บทที่ 25 คุณลุงเพื่อนบ้าน
บทที่ 25 คุณลุงเพื่อนบ้าน
หลินถงซูนั่งรถของสวีเสี่ยวตงเดินทางกลับไปยังอาคารที่เกิดเหตุฆาตกรรม ทั้งคู่ถามทุกคนในตึกเกี่ยวกับเรื่องของผู้ตาย แต่เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงกลางดึกสงัด ผู้พักอาศัยคนอื่น ๆ จึงไม่ได้ยินเสียงอะไรผิดปกติ และเพียงแสดงความเศร้าเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
บรรดาเพื่อนบ้านต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าครอบครัวนี้มีมิตรไมตรีดีมาก โดยเฉพาะชายเจ้าของห้องเขายิ้มแย้มทักทายเพื่อนบ้านอยู่เสมอ เขาเป็นคนนิสัยดีมาก อีกทั้งครอบครัวของเขายังแบ่งปันอาหารให้กับเพื่อนบ้านบ่อยครั้ง บางทีก็ช่วยกวาดฝุ่นตามทางเดินด้วย
ส่วนคำถามที่เฉินฉีแนะนำให้ถามพวกเขา ไม่มีเพื่อนบ้านคนไหนรู้ลึกถึงขนาดนั้น มีเพียงแค่คุณลุงคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในห้องฝั่งตรงข้าม เขาเห็นคนกลุ่มหนึ่งมาป้วนเปี้ยนแถวห้องของกงเหวินอยู่บ่อย ๆ พร้อมแบกถังสีมาด้วย ลักษณะคล้ายคนทวงหนี้ที่จ้องจะสาดสีใส่เป็นการข่มขู่คุกคาม คุณลุงหวังดีจึงเตือนให้พวกนั้นอย่ามาสร้างความวุ่นวาย จากนั้นจึงเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้มาขับไล่ออกไป
หลินถงซูเตรียมตัวจะขอบคุณเขาและจบการตั้งคำถาม ขณะนั้นเองเฉินฉีก็โทรมาหาเธอ “การสืบสวนเป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย เพื่อนบ้านหลายคนบอกว่าครอบครัวนี้อัธยาศัยดีมาก ๆ และความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านก็สนิทสนมกันปกติดี”
“ถามความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาคู่นั้นด้วยสิ จำขั้นตอนการสืบสวนอาชญากรรมไม่ได้แล้วรึไง?”
หลังเฉินฉีวางสายไป หลินถงซูจึงบ่นอุบ “สำคัญตัวว่าเป็นเจ้านายฉันรึยังไงกัน?” จากนั้นเธอจึงหันไปคุยกับคุณลุงต่อ “ฉันมีอีกคำถามหนึ่งค่ะ ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาของพวกเขาดีแค่ไหนคะ?”
“นั่นคำถามอะไรของคุณน่ะ? พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ต้องดีสิ ไอ้หมอนี่ก็แค่สุ่มคำถามไปมั่ว ๆ คุณจำเป็นต้องทำตามเขาว่าทุกอย่างเลยเหรอ?” สวีเสี่ยวตงบ่นเพราะได้ยินเสียงจากโทรศัพท์เช่นกัน
ไม่คาดคิดว่าคุณลุงจะตอบกลับโดยทันที “ความสัมพันธ์ช่วงแรกก็ดูรักใคร่กันดีอยู่หรอก แต่ช่วงปีนี้ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงได้ทะเลาะกันเป็นประจำ”
“จริงเหรอ?” ทั้งสองตกใจในคำตอบนั้น หลินถงซูจึงยิงคำถามต่อไป “คุณช่วยอธิบายเรื่องนี้ให้พวกเราทราบอย่างละเอียดได้ไหมคะ?”
ตอนนั้นเองภายในห้องของคุณลุงกลับมีเสียงบางอย่างร้องเตือน เขาจึงขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน “ซุปที่ผมต้มไว้เดือดพอดีน่ะ ขอโทษด้วยนะ!” ว่าแล้วเขาก็รีบหันกลับเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
ทั้งคู่หันมองหน้ากัน หลินถงซูเสนอขึ้น “เข้าไปข้างในก่อนเถอะ”
“เดี๋ยวสิ เขายังไม่อนุญาตเลยนะ” สวีเสี่ยวตงเกิดความเกรงใจขึ้นมากะทันหัน
“มัวแต่ชักช้าเดี๋ยวก็พลาดข้อมูลสำคัญหรอก”
หลินถงซูไม่สนใจเขาและเดินเข้าไปในห้องทันที พบว่าคุณลงคนนั้นกำลังสาละวนอยู่ภายในครัว เขาหยิบถ้วยออกมาตักซุปสองถ้วยก่อนยื่นให้พวกเขา “คุณสองคนคงทำงานกันเหนื่อยน่าดู พักกินซุปสักหน่อยสิ”
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก!”
