WS บทที่ 288 สร้อยข้อมือช่วยชีวิต
พ่อมดลีโอใช้เวลาสามวันในการผลิตสร้อยข้อมือสีดำนี้และมีหน้าที่ช่วยชีวิตเมอร์ลิน ภายในสร้อยข้อมือสีดำหมึกมีความแข็งแกร่งส่วนหนึ่งของดวงตาแห่งความมืด เมอร์ลินไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับดวงตาแห่งความมืดเท่าไหร่นักแต่เขารู้ว่ามันน่ากลัวยิ่งกว่าพลังใด ๆ ของพลังปีศาจแพนโดร่าที่เขามีอยู่
เมอร์ลินถอดสร้อยข้อมือออกเพื่อตรวจสอบเพิ่มเติม เขายังคงไม่แน่ใจว่าความแข็งแกร่งของดวงตาแห่งความมืดในสร้อยข้อมือจะช่วยให้เขาผ่านด่านทดสอบที่สามได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ถ้าเขาต้องทำตามแผนที่คิดไว้ เขาอาจจะไม่สามารถผ่านด่านทดสอบที่สามในโบราณสถานนี้ได้
ทุกด่านทดสอบที่เมอร์ลินประสบพบเจอก่อนหน้านี้ เขาต้องใช้กลยุทธ์ที่ไม่ธรรมดา บางวิธีก็ดูคล้ายกับ ‘กลโกง’ เมอร์ลินได้ผ่านด่านทดสองทั้งสองด่านด้วย ‘กลโกง’ เช่นนั้น
“ฉันต้องการท้าทายด่านทดสอบที่สาม!” เมอร์ลินลุกขึ้นและตะโกนออกไป เขารู้ว่าเปลวไฟกำลังเฝ้าติดตามเขาอยู่ตอนนี้
ตามที่คาดไว้ ทันทีที่เมอร์ลินพูด เงาพร่าเลือนก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในห้องหิน มันคือเปลวไฟ
“เจ้าต้องการท้าทายด่านทดสอบที่สามอย่างงั้นเหรอ?” เปลวไฟขมวดคิ้ว มีความสงสัยในน้ำเสียง
“ถูกต้อง ฉันต้องการท้าทายด่านทดสอบที่สาม!” เมอร์ลินกล่าวอย่างมุ่งมั่น
เมื่อมองไปที่สีหน้าของเมอร์ลิน ตอนแรกเปลวไฟอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ในที่สุดก็ส่ายหัว จากนั้นก็เกิดกระแสลมพัดกระโชกแรงขึ้นรอบ ๆ ตัวมัน
“จงตื่นเถิด ปฏิมากรอัคนี!”
เปลวไฟร่ายคาถาโบราณ รูปปั้นที่อยู่ตรงกลางห้องโถงเริ่มเรืองแสงเป็นแสงสีขาวในทันที หลังจากนั้น แสงก็เปลี่ยนเป็นเปลวเพลิง และรูปปั้นก็ ‘มีชีวิต’ ขึ้นมาทันที
“ผู้ใดต้องการผ่านด่านทดสอบ”
หลังจากที่รูปปั้น ‘มีชีวิต’ ขึ้นมาก็จ้องมองไปที่เมอร์ลิน มันแตกต่างจากผู้พิทักษ์ด่านทดสอบแรกเพราะรูปปั้น ‘มีชีวิต’ นี้ไม่ได้แข็งกระด้างหรือขาดการแสดงออก แต่กลับเป็นเหมือนนักเวทย์ที่ทรงพลังอย่างแท้จริง ดวงตาของมันเต็มไปด้วยสติปัญญาอันซับซ้อน
ภายใต้การจ้องมองอย่างใส่ใจของปฏิมากรอัคนี เมอร์ลินรู้สึกว่ามันมองเห็นได้ผ่านตัวเขาทั้งหมด เขารู้ว่าถ้ามันโจมตีจริง ๆ ปฏิมากรอัคนีสามารถฆ่าเขาได้ในพริบตาเดียว
ความแตกต่างในความแข็งแกร่งระหว่างพวกเขานั้นกว้างใหญ่เกินไป พลังที่อยู่รอบ ๆ ปฏิมากรอัคนี นั้นแข็งแกร่งกว่าของพ่อมดฮิวเซียสและนักเวทย์ระดับเจ็ดคนอื่น ๆ ดินแดนมนต์ดำ สิ่งนี้บ่งชี้ว่าปฏิมากรอัคนีไม่ใช่นักเวทย์ระดับเจ็ดทั่วไป
“เจ้าคือคนที่อยากจะท้าทายด่านทดสอบนี้ใช่หรือไม่?” ปฏิมากรอัคนีพูดอีกครั้ง
เมอร์ลินพยักหน้าด้วยท่าทางเคร่งขรึมแต่ใบหน้าของปฏิมากรอัคนีดูผิดหวังในขณะที่มันพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
