ตอนที่แล้วWS บทที่ 286 พลังปีศาจแพนโดร่า ผสานผืนพิภพ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปWS บทที่ 288 สร้อยข้อมือช่วยชีวิต

WS บทที่ 287 ทลายอุปสรรค


“พลังปีศาจแพนโดร่าห้าธาตุ…”

หลังจากได้ยินสิ่งที่เปลวไฟพูด เมอร์ลินพึมพำกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมาด้วยเสียงต่ำ จากนั้นเมอร์ลินก็เงียบไป

พลังปีศาจแพนโดร่าทั้งห้านั้น พวกมันสามารถหลอมรวมเข้ากับคาถาได้ พวกมันจะทรงพลังขนาดไหน? อย่างน้อยที่สุด เมอร์ลินก็ไม่อาจเทียบได้กับคน ๆ นั้นได้เลย ส่วนที่เลวร้ายที่สุดของเรื่องนี้ก็คือ แม้แต่อัจฉริยะเช่นนั้นก็ไม่สามารถผ่านด่านทดสอบที่สามได้

“พาฉันไปที่นั่นที แม้ว่าฉันจะทำมันไม่สำเร็จแต่ฉันก็อยากรู้ว่าด่านทดสอบที่สามหน้าตาเป็นอย่างไร”

หลังจากไตร่ตรองแล้ว เมอร์ลินก็ต้องการมุ่งหน้าต่อ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร เขาก็ต้องการดูว่าด่านทดสอบที่สามนั้นจะยากสักเพียงใด

เปลวไฟพยักหน้า “เข้าใจแล้ว งั้นเราไปกันเถอะ ด่านทดสอบที่สามมันอยู่ข้างหน้าเจ้า เจ้าต้องเห็นด้วยตาตัวเองจึงจะเข้าใจว่าสิ่งที่ข้าพูดมาก่อนหน้านี้นั้นไม่ได้เกินจริงเลย”

จากนั้นเปลวไฟ ได้เดินนำเมอร์ลินเข้าไปข้างใน

หลังจากผ่านห้องหินและทางเดินยาว เปลวไฟก็พาเมอร์ลินไปที่ห้องโถง ตัวห้องมีเสาคริสตัลกว้าง ๆ ที่ส่องประกายระยิบระยับ ห้องโถงทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยอักษรรูนลึกลับนับไม่ถ้วน

นอกเหนือจากห้องโถงที่แปลกประหลาดนี้ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเมอร์ลินจริงๆ ก็คือรูปปั้นที่เหมือนจริงอยู่ตรงกลางห้องโถง

รูปปั้นนี้ดึงดูดความสนใจของเขา ยิ่งมองรูปปั้นตรงกลางห้องนานเท่าไหร่ เขารู้สึกไม่ชอบมาพากลมากขึ้น

เปลวไฟกำลังมองไปยังรูปปั้นด้วยท่าทางที่ซับซ้อนเช่นกัน มันหันมาพูดกับเมอร์ลินด้วยเสียงต่ำว่า “นี่เป็นด่านทดสอบที่สาม ถ้าเจ้าสามารถเอาชนะปฏิมากรอัคนีที่นายท่านทิ้งไว้ได้ เจ้าก็จะผ่านด่านทดสอบและรับสมบัติของนายท่านไป!”

“ปฏิมากรอัคนี? ที่ไหน?”

เมอร์ลินไม่รู้ว่าปฏิมากรอัคนีคืออะไรและสำรวจสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเขาแต่ไม่พบสิ่งใดที่ทรงพลังเป็นพิเศษเลย

เปลวไฟชี้ไปที่รูปปั้นที่เหมือนจริงและพูดอย่างหนักแน่นว่า “รูปปั้นนี้เป็นปฏิมากรอัคนีของนายท่าน มันจะตื่นขึ้นก็ต่อเมื่อแน่ใจว่าเจ้าจะท้าทายมัน!”

“รูปปั้นนี้เหรอ?”