“อย่าเกรงใจเลย ค่อย ๆ กินไปพูดคุยกันไปก็ได้”
ทั้งคู่รู้สึกเกรงใจจึงรับถ้วยซุปมาตามมารยาท คุณลุงเริ่มเล่าว่าสามีภรรยาคู่นี้โต้เถียงกันบ่อยมาก จับสังเกตว่าจะทะเลาะกันด้วยเรื่องใหญ่โตทุก ๆ ห้าวัน ส่วนทุกสามวันจะขัดแย้งกันด้วยเรื่องเล็กน้อย ทุกครั้งที่เกิดเรื่องพวกเขาชอบทำลายข้าวของและเขวี้ยงจานชามเสียงดัง จากนั้นจึงตามด้วยเสียงร้องไห้โฮของเด็กชาย ส่วนหญิงชราแม่ของหญิงสาวนั้นเข้าข้างลูกสาวของตนเสมอ ทั้งยังออกโรงปกป้องและมีปากเสียงกับลูกเขยอยู่เป็นประจำ เมื่อมีคนคอยหนุนหลังหญิงสาวจึงเอาแต่ตะโกนลั่นและสรรหาข้อบกพร่องของอีกฝ่ายมาก่นด่า หลายครั้งในช่วงกลางดึก คุณลุงมักได้ยินชายเจ้าของห้องตะโกนโต้กลับไปว่า “ฉันไม่อยากอยู่ในสภาพนี้อีกแล้ว!”
หลินถงซูนั่งฟังพร้อมคิดตาม ‘ทำไมคุณลุงคนนี้ถึงได้ตามติดสถานการณ์ของครอบครัวฝั่งตรงข้ามละเอียดดีจัง’ เธอกวาดสายตามองไปรอบห้อง ในห้องนี้ไม่มีโทรทัศน์ เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ในห้องบ่งบอกว่าชายชราอาศัยอยู่เพียงคนเดียว ดังนั้นเขาคงเป็นคุณลุงขี้เหงาคนหนึ่งที่ไม่มีกิจกรรมอะไรทำ จึงตั้งใจเงี่ยหูฟังเรื่องของครอบครัวอื่นเป็นพิเศษ
ข้อสรุปดังกล่าวทำให้เธอภูมิใจกับตัวเองมาก ‘ดูเหมือนว่าฉันเริ่มซึมซับทักษะจากคนใกล้ตัวมาบ้างแล้วสินะ ตอนนี้ฉันสามารถตั้งข้อสันนิษฐานและหาเหตุผลได้ไม่เลวเลย’
“คุณลุงคะ พอจะรู้สาเหตุที่พวกเขาทะเลาะเบาะแว้งกันหรือเปล่า?” หลินถงซูถาม
“สาเหตุน่ะเหรอ?” คุณลุงกะพริบตาและทำท่าราวกับการนินทาเป็นสิ่งที่ช่วยจรรโลงใจเสียเหลือเกิน “จะเป็นเรื่องอะไรไปได้ถ้าไม่ใช่เรื่องเงิน! พวกเขาติดหนี้ก้อนใหญ่ แล้วอย่าลืมเสียล่ะว่าครอบครัวของเขามีกันตั้งสี่ชีวิต แต่เงินกินใช้หักโน่นนี่แล้วเหลือแค่ไม่กี่พันหยวนต่อเดือน รายได้ก็มาจากการทำงานของกงเหวินแค่ทางเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นจะไม่ให้พวกเขาวิตกยังไงไหว? สามีภรรยาคู่นั้นต่างกดดันมาก ต่อให้ตอนแรกจะยังพอหาหนทางถูไถไปได้เป็นครั้ง ๆ ไป แต่นานวันเข้าก็กลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัยเลยล่ะ!”
“ดูเหมือนคุณลุงจะรู้เรื่องของครอบครัวนี้ดีมาก ๆ เลยนะคะ”
“ไม่ใช่แค่เรื่องของครอบครัวนี้หรอก ไม่ว่าเรื่องของเพื่อนบ้านคนไหนผมก็รู้หมดแหละ!” คุณลุงพูดด้วยความภาคภูมิใจ
ขณะนั้นเองสวีเสี่ยวตงกลับพูดแทรกขึ้น “คุณลุงครับ ซุปของคุณดูเหมือนจะเค็มไปหน่อย”
หลินถงซูหันขวับไปมองเขา เจ้าบ้านี่สนใจแต่การกินซุปแถมยังซดเข้าไปจนเกือบหมดถ้วย! เธอใช้ไหล่ดันกระแทกตัวเขาทันทีเป็นการตำหนิจนสวีเสี่ยวตงร้องโอ๊ย
“งั้นเดี๋ยวผมจะไปเติมน้ำสักหน่อยแล้วตักเพิ่มให้คุณใหม่” คุณลุงตั้งท่าจะลุกจากเก้าอี้
“ไม่ต้องค่ะ ไม่เป็นไร อย่าใส่ใจเขาเลย คุณเล่าต่อเถอะค่ะ แล้วคุณลุงรู้ไหมคะว่าทำไมครอบครัวของเขาถึงได้เป็นหนี้มากมายขนาดนั้น?”
“เรื่องนี้ผมเองก็ไม่เคยได้ยินพวกเขาพูดถึงมาก่อน แต่เดาว่าอาจเป็นผลพวงมาจากอาการล้มป่วยของพ่อตาเขา เหล่าซูเสียชีวิตไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่ก่อนหน้านั้นก็ยื้อชีวิตกันมาตั้งปีกว่า ใช้เงินรักษาไปไม่น้อย แต่สุดท้ายเงินเหล่านั้นก็สูญเปล่า ผมเคยแนะนำให้พวกเขารักษาเหล่าซูที่บ้านด้วยวิธีอนุรักษนิยม ไม่เห็นจำเป็นต้องนำส่งโรงพยาบาลและรับการผ่าตัดเลย ไม่รู้รึว่าสถานที่นั้นนอกจากดูดชีวิตแล้วยังขูดรีดเงินทองไปจากเรา ตัวเหล่าซูเองก็อายุปาเข้าไปแปดสิบกว่าแล้ว จะเร็วหรือช้าสุดท้ายเขาก็ต้องตายอยู่ดี ไม่เห็นต้องพยายามใช้เงินยื้อเวลาให้มากเรื่อง เฮ้อ... ยิ่งชราภาพเท่าไหร่โรคภัยก็ยิ่งถามหา อยู่ที่ความตายจะมาพรากลมหายใจไปเมื่อไหร่ก็เท่านั้น!”
หลินถงซูคิดตามและพบว่าสิ่งที่เขาพูดมีเหตุผล แต่แล้วก็รู้สึกว่าคนข้าง ๆ กำลังขยับตัวยุกยิก สวีเสี่ยวตงตักซุปที่เหลือเข้าปากและเริ่มประเมินรสชาติอีกรอบ จากนั้นจึงยกย่องฝีมือการปรุงอาหารของคุณลุงไม่หยุดปาก ซึ่งคุณลุงก็ปลื้มปริ่มมากและเชิญพวกเขามากินซุปอีกในโอกาสหน้า
หลินถงซูเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างบ้างแล้ว เธอถามต่อไป “โดยปกติแล้วคนเราจะยอมกู้เงินนอกระบบที่ดอกเบี้ยมหาโหดแค่เพื่อนำมารักษาคนที่บ้านเชียวหรือคะ? ต่อให้เงินขาดมือจริงก็ควรนำห้องไปจำนองแทนจะเป็นการดีกว่าหรือเปล่า? โอ้ จริงสิคะ คุณลุงได้ยินเขาพูดถึงการนำห้องไปจำนองบ้างไหม?”
คุณลุงส่ายหน้า “เรื่องนี้ผมเองก็ไม่รู้ สงสัยคุณต้องกลับไปค้นข้อมูลที่สถานีตำรวจดู ยัยหนู... ทำไมไม่แตะซุปสักช้อนเลยล่ะ?”
“อ๊ะ ฉันจะกินเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ!”
หลังตักซุปกินจนหมดถ้วย คุณลุงเจ้าของห้องจึงเดินลงมาส่งเขาถึงหน้าประตูอาคาร โดยที่สวีเสี่ยวตงพูดคุยกับคุณลุงอย่างเป็นกันเองตลอดทาง ทันทีที่ทั้งสองเดินพ้นออกมาจากตัวอาคารแล้วหลินถงซูก็รีบหันไปตำหนิเขา “คุณตั้งใจมากินหรือมาสืบคดีกันแน่?”
“โธ่ เธอจะเข้าใจอะไร การทำแบบนี้เท่ากับเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับมวลชนยังไงล่ะ ถ้าผมไม่ทำตัวเฟรนลี่แล้วเขาจะยอมเล่าข้อมูลทุกเรื่องที่คุณอยากรู้จนหมดเปลือกขนาดนี้เหรอ?”
