเหมยเจ้าคะ ถ้ายังงั้นข้าจะขอซื้อเสื้อผ้าให้กับบุตรชายและสามีของข้าสักคนละสองชุด ไม่ทราบว่าราคาเสื้อผ้าอยู่ที่เท่าใดเจ้าคะ และข้าอยากได้ผ้ากับด้ายชั้นดีเพิ่มอีกด้วยเจ้าค่ะ"
"เอาอย่างนี้เถอะ เสื้อผ้าที่เจ้าต้องการ ถือว่าข้าให้เป็นของขวัญแรกพบ เดียวข้าจะให้เด็กในร้านพาเจ้าไปเลือกดู ส่วนผ้ากับด้ายนั้นประเดี๋ยวข้าจะให้เด็กๆ นำเจ้าเลือกดูอีกที่"
"เรื่องเสื้อผ้านั้นขอให้ข้าจ่ายเงินเถิดเจ้าค่ะ แค่ท่านเมตตาซื้อผ้าปักของข้าในราคาสูงเพียงนั้นก็ถือว่าช่วยข้ามากแล้ว"
"ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ"
ชุนเหมยกำชับเด็กในร้านให้พาหญิงสาวไปเลือกชุดเสื้อผ้า จากผ้าเนื้อดีโดยไม่ต้องบอกราคา จากนั้นให้พาเดินไปดูผับผ้าเนื้อดีกับด้านคุณภาพสูงที่ทางร้านมีอยู่ หลังจากเลือกอยู่ชั่วครู่ นางก็ได้ เสื้อผ้าเนื้อดีสีเขียวเข้ม กับสีเขียวขี้ม้ามาอย่างละ2 ชุด ให้กับบุตรทั้งสอง
ส่วนของสามีนางเลือกเป็นสีกรมท่า ซึ่งนางคิดว่าสามีของนางน่าจะชอบเสื้อผ้าสีแบบนี้มากกว่าสีที่สดใสเป็นแน่
เมื่อเลือกเสื้อผ้าเสร็จแล้ว นางจึงเดินไปเลือกผ้าเนื้อดีสีชมพูอ่อน สีเขียวอ่อน และสีเหลืองอ่อนมาอย่างละพับ จากนั้นจึงเลือกดูด้ายเพิ่มมาอีก 20สี นางสังเกตเห็นว่า ผ้าและด้ายที่นางเลือกมีสีและคุณภาพดีกว่าของที่นางมีอยู่เป็นอันมาก
เกรงว่าแค่ผ้าและด้ายที่ซื้อไปนี่เงินที่ได้มาก็แทบจะหมดแล้ว แต่อย่างไรก็ต้องตัดใจซื้อเพราะหากว่านางใช้ของที่มีคุณภาพดี คาดว่าผลงานที่ออกมาน่าจะได้ราคาสูงกว่าที่เป็นอยู่
นางเดินกลับมาที่ห้องโถงปรากฏว่า สามีและบุตรชายได้มานั่งรออยู่แล้ว นางจึงนำเสื้อผ้าที่เลือกมาลองทาบทับเข้ากับตัวบุคคลทั้งสาม ปรากฏว่าของบุตรชายหลวมไปเล็กน้อย ซึ่งนางก็เห็นว่ากำลังดี เพราะบุตรชายกำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต ส่วนของสามีกับกำลังพอดีไม่คับไม่หลวมจนเกินไป
ชุนเหมยเมื่อเห็นหญิงสาวเลือกของจนครบแล้ว นางจึงบอกราคาเพียงครึ่งหนึ่งของราคาจริงทั้งหมด เว่ยเหนียนเหยามองชุนเหมยอย่างซาบซี้ง ก่อนจะรับเงินที่เหลือจากชุนเหมยมาสองตำลึงทอง
เว่ยชุนเหนียงกล่าวลาพร้อมทั้งขอฝากข้าวของไว้ที่ร้านก่อน เนื่องจากนางต้องการพาสามีและบุตรชายออกไปหาซื้อข้าวของก่อนจะกลับบ้าน
"ท่านแม่ขอรับ พวกเราไปกินข้าวกันเถอะขอรับ ข้าหิวเหลือเกิน"
"ใช่ ใช่ขอรับท่านแม่ ตอนนี้ท้องของข้าร้องดังจนข้าไม่สามารถห้ามได้แล้วขอรับ"