เมอร์ลินค่อนข้างสับสนและไม่แน่ใจ แม้ว่ารูปปั้นจะไม่ได้มีลักษณะพิเศษใด ๆ แต่แน่นอนว่าต้องมีความพิเศษซ่อนอยู่ในฐานะผู้พิทักษ์ด่านทดสอบที่สาม

“คุณช่วยบอกฉันเกี่ยวกับปฏิมากรอัคนีนี้ได้ไหม?”

เมอร์ลินไม่รีบเร่งที่จะผ่านด่านทดสอบและถามคำถามนี้กับเปลวไฟ ตลอดการพูดคุยแลกเปลี่ยนระหว่างทางที่นี่ เมอร์ลินค่อย ๆ  ตระหนักว่าเปลวไฟมีจิตสำนึกที่เป็นอิสระ ดังนั้น บางทีเขาอาจจะรู้จักปฏิมากรอัคนีนี้มากขึ้นจากเปลวไฟ

เปลวไฟจ้องมองเมอร์ลินและกล่าวว่า “อันที่จริง ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ข้าจะบอกให้เจ้าทราบ ตอนนี้เรามาถึงด่านที่สามแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องเก็บเป็นความลับ”

หลังจากหยุดชั่วครู่ อุณหภูมิรอบตัวของเปลวไฟก็เริ่มเข้มข้นขึ้น และเสียงของมันก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น “ปฏิมากรอัคนีของนยท่านมีความแข็งแกร่งอย่างมาก หากจะให้เทียบล่ะก็ มันเทียบได้กับนักเวทย์ระดับเจ็ด! อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่นักเวทย์ที่แท้จริง แต่เป็นเพียงรูปปั้นเท่านั้นจึงรู้เพียงแค่เวทมนตร์ธาตุไฟ อย่างไรก็ตาม คาถาเหล่านี้รวบรวมความเข้าใจเกี่ยวกับธาตุไฟของนายท่าน ดังนั้นพลังของพวกมันจึงทรงพลังเป็นพิเศษ

ในด่านทดสอบที่สาม ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร เมื่อต้องมาพบกับปฏิมากรอัคนีก็ยากจะรับมือได้  แม้แต่นักเวทย์ระดับเจ็ดที่ต้องเผชิญหน้ากับปฏิมากรอัคนีก่อนหน้านี้ ก็ไม่อาจต่อกรกับปฏิมากรอัคนีได้ เขาพยายามสามครั้งติดต่อกัน จนพ่ายแพ้ในที่สุด เขาไม่มีโอกาสถูกโยนลงในกรงเพลิงด้วยซ้ำ เนื่องจากเขาถูกทำให้เป็นเถ้าถ่านโดยเปลวเพลิงที่ร้อนระอุจากปฏิมากรอัคนี

มีนักเวทย์อีกสองคนที่มาถึงด่านทดสอบที่สามนี้ พวกเขาทั้งคู่ก็ไม่อาจก้าวผ่านปฏิมากรอัคนีได้เช่นกัน ถ้าพวกเขาไม่ตาย พวกเขาจะถูกโยนเข้าไปในกรงเพลิง”

เมอร์ลินอดไม่ได้ที่จะมองดูรูปปั้นที่เหมือนจริงอีกครั้ง เขาไม่คิดว่าปฏิมากรอัคนีจะน่ากลัวขนาดนี้ แถมยังเทียบได้กับนักเวทย์ระดับเจ็ดด้วยซ้ำ นอกจากนี้ คาถาธาตุไฟที่ร่ายจะต้องมีพลังพิเศษ พลังที่รวมกันเป็นสิ่งที่นักเวทย์ระดับเจ็ดโดยเฉลี่ยไม่สามารถต่อกรได้

แต่ถึงอย่างนั้น เมอร์ลินก็อดที่จะถามไม่ได้ว่า “ถ้าหากว่านักเวทย์ระดับหนึ่งที่บังเอิญโชคผ่านด่านทดสอบที่หนึ่งและสองมาได้ ถ้าหากเขาคนั้นได้กลายเป็นนักเวทย์ระดับแปดหรือเก้า เขาคนนั้นก็จะเอาชนะปฏิมากรอัคนีได้อย่างง่ายดายเลยใช่หรือไม่?”

