ตอนที่ 36 มาคุยกันหน่อย
เจียงเหยาทำหน้าบึ้ง อยากจะแก้ต่าง ทว่าเธอก็ไม่รู้จะแก้ต่างอะไรได้ ดูจากการตกแต่งห้อง เธอก็รู้แล้วว่าลู่ชิงสีรู้จักว่าเธอดีจริง ๆ และเขาก็คงรู้อะไรอีกมากเกี่ยวกับเธอ
“งั้นก็บอกหน่อยว่าฉันในตอนนี้ กับฉันในอดีต คนไหนดีกว่ากัน? คุณชอบฉันตอนนี้หรือตัวฉันในอดีตล่ะ” เจียงเหยาถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เธอมั่นใจว่าลู่ชิงสีคงไม่ลังเลที่จะบอกว่าชอบเธอในตอนนี้
แต่เขากลับไม่ตอบออกมาอย่างที่เธอคาดไว้
เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามคำถามเกี่ยวกับคำพูดของเธอ
“พวกเขาทั้งสองคน ต่างกันตรงไหนล่ะ?”
คำตอบนี้ของเขาหาช่องทางโต้ตอบได้ยากเสียจริง
เจียงเหยาไม่คาดคิดว่าตัวเองจะตกหลุมพรางของคำถามของตัวเอง พอเธอได้รับคำถามกลับเช่นนี้ เจียงเหยาจึงหันกลับไปทางอื่นอย่างไม่สบายใจ
เธอบอกเขาว่าเธออยากจะคุยกับเขา แต่เขากลับส่งคำถามอะไรมาให้เธอ? การพูดคุยกับเขาไม่ต่างจากการเดินย่ำอยู่กับที่ มันน่าเบื่อที่สุด
เมื่อเห็นว่าเจียงเหยาเริ่มอารมณ์ไม่ดี ลู่ชิงสีถามอีกครั้ง “คุณอยากได้คำตอบแบบไหนจากผม?”
สำหรับลู่ชิงสีแล้ว เธอก็คือเจียงเหยาของเขา ไม่ว่าเธอจะเป็นคนในตอนนี้หรือคนในอดีตก็ตาม
เขารักเธอที่เป็นเธอทั้งคู่ ตราบใดที่เธอคือเจียงเหยา ไม่ว่าเธอจะดีหรือชั่ว เขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้เธอเป็นคนรักของเขา
“ฉัน...” เจียงเหยาเปิดปากพูด แต่ไม่มีคำพูดอะไรออกมาหลังจากนั้นอีก
เอาเข้าจริงแล้ว เธออยากได้ยินเขาพูดว่าเขาชอบเธอในตอนนี้เพราะเธอเองรู้ดีว่าการเปลี่ยนแปลงของเธอในวันนี้ ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นไม่ใช่เหรอ
แต่ถ้าลู่ชิงสีบอกว่าเขาชอบเธอในตอนนี้จริง ๆ แล้ว...เธอจะมีความสุขอย่างงั้นเหรอ?
เพราะที่ผ่านมา เธอมักจะปลีกตัวอยู่ตามลำพังและมีทีท่าเฉยเมย จนทำให้เธอรู้แย่เมื่อนึกถึงความเย็นชาที่เธอมอบให้กับเขา
ก่อนหน้านี้เธอยังเป็นคนแบบนั้นอยู่ไม่ใช่เหรอ? เธอทำอย่างนั้นในอดีตไม่ใช่เหรอ?
หากเธอได้ยินคำตอบที่จริงจังและไม่หวั่นไหวของลู่ชิงสี เธอจะรู้สึกมีความสุขอย่างงั้นเหรอ? อาจทำให้เธอยิ่งรู้สึกละอายใจ เศร้า และรู้สึกผิด
“นอนได้แล้ว” ลู่ชิงสีพึมพำหลังจากรอคำตอบ ที่เจียงเหยาไม่ได้ตอบ เขาเอื้อมมือหยิบผ้าห่มผื่นบางขึ้น ห่มให้กับเธอและตัวเขาเอง รอต่ออีกสักพัก เห็นว่าเจียงเหยาไม่คัดค้าน เขาจึงปิดเปลือกตาลงอย่างสบายใจ
ไม่ใช่เพราะลู่ชิงสีเป็นคนที่เย็นชา แต่เขาแค่พยายามดูปฏิกิริยาของเธอ เขาดีใจที่เธอไม่ปฏิเสธ พวกเขาห่มผ้าผืนเดียวกัน ได้แบ่งปันความอบอุ่นซึ่งกันและกัน
ไม่มีใครพูดอะไรอีก ห้องทั้งห้องเงียบลงอีกครั้ง หน้าต่างที่เปิดอยู่รับลมที่พัดโชยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ผ้าม่านพลิ้วไหวไปตามแรงลมเหมือนจงใจ เจียงเหยาเปิดเปลือกตาของเธอและจ้องไปที่ผ้าม่านที่ลอยตามแรงลมอยู่โดยไม่กระพริบตา เธอเฝ้ามองดูมันกระทั่งน้ำตาคลอเบ้า เธอกระพริบตาและสูดลมหายใจอย่างแผ่วเบา
เจียงเหยาไม่แน่ใจว่าชายที่นอนอยู่ข้าง ๆ เธอหลับไปแล้ว หรือเพียงแค่หลับตาเฉย ๆ เธอร้องเรียกเขาเบา ๆ อย่างลังเล “ลู่ชิงสี...”
เสียงของเธอเบาบางและอ่อนโยน แต่ชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้าง ๆ ก็ได้ยินอย่างชัดเจน เขาพูดตอบรับในลำคอ “อืม”
เธอเม้มริมฝีปากและขยับเข้าใกล้ลู่ชิงสี กระทั่งแขนของเธอสัมผัสเข้ากับแขนของเขา เมื่อได้ตำแหน่งที่สบายแล้วก็จ้องไปที่ลู่ชิงสี ชายคนนี้ลืมตาขึ้น จ้องมองเธอกลับ ราวกับสายตาของผู้ล่าที่จ้องมองเหยื่อของตนเอง