หลินถงซูขี้เกียจเกินกว่าจะโต้เถียงกับเขา เธอรีบส่งข้อมูลที่ได้รับมาให้เฉินฉีรู้ผ่านวีแชททันที และเขาก็พิมพ์ตอบกลับเธอแทบจะในทันทีเช่นกัน “เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำอะไรบางอย่างแน่ คุณลองไปสืบถามบริษัทที่ผู้ตายทำงานอยู่ก็ดีนะ”
สวีเสี่ยวตงแอบเหล่ตาอ่านข้อความผ่านจอมือถือของหลินถงซู “ผู้ชายคนนี้คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? คำพูดคำจาแต่ละอย่างแทบจะชี้นิ้วสั่งอยู่ละ ผมฟังคำสั่งจากผู้กองหลินเท่านั้น ไม่ใช่จากเขา!”
“เขาเก่งกว่าคุณเป็นร้อย ๆ เท่า!” หลินถงซูตอบโต้
สวีเสี่ยวตงสะดุ้งโหยง “ถงซู คุณคงไม่ได้ชอบเขาจริง ๆ ใช่ไหม?”
หลินถงซูก้าวฉับ ๆ ตรงไปที่ทางออกของตัวอาคาร สวีเสี่ยวตงกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาจนทัน “นี่ก็ห้าโมงเย็นแล้วนะ ไปกินข้าวกันสักหน่อยไหม เดี๋ยวผมเลี้ยงคุณเอง!”
“กิน กิน แล้วก็กิน! ใจคอคุณจะสนใจแต่เรื่องกินรึไง? เราต้องไปที่บริษัทก่อนที่จะปิดทำการนะ!”
ไม่นานนักพวกเขาจึงขับรถมาบริษัทประกันที่กงเหวินทำงานอยู่ ออฟฟิศยังคงเปิดอยู่ในตอนที่พวกเขามาถึง จู่ ๆ สวีเสี่ยวตงก็เหมือนมีความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในสมอง “ผมพอเข้าใจแล้ว ผู้ตายทำงานให้กับบริษัทประกัน เพราะงั้นคดีนี้ต้องเกี่ยวข้องกับประกันภัยแน่ ๆ!”
“เกี่ยวข้องกันแบบไหนล่ะ?” หลินถงซูถามกลับ
“ก็... อาจมีใครสักวันหวังเอาเงินประกันจากเขา”
“ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากประกันภัย ผู้ที่จะได้ต้องเป็นคนในครอบครัวเท่านั้น คนนอกไม่มีส่วนได้เสียอะไรซะหน่อย”
สวีเสี่ยวตงมือเกาแก้มตัวเองแก้เขินและพยายามพูดกลบเกลื่อน “ผมว่าต้องเกี่ยวสักอย่างแหละ ไปดูเดี๋ยวก็รู้!”
ทั้งสองพบกับคุณป้าที่เป็นหัวหน้าทีมขายประกันของกงเหวิน เมื่อถามไถ่ถึงเรื่องเกี่ยวกับเขาคุณป้าจึงรีบตอบกลับทันที “โอ้ เสี่ยวกงน่ะเหรอ เขาทำงานเก่งแถมยังนิสัยดีมาก ๆ เลยล่ะ เขาเป็นคนทุ่มเทเต็มร้อยและใสซื่อจริงใจมาก เขาทำงานให้ฉันมาประมาณสิบปีแล้ว ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดเลย”
“คุณหรือเปล่าคะว่าความจริงแล้วเขาติดหนี้นอกระบบก้อนโตเลย” หลินถงซูถาม
“ติดหนี้งั้นเหรอ!?” คุณป้าดูตกใจมาก แต่แล้วก็แปรเปลี่ยนสีหน้าครุ่นคิดกลับมาเป็นปกติ การแสดงออกที่รวดเร็วนั้นทำให้หลินถงซูไม่คิดอะไรมาก “ไม่รู้สิ เพราะนี่ถือเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา”
“เขาเคยลงทุนทำประกันในนามตัวเองหรือเล่าครับ?” สวีเสี่ยวตงถามบ้าง
“อ้อ แน่นอนสิ”
“รู้ไหมครับว่าเขาทำไว้สำหรับใครบ้าง?”
“ตัวเขาเอง ภรรยา แม่ยาย แล้วก็ลูกชายของเขาน่ะ”
ได้ยินแบบนี้สวีเสี่ยวตงจึงพูดกับหลินถงซูด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เห็นไหม!? ผมบอกคุณแล้วว่าคดีนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเงินประกันแน่!”