“ถูกต้องแล้ว พลังของปฏิมากรอัคนีจะไม่เปลี่ยนแปลง มันจะคงความแข็งแกร่งของมันไว้ตลอดไป นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าแนะนำให้เจ้าจดจ่อกับการสร้างคาถาที่นี่ เมื่อเจ้ากลายเป็นนักเวทย์ที่สูงกว่าระดับสี่ เจ้าอาจมีโอกาสเพียงเล็กน้อยในการผ่านด่านทดสอบที่สามโดยอาศัยความแข็งแกร่งของพลังปีศาจแพนโดร่า รูปแบบที่สอง”

เปลวไฟเข้าใจสถานการณ์ของเมอร์ลินเช่นกัน เมื่อเขากลายเป็นนักเวทย์ระดับสี่แล้ว ความสามารถต่าง ๆ ของพลังปีศาจแพนโดร่าที่เขาจะกลายเป็นรูปแบบที่สอง ด้วยวิธีนี้ พลังของเมอร์ลินจะเพิ่มอย่างก้าวกระโดด

อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินมีเพียงคาถาธาตุมืดเท่านั้น เขาไม่มีคาถาธาตุอื่นที่เป็นระดับสี่หรือสูงกว่า ดังนั้น ถ้าเขาเพียงแค่อยู่ที่นี่ เขาก็ไม่มีทางกลายเป็นนักเวทย์ระดับสี่ได้

นอกจากนี้ แม้ว่าเขาจะกลายเป็นนักเวทย์ระดับสี่ด้วยความโชคดี การฝึกฝนพลังปีศาจแพนโดร่ารูปแบบที่สองก็ต้องการสมบัติล้ำค่า  แล้วที่แห่งนี้จะมีสมบัติเช่นนั้นอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?

ดังนั้น เมอร์ลินจึงไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นาน เขาต้องจากไปโดยเร็วที่สุด มีเพียงเขาเท่านั้นที่ต้องเผชิญกับด่านทดสอบที่สามนี้ หากไม่พยายาม เขารู้ว่าเขาจะไม่สามารถเอาชนะด่านสุดท้ายนี้ได้อย่างแน่นอน

“ด้วยปฏิมากรอัคนีอันทรงพลังเช่นนี้ ใครกันนอกจากนักเวทย์ระดับแปดหรือเก้าหรือจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่จะสามารถผ่านด่านทดสอบนี้ได้?”

เมอร์ลินยังสงสัยว่า ทำไมไม่มีใครสามารถผ่านด่านทดสอบนี้ได้เลย บางทีมีเพียงนักเวทย์ระดับแปดหรือเก้าหรือจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงพลังเหล่านั้นเท่านั้นที่จะสามารถเอาชนะด่านที่สามได้

“ถ้าเป็นนักเวทย์ระดับแปดหรือเก้าในปัจจุบัน พวกเขาอาจไม่ผ่านด่านทดสอบเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม สถานที่แห่งนี้อนุญาตให้นักเวทย์เข้ามาได้มาสุดระดับเจ็ดเท่านั้น ดังนั้นนักเวทย์ระดับแปดหรือเก้าหรือจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่จะไม่มีทางมาที่นี่ได้เลย”

ในคำพูดของเปลวไฟ เปิดเผยบางอย่างซึ่งทำให้เมอร์ลินตกใจเล็กน้อย เปลวไฟดูเหมือนจะมีทัศนคติที่ดูถูกเหยียดหยามต่อนักเวทย์ระดับแปดและเก้ายุคสมัยนี้ สิ่งนี้สนับสนุนการคาดเดาก่อนหน้านี้ของเมอร์ลินว่า นักเวทย์โบราณต้องมีพลังมหาศาลกว่าที่นักเวทย์สมัยนี้แน่นอน

“แล้วใครเป็นเจ้านายของคุณ? ช่วยบอกฉันตอนนี้ได้ไหม?”

