บทที่ 27 ภารกิจฉุกเฉิน
บทที่ 27 ภารกิจฉุกเฉิน
ภายในห้องประชุม เจ้าหน้าที่ตำรวจต่างทยอยกันเข้ามาบ้างแล้ว ทุกคนต่างมีสภาพอิดโรยเพราะอดนอน แต่นั่นไม่ได้ส่งผลให้อารมณ์ของพวกเขาแปรปรวนเลย หลายคนยังส่งยิ้มทักทายและแลกบุหรี่กันเช่นทุกครั้ง
หลินถงซูนั่งอยู่ตรงมุมห้อง เธอส่งรายงานผลตรวจดีเอ็นเอให้เฉินฉีผ่านวีแชท แต่เฉินฉียังคงไม่กดอ่านเหมือนกับเมื่อคืน เธออดบ่นเขาไม่ได้ “หายไปไหนของเขานะ?”
ทันใดนั้นเสียงพูดคุยในห้องจึงเงียบลง หลินถงซูนั่งยืดหลังตรงโดยอัตโนมัติเพราะหลินชิวผูเดินเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มกวาดสายตามองผู้คนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะประชุม “มาครบกันแล้วใช่ไหม? งั้นผมขอเริ่มการประชุมเลยแล้วกัน”
หลินชิวผูเริ่มรวบรวมเบาะแสทุกอย่างที่มีอยู่ในปัจจุบันและรายงานต่อที่ประชุมถึงรายละเอียดทั้งหมด ทีมชันสูตรได้ทำการทดสอบรอยนิ้วมือ ดีเอ็นเอ น้ำลาย และขนาดรอยพื้นรองเท้าแล้วแต่ไม่พบเบาะแสของฆาตกรเลย เป็นดังนี้แล้วหลินชิวผูจึงอนุมานว่า “ฆาตกรคนนี้จะรอบคอบมาก เขาไม่ทิ้งหลักฐานไว้เลยแม้แต่นิดเดียว นี่เป็นสิ่งที่ยืนยันให้เรารู้ว่าเขาต้องกลัวความผิดมาก อีกทั้งต้องเป็นคนรู้จักมักคุ้นกับผู้ตายสักคนแน่ ๆ”
สวีเสี่ยวตงยกมือขึ้น “ฆาตกรต้องทากาว 502 ไว้ที่นิ้วมือแน่นอนครับ! เราต้องลองตรวจสอบดู”
หลินถงซูเอือมระอา ไอ้บ้านี่ยังติดใจเรื่องนี้อยู่อีก!
เจ้าหน้าที่อีกคนที่มีประสบการณ์โชกโชนแสดงความไม่เห็นด้วยทันที “ต่อให้ฆาตกรทากาว 502 บนนิ้วมือจริงก็ยากต่อการสืบหาอยู่ดี กาว 502 ที่คุณว่าไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลได้ จะเป็นการเสียเวลาเปล่า ๆ”
“โอ้ จริงด้วย...” สวีเสี่ยวตงไร้ข้อโต้แย้งจึงนั่งลงเอนหลังชิดผนังตามเดิม
หลินชิวผูขอให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเปิดเครื่องฉายภาพ แสดงให้เห็นถึงการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากของเขา เมื่อวานนี้หน่วยสืบสวนได้ตามหาคนที่มีความสัมพันธ์กับผู้ตายของทั้งฝั่งสามีและฝั่งภรรยา พร้อมทำการวิเคราะห์ความน่าจะเป็น ผลปรากฏว่าพบสามคนที่มีแรงจูงใจในการก่อเหตุ รายแรกคือบริษัทปล่อยเงินกู้ซึ่งมีผู้บริหารฉายาว่าเสือใหญ่ เขาคนนี้เคยเป็นสมาชิกแก๊งมาก่อน
“เสือใหญ่มีคดีเก่านับไม่ถ้วน ประวัติส่วนตัวของเขาไม่ปรากฏในฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะเป็นผู้ก่อเหตุ…” แต่แล้วหลินชิวผูหยุดพูดกะทันหันเพราะมีบางคนยกมือขึ้น
ผู้ที่ยกมือคือหลินถงซูซึ่งไม่เคยมีปากเสียงหรือเสนออะไรในที่ประชุมมาก่อน
หลินชิวผูไม่สามารถทำเป็นเมินเฉยหรือทำท่าว่าไม่เห็น ดังนั้นเขาจึงอนุญาตให้เธอพูด “หลินถงซู คุณมีอะไรจะเสนอหรือ?”