“ช่างน่าผิดหวังจริงๆ หลายปีที่ผ่านมาไม่มีนักเวทย์คนใดที่เป็นภัยคุกคามต่อข้าเลย...เจ้ามีศักยภาพที่ยอดเยี่ยม มีพลังปีศาจแพนโดร่ามากมาย ถ้าเจ้าสามารถฝึกฝนได้จนถึงระดับที่สี่หรือสูงกว่านั้น บางที เจ้าอาจมีโอกาสน้อยที่จะทำให้ข้าจะรู้สึกกดดัน ตอนนี้เจ้าอ่อนแอเกินไป เมื่อนายท่านทิ้งข้าไว้ข้างหลัง ท่านต้องการให้ข้าเลือกนักเวทย์ที่ไม่ด้อยกว่าท่าน ท่านไม่ต้องการให้ข้าฆ่าคนโดยไม่จำเป็น ถึงเจ้าจะปลุกข้ามาแต่ข้าจะให้โอกาสเจ้ายอมจำนนโดยสมัครใจแล้วฝึกฝนตนเอง เมื่อเจ้ากลายเป็นนักเวทย์ระดับสี่ขึ้นไปแล้ว ค่อยมาปลุกข้าอีกครั้ง”
ด้วยเหตุนี้ปฏิมากรอัคนีเตรียมที่จะหลับใหลอีกครั้ง
“ฉันมาที่นี่เพื่อท้าทายด่านทดสอบ ฉันจึงปลุกคุณขึ้นมา!” เสียงของเมอร์ลินฟังดูค่อนข้างสงบ เขายกสร้อยข้อมือขึ้นด้วยท่าทางมั่นใจ
"อืม? อุปกรณ์เวทมนต์? ก็ได้ ในเมื่อเจ้าไม่ยอมแพ้ ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นถึงความแตกต่างที่แท้จริงระหว่างเรา!”
ปฏิมากรอัคนีโบกมือข้างหนึ่งเบา ๆ และในทันใด อุณหภูมิของห้องโถงทั้งหมดก็สูงขึ้นอย่างกะทันหัน เปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ ปรากฏขึ้นรอบ ๆ ตัวเมอร์ลิน
เปลวเพลิงเหล่านี้สามารถเปลี่ยนเมอร์ลินเป็นเถ้าถ่านได้อย่างง่ายดายและเสื้อคลุมทั้งสองที่เขาสวมอยู่กลายเป็นขี้เถ้าทันที
ในเวลานี้ สายตาของเมอร์ลินจับจ้องอยู่ที่สร้อยข้อมือหมึกสีดำ เวทย์มนตร์แห่งความมืดในร่างกายของเขาพุ่งเข้าใส่สร้อยข้อมืออย่างรวดเร็วและรุนแรง
ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของเขาในการพิชิตด่านทดสอบที่สามนี้ มันขึ้นอยู่กับพลังของสร้อยข้อมือที่พ่อมดลีโอมอบให้เขา เมอร์ลินไม่มั่นใจเขาจะประสบความสำเร็จได้โดยตัวเขาแค่คนเดียว
‘วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง!’
หลังจากได้รับพลังจิตของเมอร์ลิน สร้อยข้อมือหมึกสีดำก็เริ่มสั่นอย่างรุนแรง ในเวลาเดียวกัน การปรากฏตัวของดวงตาสีแดงเลือดยักษ์ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเหนือสร้อยข้อมือหมึกสีดำ
ขณะที่เขามองดูการปรากฏของดวงตาสีแดงเข้มนี้ เมอร์ลินก็นึกถึงดวงตาแห่งความมืดของพ่อมดลีโอในทันที เขารู้สึกกังวลเพราะเขาไม่เคยสัมผัสดวงตาแห่งความมืดของพ่อมดลีโอกับตัวมาก่อนจริงๆ
"อืม? นี่มัน…อะไรกัน?”
เมื่อดวงตาสีแดงเลือดปรากฏขึ้น การจ้องมองของปฏิมากรอัคนีซึ่งดูผ่อนคลายก่อนหน้านี้ก็แหลมคมขึ้นในทันใดและท่าทางของมันก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
“ดวงตาแห่งความมืด มันคือดวงตาแห่งความมืดจริงหรือ? ใครกันที่สามารถฝึกฝนดวงตาแห่งความมืดในช่วงเวลานี้ได้?”
เปลวไฟพึมพำเบา ๆ บางทีในช่วงพันปีเหล่านี้ ตลอดเวลาที่อยู่ในโบราณสถาน มันไม่เคยประหลาดใจเท่าตอนนี้มาก่อน
“ดวงตาแห่งความมืด จงลวงตา!”
