บทที่ 24 ฆาตกรล่องหน
บทที่ 24 ฆาตกรล่องหน
ภายในห้องแล็บ เจ้าหน้าที่ชันสูตรกำลังทำการผ่าศพ และฝ่ายนิติเวชกำลังทดสอบผลร่วมกับหลักฐานอื่น ๆ ที่ได้รับมาจากสถานที่เกิดเหตุ
เฉินฉีและหลินถงซูยืนรออยู่ที่ประตู สวีเสี่ยวตงก็เดินตามทั้งคู่มาด้วย เธอหันไปถามเขาด้วยความรำคาญ “คุณตามมาทำไม?”
“พวกเราเป็นคู่หูกันนี่นา!” สวีเสี่ยวตงตอบ
“ใครอยากเป็นคู่หูกับคุณกัน?”
สวีเสี่ยวตงทำท่าเหมือนหัวใจของตัวเองฉีกขาดออกเป็นชิ้นเมื่อถูกคำพูดของหญิงสาวทิ่มแทง สองมือยกขึ้นกุมอก สายตาหลุบต่ำไม่กล้าสู้หน้าเธออีก
หัวหน้าหน่วยชันสูตรเผิงซื่อจวี๋ยืนอยู่กลางห้องขณะออกคำสั่ง “เสี่ยวชาง นำตัวอย่างผิวหนังพวกนี่ไปทำการทดสอบและทำรายงานเกี่ยวกับพยาธิวิทยาแสงด้วย เสี่ยวลี่ ทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบรอยเท้าแล้วหรือยัง? โอ้... ลูกอมของฉัน ลูกอมของฉันหายไปไหนเนี่ย?!”
เผิงซื่อจวี๋หมุนตัวไปรอบ ๆ จนเจอซองลูกอมรสมิ้นต์อยู่ใต้กองกระดาษ เขาแกะซองหุ้มออกและหยิบใส่ปากเม็ดหนึ่งก่อนหันไปง่วนอยู่กับเอกสารต่อ
‘นิสัยนายนี่ไม่เปลี่ยนไปเลย’ เฉินฉีพึมพำด้วยเสียงกระซิบ สบจังหวะแล้วจึงเดินตรงเข้าไป “ผมมีเรื่องจะถามครับ ไม่ทราบว่ารายงานเกี่ยวกับเลือดที่ติดอยู่บนด้ามมีดได้ผลสรุปสมบูรณ์แล้วหรือยัง?”
เผิงซื่อจวี๋ตอบกลับโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง “คุณเป็นใคร? คิดว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาลรึไงที่ใครคิดจะเดินเข้าเดินออกก็ได้? แม้แต่แล็บในโรงพยาบาลยังต้องขอดูใบรับรองด้วยซ้ำ?”
“ผู้กองหลินเรียกผมมาช่วยไขคดีนี้”
“หลักฐานล่ะ” เผิงซื่อจวี๋ถามกลับห้วน ๆ พร้อมหยิบแว่นสายตากรอบดำขึ้นสวม ก่อนจะนั่งสำรวจเอกสารต่อ
หลินถงซูเดินเข้ามาเพื่อช่วยยืนยันอีกแรง “หัวหน้าเผิงคะ สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง ฉันสามารถยืนยันได้”
“ผมไม่ต้องการหลักฐานแบบปากเปล่า” เผิงซื่อจวี๋ไม่สนใจ เขายังคงแสดงท่าทางเย็นชาและตอบกลับอย่างไม่แยแส
หลินถงซูรู้สึกอับจนหนทาง ไม่รู้ว่าตัวเองควรปั้นหน้าอย่างไรต่อไปดี เฉินฉีจึงหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรหาหลินชิวผู ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นปลายสายจึงตำหนิกลับมายาวเหยียด “ให้ตายสิ! ใครใช้ให้คุณไปรบกวนการทำงานของคนอื่นกัน? ถ้าผมรู้ข้อมูลอะไรมาผมจะบอกคุณเอง!”
“ผู้กองหลิน คุณช่วยยืนยันกับเขาให้หน่อยได้ไหม? ผมขอร้องล่ะ” พูดจบเฉินฉีก็วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะพร้อมเปิดลำโพง
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลินชิวผูจึงจำใจพูดอย่างไม่มีทางเลือก “ซื่อจวี๋ ผมเป็นคนขอให้เขามาช่วยผมเอง รบกวนคุณช่วยบอกข้อมูลให้เขาทราบด้วยนะ”
ในที่สุดเผิงซื่อจวี๋จึงเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารและหันไปมองเฉินฉี จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาเปิดโปรแกรมบันทึกเสียงบ้าง “รบกวนผู้กองหลินช่วยพูดซ้ำอีกครั้งด้วย ผมจำเป็นต้องบันทึกไว้เป็นหลักฐาน”
ตำรวจทุกคนที่นี่รวมถึงหลินชิวผูต่างรู้ดีว่าเผิงซื่อจวี๋มีนิสัยเข้มงวดมาก ดังนั้นเขาจึงต้องพูดซ้ำอีกครั้งเป็นการรับรอง หลังจากบันทึกเสียงเสร็จแล้วเผิงซื่อจวี๋จึงยอมปริปาก “การระบุดีเอ็นเอไม่ใช่กระบวนการที่สามารถทำได้แบบปัจจุบันทันด่วน เราต้องรออีกอย่างต่ำประมาณสองถึงสามชั่วโมง พวกคุณเองก็น่าจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“โอ้ เรื่องนั้นคุณต้องมืออาชีพกว่าพวกเราอยู่แล้ว!” เฉินฉียิ้มและถามต่อ “แล้วผลการทดสอบที่สรุปสมบูรณ์แล้วล่ะครับ?”
เผิงซื่อจวี๋หันไปหยิบกระดาษสองสามแผ่นออกมาวางบนโต๊ะ “พบรอยเท้าเปื้อนคราบเลือดในที่เกิดเหตุ รองเท้าผ้าใบนั้นมีขนาดเบอร์ 43 บริเวณขอบนอกเต็มไปด้วยรอยสึกหรอ ตรวจสอบแล้วไม่มีรองเท้าคู่ไหนในบ้านที่มีรอยตรงกัน คาดเดาว่าต้องเป็นรอยเท้าของฆาตกร”
“ในที่เกิดเหตมีรองเท้าไซซ์อะไรบ้าง?”
“34 35 และ 43” เผิงซื่อจวี๋ตอบอย่างไหลลื่น
“ฆาตกรกับชายเจ้าของห้องใส่รองเท้าไซซ์เดียวกันงั้นเหรอ?” เฉินฉีพึมพำ จากนั้นจึงตั้งคำถามต่อไป “แล้วเจออะไรอีกไหม?”
“เราพบรอยนิ้วมือทั้งหมดสี่ชุด สองชุดแรกอยู่บนอาวุธสังหาร เป็นของชายเจ้าของห้องและภรรยาของเขา ไม่เจอรอยนิ้วมือของฆาตกรแต่อย่างใด… กลายเป็นว่าพบรอยนิ้วมือของชายเจ้าของห้องมากที่สุด”
“มีถ้วยชามจำนวนหนึ่งอยู่ในที่เกิตเหตุซึ่งเราสามารถใช้หารอยนิ้วมือได้ ในเมื่อฆาตกรเป็นคนรู้จักใกล้ชิด คงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกินซุปโดยใส่ถุงมือตั้งแต่ตอนแรก”
“เสี่ยวชาง” เผิงซื่อจวี๋ตะโกนเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนเพื่อให้เขามาอธิบายงานในส่วนนี้แทน
เจ้าหน้าที่ที่ชื่อเสี่ยวชางตอบกลับ “บนถ้วยพบรอยนิ้วมือแค่ของคนในครอบครัวสี่คนเท่านั้นครับ ไม่มีของคนอื่นแล้ว”
“ระวังตัวขนาดนี้เลยแฮะ” เฉินฉีพึมพำอีกครั้ง
สวีเสี่ยวตงโพล่งขึ้น “ผมเข้าใจแล้ว! ฆาตกรวางแผนทั้งหมดไว้ก่อนแล้วนี่เอง! เพราะงั้นเขาต้องทากาว 502* ไว้ตามนิ้วมือเพื่อจะได้ไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ หัวหน้าเผิงลองตรวจหากาว 502 ในสิ่งของอย่างอาวุธหรือถ้วยชามดูสิครับ”
*กาว 502 = กาวร้อนอย่างดีของจีน ลักษณะคล้ายกาวตราช้างของไทย
เผิงซื่อจวี๋มองสวีเสี่ยวตงตาขวาง “คุณไม่จำเป็นต้องชี้แนะวิธีการทำงานให้ผมหรอก ข้อสันนิษฐานแบบนี้ผมหรือจะมองข้ามไม่ทันตรวจสอบ?!” พูดจบแล้วเขาก็ป้อนลูกอมเข้าปากตัวเองไปอีกหนึ่งเม็ด
“อ๊ะ! ขะ...ขอโทษที่เสียมารยาทครับ!” สวีเสี่ยวตงละล่ำละลักตอบกลับ
เผิงซื่อจวี๋พูดเสริม “ผลการตรวจสอบน้ำลายก็สรุปได้ว่ามีเพียงสี่คนเท่านั้นที่กินซุป”
“มีซุปอยู่ห้าถ้วย แต่คนกินมีแค่สี่คนเนี่ยนะ?” เฉินฉีดูสับสน
เผิงซื่อจวี๋จ้องเฉินฉีเขม็ง “การทดสอบของผมไม่เคยผิดพลาด!”
เฉินฉีรีบอธิบาย “ผมไม่ได้สงสัยผลสรุปของคุณซะหน่อย โอ้! จริงสิ ผมอยากให้คุณทำการทดสอบให้ผมหน่อย ผมอยากรู้ว่าเลือดบนอาวุธสังหารนั้นมาจากคนนอกรึเปล่า? แล้วอย่าลืมทดสอบตัวอย่างเลือดนั้นว่ามีความเข้ากันกับเด็กชายที่กระโดดตึกลงมาไหม?”
“ต้องมีตัวอย่างเลือดของเด็กด้วย”
“เดี๋ยวผมจะนำมาส่งให้ในภายหลัง”
“โอเค เข้าใจแล้ว ถ้าพวกคุณไม่มีอะไรแล้วก็ออกไปซะ อย่ารบกวนการทำงานของพวกเรานานนัก”
“งั้นผมขอตัวก่อน”
ระหว่างที่กำลังจะเดินออกจากห้องแล็บ หลินถงซูจึงหันไปบอกเฉินฉี “อย่าถือสาเขาเลยนะคุณ หัวหน้าเผิงเป็นคนแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ช่วงแรกคนอื่น ๆ ในทีมของเราก็ทนเขาไม่ค่อยได้เหมือนกัน”
“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ ความจริงแล้วเขาก็ดูไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนะ แค่นิสัยเป็นเอกลักษณ์เกินไปสักหน่อย” เฉินฉีหัวเราะ
“ฉันขอถามอะไรหน่อย ทำไมเราต้องทดสอบความเข้ากันได้ของตัวอย่างเลือดนั้นกับของเด็กด้วยล่ะ? หรือคุณคิดว่า…”
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่อยากลองทดสอบสมมติฐานดูน่ะ”
ทั้งสองพูดคุยกันไปตลอดทางโดยทิ้งให้สวีเสี่ยวตงเดินตามหลังมาอย่างเงียบ ๆ ผ่านมาพักหนึ่งเขาจึงอยู่ไม่สุขอีกต่อไป “ถงซู ผมไม่ได้เจอคุณมาแค่สองสามวันเองนะ คุณทันไปสนิทกับตาลุงนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่? ข่าวที่เขาลือกันในทีมเป็นเรื่องจริงเหรอ?”
หลินถงซูหันขวับทันที “การที่ฉันจะสนิทกับใครสักคนมันนับเป็นธุระให้คุณมาคอยสนใจตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วเรื่องข่าวที่ลือกันในทีมนี่หมายความว่าไง?”
“ปะ... เปล่า! ไม่มีอะไรซะหน่อย” สวีเสี่ยวตงยิ้มแหย
“บอกมานะ! มีใครนินทาฉันลับหลังใช่ไหม?!”
“อย่าสนใจเลยน่าว่าคนอื่นเขาจะนินทาอะไร รีบไปทำเรื่องของเราให้เสร็จดีกว่า” เฉินฉีเตือนเธอ
“ไม่ให้สนใจได้ยังไงล่ะ! การนินทาลับหลังเนี่ยเป็นอะไรที่น่าเกลียดที่สุด!” หลินถงซูทำท่าขยะแขยง เธอเข้าใจเรื่องพวกนี้ดีจากการที่ตัวเธอเองเป็นน้องสาวของหัวหน้าหน่วยสืบสวน ทำให้คนอื่น ๆ ต่างคิดกันไปว่าที่เธอได้ทำงานนี้ก็เพราะเส้นสาย ซึ่งนั่นไม่ใช่ความจริงเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้นการที่เธอมีพี่ชายแท้ ๆ อย่างหลินชิวผูอยู่ร่วมสำนักงานเดียวกัน เธอจึงได้รับโอกาสในการทำงานแค่สองสามครั้ง กลายเป็นว่าอยู่ในทีมมาเกือบสองปีแต่แทบไม่ได้สร้างผลงานเดี่ยวอะไรเลย
เมื่อพวกเขาออกมาข้างนอก เฉินฉีก็หยุดเดินกะทันหัน หลินถงซูหันไปถามเขา “มีอะไรหรือเปล่า? คุณจะไม่ไปกับพวกเราจริง ๆ เหรอ?”
เฉินฉีตอบกลับ “ผมจะกลับไปที่โรงพยาบาลเพื่อเก็บตัวอย่างเลือดจากเด็กชายคนนั้น เสร็จแล้วผมก็กะว่าจะกลับไปงีบสักพัก ถ้าคุณได้ความคืบหน้าอะไรมาก็บอกผมด้วยแล้วกัน ถึงยังไงผมก็ไม่ใช่ตำรวจ ไม่จำเป็นต้องตามพวกคุณไปทุกที่”
“คดีคืบหน้ามาถึงขั้นนี้แล้ว คุณคิดยังไงบ้าง?”
“แล้วพี่ชายคุณล่ะ? เขามุ่งเป้าการสืบสวนไปที่ประเด็นไหน?”
“บริษัทที่ให้ครอบครัวผู้ตายกู้ยืมเงิน”
สวีเสี่ยวตงพูดแทรกขึ้นมา “ครอบครัวนี้เป็นหนี้นอกระบบตั้งแปดแสนหยวน แถมบริษัทที่ปล่อยกู้ก็มีชื่อเสียงไปในด้านลบเป็นส่วนใหญ่”
เฉินฉีลองคิดตาม จากนั้นจึงเสนอแนะ “ผมขอแนะนำพวกคุณนะ ตอนที่ไปสอบถามพยานผู้เห็นเหตุการณ์ อย่าลืมถามพวกเขาด้วยล่ะว่าครอบครัวนี้ไปทำอะไรมาถึงได้เป็นหนี้เยอะขนาดนั้น”
“คุณคิดว่าบริษัทปล่อยกู้มีส่วนได้เสียที่จะก่อเป็นมูลเหตุจูงใจในการฆาตกรรมไหม?”
“อย่าลืมสิ่งที่ผมบอกล่ะ”
หลินถงซูลองคิดตาม ทบทวนจากสิ่งที่เขาเน้นย้ำอยู่เสมอคือข้อสงสัยเกี่ยวกับการที่ฆาตกรไว้ชีวิตเด็กชายซึ่งยังไม่สามารถหาคำตอบได้ ดังนั้นด้วยมุมมองนี้แล้ว ดูเหมือนว่าบริษัทที่ปล่อยเงินกู้อาจไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย
“แล้วเจอกันนะ” เฉินฉียิ้มแล้วเดินจากไป
สวีเสี่ยวตงที่คันปากอยู่แล้วหันไปถามหลินถงซูทันที “ถงซู อย่าบอกนะว่าเธอชอบตาลุงคนนั้น?”
“เหลวไหลน่า!” หลินถงซูตอบกลับ แต่เมื่อลองคิดดูแล้ว สวีเสี่ยวตงเองก็คอยป้วนเปี้ยนขายขนมจีบเธออยู่หลายครั้ง บางทีเธออาจจะใช้โอกาสนี้ทำให้เขาเลิกมายุ่งวุ่นวายกับเธอเสียที นึกแล้วจึงรีบเปลี่ยนคำพูดทันควัน “ก็... ใช่ ทำนองนั้น ฉันชอบตาลุงนั่นเพราะเขาดูเป็นผู้ใหญ่ดีออก ไม่เห็นน่าแปลกตรงไหน”
ท่าทางสวีเสี่ยวตงเปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วน “แต่เขาดูไม่ภูมิฐานเอาซะเลยนะ… ดูความเหลาะแหละของเขาสิ ทั้งเนื้อทั้งตัวก็เหม็นแต่กลิ่นบุหรี่! ดูซอมซ่อจะตายไป!”
“ฮึ อย่างน้อยเขาก็ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่คนที่เอาแต่ซุบซิบนินทาลับหลังคนอื่นเยอะ” หลินถงซูเถียงกลับแล้วจึงเดินผละออกไป
สวีเสี่ยวตงยืนนิ่ง คิดตามคำพูดของอีกฝ่ายพูดอยู่นานพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง “เธอพูดจริงหรือแค่ประชดกันแน่นะ?”