“ฉันไม่ค่อยเข้าใจประเด็นนี้ บริษัทปล่อยเงินกู้อยากได้เงินคืนมากกว่าอะไรทั้งหมด ว่ากันตามตรงถ้าพวกเขาไม่ได้เงินคืนก็ควรจะลักพาตัวคนในครอบครัวมาเรียกค่าไถ่ ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องฆ่าทิ้งไปซะเฉย ๆ เลยนี่คะ?”
“บางทีเบื้องหลังอาจมีอะไรลึกลับซับซ้อนกว่านั้น ขอแค่เราได้เจอเสือใหญ่คงรู้เหตุผลที่แท้จริง”
“ถ้าอย่างนั้นฉันยังมีอีกข้อสงสัย ถ้าพวกเขาเป็นฆาตกรจริงแล้วทำไมถึงไว้ชีวิตเด็กล่ะคะ?”
“นี่อยู่ในขอบเขตที่ผมพูดไปแล้ว ถ้าเราเจอเสือใหญ่จะรู้เอง”
“อีกเรื่องค่ะ...”
“โอเค คุณตั้งคำถามเกินโควตาแล้วนะ พอได้แล้ว” หลินชิวผูพูดขัดขึ้นอย่างเย็นชา
หลินถงซูจำใจนั่งลงอย่างไม่สบอารมณ์ เก้าสิบเปอร์เซ็นต์จากหนึ่งร้อยหลินชิวผูสืบคดีนี้อย่างผิดจุดอีกครั้ง หลังจบการประชุมหลินชิวผูได้มอบหมายงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชา และงานที่หลินถงซูกับสวีเสี่ยวตงได้รับก็ยังคงเป็นงานที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการสืบสวนคดีที่ตรงจุดเช่นเคย
หลินถงซูและสวีเสี่ยวตงเดินทางไปสอบปากคำพยานและผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดทั้งช่วงเช้า เมื่อเสร็จงานแล้วพวกเขาก็เหนื่อยล้าและปวดหลังจนต้องกลับมาพักในออฟฟิศ สวีเสี่ยวตงหยิบกล่องคุกกี้ออกมาจากลิ้นชักก่อนยื่นให้หลินถงซูราวกำลังมอบสมบัติล้ำค่า “ถงซู เธอลองกินนี่สิ ญาติผมซื้อคุกกี้พวกนี้มาจากต่างประเทศเลยนะ”
หลินถงซูเหลือบมองเขาอย่างไร้อารมณ์ “ไม่เป็นไร ขอบใจนะ ถ้ากินของหวานน้ำหนักฉันจะขึ้น”
“คุณไม่ได้อ้วนซะหน่อยจะกลัวอะไรล่ะ? สักชิ้นเถอะน่า!”
เมื่อถูกสวีเสี่ยวตงคะยั้นคะยอหนักข้อเข้า หลินถงซูจึงหยิบคุกกี้จากในกล่องกัดเข้าปากคำหนึ่ง สวีเสี่ยวตงยิ้มร่าและถามเธอด้วยความคาดหวัง “รสชาติเป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่เห็นจะอร่อยตรงไหน”
“โกหกชัด ๆ!” ว่าแล้วสวีเสี่ยวตงก็หยิบขึ้นมากินชิ้นหนึ่งเหมือนกัน
หลินถงซูหยิบโทรศัพท์ของออกมาเช็กทั้งวีแชทและข้อความเอสเอ็มเอส แต่เฉินฉียังไม่ตอบกลับแต่อย่างใด เธอบ่นในใจอีกครั้ง ‘ไอ้หมอนี่หายไปไหนกันแน่? ทำไมต้องหายตัวไปในเวลาสำคัญทุกที? ไม่คิดจะช่วยอะไรกันแล้วหรือไง?’
พอเงยหน้าขึ้นเธอก็พบว่าสวีเสี่ยวตงกำลังชะโงกหน้าเข้าใกล้มาอ่านหน้าจอมือถือของเธอโดยพลการ เธอต่อว่าเขาทันที “มาแอบดูอะไรไร้มารยาท! ออกไปห่าง ๆ ฉันเลยนะ!”
“นี่ ทำไมเธอดูเป็นห่วงเขาแปลก ๆ?”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณล่ะ? ฉันสนใจคดี ไม่ได้สนใจเขา!”
“เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีเลยสักนิด ผู้กองหลินก็เคยพูดไม่ใช่เหรอ? ไอ้หมอนี่ไขคดีที่แล้วได้แค่เพราะโชคเข้าข้าง คุณคิดว่าในโลกนี้มีสูตรอาหารลึกลับที่สามารถชุบชีวิตคนป่วยใกล้ตายให้ฟื้นเป็นปกติจริง ๆ เหรอ? ก็เหมือนกับคนเรานั่นแหละ พลเรือนธรรมดาจะมีอัจฉริยะไปกว่าคนที่ไม่ได้รับการฝึกฝนได้ยังไงกัน? เรื่องพวกนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
ได้ยินแบบนั้นแล้วหลินถงซูก็ไม่คิดเสวนากับคนมีทัศนวิสัยคับแคบเช่นเขาอีก เธอทำหูทวนลมและเปิดแอปเกมในมือถือเพื่อเล่นฆ่าเวลา
เมื่อเห็นว่าในออฟฟิศไม่มีคนอื่น สวีเสี่ยวตงจึงหยิบบัตรคอนเสิร์ตออกมาจากกระเป๋าสองใบและกระแอมเรียกร้องความสนใจ แต่หลินถงซูยังไม่สนใจและจดจ่ออยู่กับการเล่นเกมอย่างนั้น เขาจึงกระแอมเสียงดังกว่าเก่า “ถงซู?”
“อะไรอีกล่ะ?”
“ผมมี…”
ทันใดนั้นเสียงของหลินชิวผูก็ดังขึ้นจากทางเดินข้างนอก “ทุกคนรวมตัว ออกมารวมตัวกันเร็วเข้า! ใครยังไม่มีปืน ไปหยิบปืนมาจากห้องเก็บปืนคนละกระบอก!”
หลินถงซูวางมือจากโทรศัพท์และรีบวิ่งออกไป ส่วนสวีเสี่ยวตงทุบโต๊ะด้วยความหงุดหงิดก่อนวางบัตรทิ้งไว้และวิ่งตามออกไปด้วย
ตำรวจมากกว่าสิบสองนายวิ่งมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว หลินชิวผูสูดลมหายใจเข้าลึก “เกิดเหตุฉุกเฉิน ตำรวจจราจรได้รายงานเข้ามาว่ารถยนต์ที่ถูกเรียกตรวจขนเงินสดต้องสงสัยไว้เป็นจำนวนมาก ชายทั้งสี่คนในรถเหมือนมีความสัมพันธ์กับเสือใหญ่ ตอนนี้รถถูกสกัดกั้นไว้เรียบร้อยแล้ว แก๊งนักเลงในรถก็กำลังสู้อยู่กับตำรวจโดยมีอาวุธครบมือ!”
ทุกคนต่างสูดลมหายใจเข้าตามด้วยความตื่นเต้น เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ต่างเคยเห็นฉากยิงปะทะกันระหว่างตำรวจกับผู้ร้ายแค่ในข่าวเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงกระวนกระวายและตระหนกไม่น้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น
คนเริ่มทยอยกันออกไป เมื่อหลินถงซูกำลังจะตามไปหลินชิวผูก็ดักทางเธอไว้ก่อน “คุณไม่ได้รับอนุญาตให้ไป!”