ทันใดนั้น เสียงที่เย็นชาและแยกจากกันก็มาจากการปรากฏตัวของดวงตาสีแดงเพลิง ในเวลาเดียวกัน ลำแสงสีดำก็ส่องออกมาและพุ่งไปห่อหุ้มปฏิมากรอัคนี
“ฮ่าฮ่า ดวงตาแห่งความมืด นี่มันดวงตาแห่งความมืดในตำนาน…”
ปฏิมากรอัคนีเริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ทันทีที่แสงสีดำเข้าปกคลุม ความผันผวนของพลังธาตุไฟอันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่มีใครเทียบได้ปะทุขึ้นรอบ ๆ ตัวมัน คลื่นแห่งพลังจิตอันมหึมาจนถึงขีดสุด ขจัดคาถาลวงตาแห่งความมืดในทันที
ในปัจจุบันปฏิมากรอัคนีจมอยู่ในกองไฟอย่างสมบูรณ์ ดูเหมือนเทพเจ้าที่ลอยอยู่กลางอากาศ มันจ้องไปที่การปรากฏตัวของดวงตาแห่งความมืด
“ดวงตาแห่งความมืดซึ่งเป็นของมหาจอมเวทย์แห่งความมืดโอลาส ข้าไม่คิดว่าจะได้เห็นมันอีกครั้ง…”
ตอนนี้ เมอร์ลินได้เห็นจริง ๆ ว่าปฏิมากรอัคนีนั้นทรงพลังเพียงใด พลังอันไร้รูปร่างที่อยู่รอบ ๆ ตัวของมันสามารถกดทับเมอร์ลินได้อย่างสมบูรณ์ ตอนนี้เขาไม่กล้าขยับแม้แต่กล้ามเนื้อได้เลย ดูเหมือนว่าเขาจะกลายเป็นขี้เถ้าหากปฏิมากรอัคนีเพิ่มแรงของมันเข้าไป แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
นี่คือพลังที่แท้จริงของปฏิมากรอัคนีและขอบเขตที่น่าสะพรึงกลัว แม้ว่าเมอร์ลินจะกลายเป็นผู้ร่ายคาถาระดับสี่แต่เขาก็ยังไม่สามารถต่อกรกับมันได้
ภาพเปลวไฟอันทรงพลังเช่นนี้ เมอร์ลินไม่คิดจะมีใครที่สามารถเอาชนะด่านทดสอบนี้ได้
อย่างไรก็ตาม จากการแสดงออกที่ตื่นตัวของปฏิมากรอัคนี ดูเหมือนว่าดวงตาแห่งความมืดของพ่อมดลีโอนั้นไม่ได้จัดการง่ายขนาดนั้น แม้แต่ปฏิมากรอัคนีก็ยังต้องเอาจริงกับมัน
“ดวงตาแห่งความมืด จงสลาย!”
คำสั่งอันเย็นชาดังขึ้นอีกครั้ง ทันใดนั้นการปรากฏตัวของดวงตาแห่งความมืดก็เริ่มจางลง แต่พลังธาตุมืดที่รวบรวมมานั้นยิ่งน่ากลัวมากขึ้น
*หวู่ม!*
ทันใดนั้น ลำแสงสีดำขนาดใหญ่ตกลงมาอีกครั้งและทุกที่ที่แสงสัมผัส เปลวเพลิงก็ดับลง ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความมืดสนิท
เป็นที่ทราบกันดีว่าสิ่งเหล่านี้เป็นพลังธาตุไฟของคาถาระดับเจ็ดที่รวบรวมความเข้าใจเกี่ยวกับเปลวเพลิงของปรมาจารย์ผู้ลึกลับของโบราณสถาน ดังนั้นเปลวไฟเหล่านี้จะต้องน่ากลัวกว่าเวทมนตร์ระดับเจ็ดโดยเฉลี่ยอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ภายใต้แสงที่ฉายจากดวงตาแห่งความมืด เปลวเพลิงเหล่านี้ก็ดับลงโดยไม่มีการต่อต้านใด ๆ
*ฟู่…*
แสงสีดำที่สาดส่องไปที่ปฏิมากรอัคนีและกลุ่มควันก็เริ่มปรากฏขึ้น ร่างของปฏิมากรอัคนีดูเหมือนจะหลอมละลาย
นี่เป็นการโจมตีครั้งที่สองโดยการปรากฏตัวของดวงตาแห่งความมืด เมอร์ลินไม่เคยเห็นพลังของดวงตาแห่งความมืดมาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้จักความแข็งแกร่งที่แท้จริงของมัน
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขามองดูดวงตาแห่งความมืดยิงลำแสงสีดำ เมอร์ลินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายใจ เพียงแค่มองไปที่ลำแสงสีดำก็เพียงพอที่จะกระตุ้นความรู้สึกเย็นชาไปทั่วตัวเขา
ปฏิมากรอัคนีไม่สามารถต้านทานการโจมตีครั้งที่สองของดวงตาแห่งความมืดได้ เปลวเพลิงรอบ ๆ ตัวของมันเกือบจะดับไปหมดแล้วและร่างกายของมันก็หลอมละลายไปครึ่งหนึ่งแล้ว
เมอร์ลินนึกถึงข่าวลือเกี่ยวกับความสำเร็จของพ่อมดลีโอ ว่าเขาได้ไล่ล่านักเวทย์ระดับเจ็ดออสซีอุสจากออซมูและฆ่าเขาในที่สุด
ยิ่งกว่านั้น พ่อมดลีโอได้จ่ายไปเพียงแขนข้างเดียวเท่านั้น!