ตอนที่นั่งอยู่ในร้าน แม้จะมีของว่างมาให้กินแต่มันก็เป็นเพียงขนมไม่กี่ชิ้น เด็กน้อยทั้งสองอยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอน ของแค่นั้นย่อมไม่สามารถขจัดความหิวที่เกิดขึ้นได้
หญิงสาวย่อตัวลงหยิกแก้มขาวขาวของลูกชายทั้งสองอย่างเอ็นดู
"งั้นวันนี้แม่จะพาเจ้าไปกินบะหมี่เนื้อตุ๋นดีหรือไม่"
เด็กชายทั้งสองไม่เคยกินเนื้อมาก่อน จึงจินตนาการถึงรสชาติของเนื้อไม่ออก ได้แต่คิดถึงเนื้อปลาขาวๆ ที่มารดาเคยทำให้กินเท่านั้น
"ท่านพี่เจ้าคะ เราพาลูกๆ ไปกินบะหมี่เนื้อตุ๋นตรงร้านที่เราผ่านมาดีหรือไม่เจ้าคะ เมื่อสักครู่ตอนเดินผ่านข้าสังเกตเห็นว่ามีคนนั่งกินอยู่ไม่น้อย รสชาติคงจะไม่เลวเลยทีเดียว"
"ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ"
สองผู้ใหญ่สองเด็กพากันเดินกลับไปทางร้านบะหมี่อย่างรวดเร็ว โชคดีที่ตอนนี้เป็นเวลาสายมากแล้ว ผู้คนจึงไม่ค่อยหยุดทานอาหารสักเท่าไหร่ ยังเหลือโต๊ะว่างอีกสองโต๊ะ
ครอบครัวของหานตง เข้าไปในยังโต๊ะที่ว่างอยู่ เว่ยเหนียนเหยาสั่งบะหมี่สำหรับผู้ใหญ่สองถ้วย สำหรับเด็กอีกสองถ้วย นางเน้นขอให้เถ้าแก่เพิ่มเนื้อแต่ละถ้วยเข้ามาเป็นพิเศษ
เมื่อบะหมี่มาถึง ความหอมหวานของน้ำซุปบวกกับความหอมของเนื้อตุ๋นตรงหน้า ทำให้เด็กๆ ต่างน้ำลายแตกออกเต็มปาก จนต้องกลืนน้ำลายลงคอไปเฮือกใหญ่
หญิงสาวนำบะหมี่ของผู้ใหญ่ทั้งสองถ้วยมาวางตรงหน้า ก่อนจะแบ่งบะหมี่จากถ้วยของนางใส่เพิ่มไปให้ถ้วยของสามีอีกครึ่งหนึ่ง จากนั้นจึงได้นำส่งให้หานตง
"ท่านพี่ ขอท่านอย่าได้ถือสา บะหมี่ในถ้วยของข้ามีมากนัก ถ้าข้ากินไม่หมดคงเสียดายเป็นอย่างมาก ท่านก็ช่วยข้ารับผิดชอบด้วยเถอะนะ"
หานตงรู้ดีว่า หญิงสาวตรงหน้าเพียงแต่ต้องการให้เขากินอิ่มอย่างสบายใจจึงได้พูดปลอบใจออกมาเช่นนี้ หารู้ไม่ว่าสิ่งที่นางพูดเป็นความจริงทุกคำ เจ้าของร่างเก่า รักษาทรวดทรงเป็นอย่างยิ่ง แต่ละมื้อกินข้าวแทบจะไม่กี่คำ ทำให้นางที่มาอยู่ใหม่ไม่สามารถจะกินข้าวได้มากตามความต้องการ
เมื่อเห็นสามีลงมือกินอย่างสุขใจ นางจึงส่งถ้วยให้บุตรชายทั้งสองโดยหยิบเนื้อในถ้วยของนางเพิ่มให้อีกคนละชิ้น
บุตรชายทั้งสองยิ้มตาหยี ก่อนจะพูดขอบคุณท่านแม่ด้วยเสียงอันดัง
บรรยายเรื่องบะหมี่ไป คิดถึงบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงนำ้หอมๆ ขี้นมาซะงั้น
ใครก็ได้โปรดดดดส่งมาาที