“ทำไมล่ะ?! ทำไมต้องสองมาตรฐานกับฉันด้วย? แค่เพราะฉันเป็นผู้หญิงหรือเพราะฉันเป็นน้องสาวของคุณ?” หลินถงซูผลักแขนของเขาให้พ้นทางและรีบวิ่งออกไป
หลินชิวผูทำอะไรไม่ได้จึงตะโกนไล่หลัง “ทักษะการยิงปืนของคุณแย่มาก จะไปสู้ใครเขาได้?”
เมื่อเจ้าหน้าที่หลายคนได้ยินแบบนี้ก็พากันหัวเราะด้วยความขบขัน หลินถงซูรู้สึกอับอายจนน้ำตาแทบไหล แต่ความที่เธอไม่อยากเสียหน้าไปมากกว่านี้จึงกลั้นน้ำตาไว้และก้าวขึ้นไปนั่งบนรถตำรวจพิเศษ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีส่วนคล้ายกับคดีอาชญากรรม ดังนั้นตำรวจฝ่ายอาชญากรรมและหน่วยสวาตจึงถูกส่งไปพร้อมกัน ภายในรถเจ้าหน้าที่หน่วยสวาตต่างพูดคุยและหัวเราะอย่างสนุกสนาน ขณะที่อีกด้านหนึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วไปต่างรู้สึกเครียดและเป็นกังวล ทุกคนสวมใส่เกราะกันกระสุนไว้ แต่เสื้อเกราะของเจ้าหน้าที่หน่วยสวาตจะดูแข็งแรงกว่า ในขณะที่เสื้อเกราะของเจ้าหน้าที่ทั่วไปบางเหมือนกับเสื้อชูชีพว่ายน้ำ
สวีเสี่ยวตงอดถามไม่ได้ “เสื้อเกราะนี่กันกระสุนได้จริงเหรอ?”
“แน่นอนสิ!” เจ้าหน้าที่หน่วยสวาตตอบพลางลูบไปที่เสื้อเกราะกันกระสุน “แต่แรงกระแทกจากลูกกระสุนอาจทำให้ซี่โครงหักไปหลายซี่เลยล่ะ”
“อะไรนะ… แล้วความรู้สึกตอนถูกยิงเป็นยังไง?”
“พอกันกับตอนโดนชก เจ็บจุกเหมือนโดนหมัดซัดเข้าที่ลำตัวเลย”
เจ้าหน้าที่คนอื่นพูดเสริม “ใช่แล้ว ถ้าถูกกระสุนยิงเข้าที่หัวหรือขาก็จบเห่ ยิ่งถ้ากระสุนยิงเข้าที่ต้นขาโดนเส้นเลือดใหญ่เข้าละก็ ยังไงก็ตายสถานเดียว”
สวีเสี่ยวตงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก “จู่ ๆ ผมก็อยากเข้าห้องน้ำขึ้นมาซะแล้วสิ!”
เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งคันรถหัวเราะเสียงดังลั่น หลินถงซูใช้มือบังหน้าตัวเองไว้เพราะรู้สึกอับอายเป็นครั้งที่สอง
ทันใดนั้นรถก็หยุดจอด สวีเสี่ยวตงที่กำลังนั่งฝันกลางวันสะดุ้งลุกขึ้นนั่งหลังตรงทันที “ถึงแล้วเหรอ?”
ประตูรถถูกเปิดออก เจ้าหน้าที่หน่วยสวาตคนเดิมก้าวลงจากรถอย่างมั่นคงและหันไปตบไหล่สวีเสี่ยวตง “ไปกันเถอะ เราไม่ได้เข้าไปอยู่กลางจุดปะทะซะหน่อย จะกลัวอะไรไปล่ะ?”
สวีเสี่ยวตงพูดด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด “ผมไม่ได้กลัวซะหน่อย แค่ปวดท้องกะทันหัน!”