เมอร์ลินได้พบกับอัจฉริยะสองสามคนของออซมูมาแล้ว ในหมู่พวกเขา คนที่แข็งแกร่งที่สุดคือ บลูเบิร์ด แต่ถึงกระนั้นเธอก็เป็นเพียงนักเวทย์ระดับสาม ในการเปรียบเทียบ นักเวทย์ระดับเจ็ดนั้น มันอยู่ในระดับที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มันเป็นโลกที่แตกต่างจากนักเวทย์ระดับสาม
ออสซีอุสซึ่งเป็นนักเวทย์ระดับที่เจ็ดจากออสมูจะต้องมีพลังมากเกินกว่าที่นักเวทย์ส่วนใหญ่จะเข้าใจได้
เมอร์ลินกับนักเวทย์คนอื่น ๆ คิดว่าออสซีอุสเป็นนักเวทย์ทั่วไปในออซมูซึ่งเป็นเหตุว่าทำไมพ่อมดลีโอผู้มีพลังปีศาจแห่งแพนโดร่าที่แข็งแกร่งจึงสามารถฆ่าเขาได้
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าตอนนี้พลังของดวงตาแห่งความมืดจะเกินจินตนาการของเมอร์ลินไปมาก
นักเวทย์ระดับเจ็ดส่วนใหญ่จะไม่สามารถต่อกรได้ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีดวงตาแห่งความมืดที่ทรงพลังขนาดนั้น พ่อมดลีโอก็ยังต้องเสียสละแขนเพื่อฆ่าออสซีอุส นี่จึงเป็นข้อพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของออสซีอุสได้เช่นกัน
บางทีพวกออสมูได้ยอมลงนามสัญญากับดินแดนมนต์ดำและองค์กรนักเวทย์อื่น ๆ สาเหตุมันมาจากการสังหารออสซีอุสของพ่อมดลีโอ
ความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาในจิตใจของเมอร์ลินทันที
“ดวงตาแห่งความมืด…ยังไม่เพียงพอ มันห่างไกลจากแก่นแท้แห่งไฟ จงเผาไหม้…”
ปฏิมากรอัคนีได้กล่าวบางอย่างออกมา ร่างกายของมันซึ่งได้หลอมละลายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็ถูกเผาไหม้ด้วยเปลวเพลิงที่ปั่นป่วนอีกครั้ง เปลวเพลิงเหล่านี้ไม่ได้เป็นสีแดงที่ร้อนแรงอีกต่อไป แต่ค่อนข้างคล้ายกับรูปแบบที่สามของเพลิงวินาศของเมอร์ลินที่เกือบจะโปร่งใส!
เปลวเพลิงที่เกือบจะโปร่งใสยิ่งทำให้ร้อนแรงมากขึ้น เมอร์ลินอดไม่ได้ที่จะถอยห่างออกไปเรื่อย ๆ เขาไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงในการต่อสู้ระหว่างดวงตาแห่งความมืดกับปฏิมากรอัคนีได้เลย เพราะแม้ผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากการต่อสู้ อาจจะทำให้เมอร์ลินถูกฆ่าตายได้
เปลวเพลิงที่ปล่อยออกมาจากปฏิมากรอัคนีนั้นเกือบจะโปร่งใส และแยกแสงสีดำออกจากห้องโถงในทันที ห้องโถงกลับมามีสภาพเดิมอีกครั้งและมีเพียงปฏิมากรอัคนีที่ลุกไหม้ด้วยเปลวไฟโปร่งแสงและการปรากฏตัวของดวงตาแห่งความมืดขนาดยักษ์หันหน้าไปทางฝ่ายตรงข้าม
“ดวงตาแห่งความมืด จงทำลาย!”
การปรากฏของดวงตาแห่งความมืดขนาดใหญ่ อากาศโดยรอบเริ่มสั่นอย่างรุนแรงและธาตุมืดที่ไม่มีที่สิ้นสุดก็รวมตัวเป็นมือขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม หลังจากการก่อตัวของมือใหญ่ มันก็เริ่มจะจางมากแล้ว จากนั้นมันก็หายไปในห้องโถง