เมอร์ลินอยากรู้ว่านักเวทย์แบบไหนที่ทิ้งโบราณสถานเช่นนี้ไว้เบื้องหลัง แถมยังปฏิมากรอัคนีที่มีพลังมหาศาลขนาดนั้นด้วย?

อย่างไรก็ตามเปลวไฟส่ายหัวเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า

“เมื่อเจ้าผ่านด่านทดสอบที่สามได้แล้ว เจ้าจะได้รู้เกี่ยวกับนายท่านของข้า เอาล่ะ ข้าพูดไปหมดแล้ว เจ้าจะท้าทายด่านทดสอบหรือฝึกฝนที่นี่อย่างเงียบ ๆ?”

“ท้าทายด่านทดสอบ? แม้ว่าฉันจะเป็นนักเวทย์ระดับสี่เต็มตัว มันคงยากมากที่จะเอาชนะปฏิมากรอัคนีที่เทียบได้กับนักเวทย์ระดับเจ็ด หรือมีใครที่อยู่ในระดับสี่ที่เอาชนะนักเวทย์ระดับเจ็ดได้?”

เมอร์ลินพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น แม้แต่นักเวทย์อัจฉริยะระดับสี่ของออสมูก็ยังไม่สามารถเอาชนะนักเวทย์ระดับเจ็ดได้ แม้ว่าเมอร์ลินจะกลายเป็นนักเวทย์ระดับสี่ในสักวันหนึ่งและฝึกฝนพลังปีศาจแพนโดร่าทั้งหมดจนถึงรูปแบบที่สองแต่ก็ยังยากที่จะพูดได้ว่าเขาจะสามารถเอาชนะนักเวทย์ระดับเจ็ดได้หรือไม่

ยิ่งกว่านั้นปฏิมากรอัคนีก็ไม่ใช่นักเวทย์ระดับเจ็ดทั่วไป แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สามารถฆ่านักเวทย์ระดับเจ็ดได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ตามเปลวไฟหัวเราะอย่างเย็นชาและตอบกลับ “นักเวทย์ระดับสี่ไม่สามารถเอาชนะนักเวทย์ระดับเจ็ดไม่ได้หรือ ข้าสามารถพูดได้เพียงว่าเจ้าโง่เขลาและขาดปัญญามากเกินไป นักเวทย์ในยุคปัจจุบันเป็นเช่นนี้ทุกคนงั้นหรือ? นายท่านได้ออกแบบด่านทดสอบทั้งสามเพื่อค้นหาอัจฉริยะที่เทียบเท่ากับท่านหรือแข็งแกร่งกว่าท่าน

ในอดีต เมื่อนายท่านเป็นนักเวทย์ระดับสี่ เขาได้ปราบศัตรูซึ่งเป็นนักเวทย์ระดับเจ็ดได้ ถ้าเจ้าไม่มีความสามารถเทียบเท่ากับนายท่านได้ แสดงว่าเจ้าไม่มีสิทธิ์ในสมบัติที่ท่านทิ้งไว้!”

เมื่อมองดูการแสดงออกที่เย่อหยิ่งของเปลวไฟ เมอร์ลินก็สั่นสะท้านทั้งตัว

นักเวทย์ระดับสี่ที่สังหารนักเวทย์ระดับที่เจ็ดได้และอยู่ในช่วงยุคทองของเหล่านักเวทย์ คนที่ทิ้งอนุสาวรีย์นี้ไว้ต้องเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงซึ่งอาศัยอยู่ในยุคของจักรวรรดิมอลต้าอย่างแน่นอน!

อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินไม่สามารถผ่านด่านทดสอบที่สามได้ ความคิดและความคิดต่าง ๆ แวบเข้ามาในหัวของเขาแต่ไม่มีแผนใดที่มันใช้ได้เลย

“นี่ฉันต้องตายที่นี่จริง ๆ ใช่ไหม?”

เมอร์ลินพึมพำด้วยเสียงต่ำ ถ้าเขาไม่สามารถผ่านด่านทดสอบได้ เขาก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่แต่จะถูกขังอยู่ที่นี่ สิ่งนี้จะทรมานเขาทุกวันจนกว่าชีวิตของเขาจะหมดลงและร่างของเขาก็กลายเป็นกระดูก

ที่ด่านทดสอบแรก มีกองกระดูกแห้งซึ่งเคยเป็นนักเวทย์มากมาย

*วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง!*

ทันใดนั้นพื้นที่มิติของเบลล์ที่หน้าอกของเมอร์ลินก็เริ่มสั่น ปล่อยพลังงานที่ร้อนแรงออกมา

เมอร์ลินคำนวณเวลา พลังจิตที่ทำซ้ำในพื้นที่มิติจะต้องถึงขีดจำกัดอีกครั้งอล้ว ดังนั้นเขาจึงเคลียร์หัวของเขาจากความคิดที่ยุ่งเหยิงเหล่านี้และหลอมรวมพลังจิตที่ทำซ้ำภายในพื้นที่มิติเข้ากับพลังจิตของเขาเอง

พลังจิตของเมอร์ลินเพิ่มขึ้นอย่างมากอีกครั้ง ในที่สุด พลังจิตของเขาก็ค่อย ๆ หยุดขยายตัวอย่างสมบูรณ์ เขามาถึงจุดสูงสุดของพลังจิตระดับสามแล้ว พลังจิตมหาศาลดังกล่าวก็เพียงพอที่จะสร้างคาถาระดับสองเพิ่มอีกสองคาถา

ในตอนนี้ เมอร์ลินได้สร้างคาถาระดับสองเพียงสองคาถา ได้แก่ สารธารแห่งความมืดและม่านธรณี เขาจำเป็นต้องสร้างคาถาระดับสองอีกสี่คาถาก่อนที่เขาจะกลายเป็นนักเวทย์ระดับสอง

เขาจำเป็นต้องสร้างคาถาระดับสองทั้งหมดหกครั้งเพื่อก้าวไปสู่นักเวทย์ระดับสองแต่แต่พลังจิตของเขาต้องไปถึงระดับสี่ซะก่อนถึงจะทำได้

ในอดีตเมื่อพลังจิตของเมอร์ลินถึงระดับที่เขาสามารถสร้างคาถาเพิ่มเติมได้ เขาจะมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญกับด่านทดสอบที่สาม พลังของเมอร์ลินจะไม่เพิ่มขึ้นมากนัก แม้ว่าเขาจะกลายเป็นนักเวทย์ระดับสอง มันจะไม่ช่วยอะไรมากในแง่ของผ่านด่านทดสอบ

“ปฏิมากรอัคนี นักเวทย์ระดับเจ็ด…”

จู่ ๆ เมอร์ลินก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขานึกถึงพ่อมดลีโอและนึกขึ้นได้ว่าระหว่างการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่กับออซมู พ่อมดลีโอได้ไล่ล่านักเวทย์ระดับเจ็ดอันทรงพลังจากออซมูกว่าพันไมล์ เขายังก้าวข้ามระดับของตัวเองและฆ่าเขาด้วยมือเปล่า!

“ใช่ ก่อนที่ฉันจะจากไป พ่อมดลีโอมอบสร้อยข้อมือช่วยชีวิตให้ฉัน!”

ด้วยความตกใจ เมอร์ลินจึงยกมือขวาขึ้นทันที สายตาของเขาเหลือบไปที่ข้อมือของเขาและเป็นไปตามที่คาดไว้ เขาสวมสร้อยข้อมือสีดำหมึก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด