บทที่ 23 พี่ชายใจแคบ
บทที่ 23 พี่ชายใจแคบ
เฉินฉีจอดรถด้านล่างลานจอดบริเวณที่พักของหลินถงซู จากนั้นจึงใช้สายตาสำรวจตัวอะพาร์ตเมนต์ที่ดูธรรมดา “คุณอยู่ที่นี่เหรอ?” เขาถาม
“คุณกำลังจะบอกว่าที่อยู่ของฉันทำเลไม่ดีแถมยังเชยระเบิดถูกไหม? ฉันเช่าที่นี่แค่เพราะว่ามันใกล้กับที่ทำงานเท่านั้นเอง… เดี๋ยวฉันขึ้นไปคนเดียว ไม่ชอบให้คนที่ไม่สนิทเข้ามาในห้อง!”
“ผมจะตั้งใจจะรอคุณอยู่ข้างล่างนี่อยู่แล้ว… คุณนี่เหมือนพี่ชายจริง ๆ ชอบมองคนในแง่ลบตลอดเลย!” เฉินฉีพูดกลั้วหัวเราะ
“ไม่เหมือนซะหน่อย พี่ชายของฉันชอบจับผิด แต่ฉันแค่มีสัญชาตญาณของเด็กสาวขี้ระแวง”
“อายุจะยี่สิบห้าอยู่รอมร่อแล้ว คุณยังกล้าเรียกตัวเองว่าเด็กสาวอีกเหรอ?”
“อยากมีเรื่องรึไง?!” หลินถงซูยกกำปั้นขึ้นมา
“อย่าทำผมเลย! ผมผิดไปแล้ว!”
“รอตรงนี้นะ!” พูดจบหลินถงซูก็ลงจากรถไป
เฉินฉีเอนตัวพิงพวงมาลัยรถพลางกวาดสายตามองอะไรไปเรื่อยเปื่อย พ่อลูกคู่หนึ่งเดินออกมาจากตัวอาคาร พ่อคนนั้นจูงมือลูกน้อยวัยหัดเดินของตนด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความรักพลางร้องเตือน “ลูกรัก เดินช้า ๆ หน่อยสิ!”
สายตาของเฉินฉีจ้องมองสองพ่อลูกอยู่นานจนความคิดเลื่อนลอยออกไป ไม่สังเกตเห็นหลินถงซูที่เดินกลับมา เธอเคาะประตูเพื่อเรียกอีกฝ่ายให้ปลดล็อก เมื่อขึ้นมานั่งแล้วจึงถามเขา “มองอะไรอยู่น่ะ?”
“เผลอฝันกลางวันเฉย ๆ” เฉินฉีตอบเธอ
หลินถงซูเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสุภาพเช่นทุกครั้ง สวมทับด้วยแจ็กเกตที่ใส่อยู่เป็นประจำและมัดรวบผมเป็นทรงหางม้าทำให้ดูทะมัดทะแมงเรียบร้อย เฉินฉีสังเกตว่าใบหน้าของเธอขาวผ่องขึ้นเล็กน้อย แสดงว่าเพิ่งลงเครื่องสำอางใหม่แบบบางเบา
“ไปกันเถอะ!” หลินถงซูบอกเขา
ระหว่างทางหลินถงซูก็ตั้งคำถามอย่างนึกสนุก “คุณลองเดาเหมือนครั้งที่แล้วดูสิว่าพี่ชายของฉันจะเริ่มสืบคดีจากอะไร?!”
“เขาจะสืบยังไงน่ะเหรอ? ในเมื่อเขารู้แล้วว่าผู้ก่อคดีต้องเป็นคนรู้จักใกล้ตัวของครอบครัวนี้แน่ ๆ ดังนั้นเขาคงเริ่มจากการสืบหาคนที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับพวกเขานี้ ความจริงแล้วในคดีฆาตกรรมส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากไม่กี่อย่าง ไม่มีต้นตอมาจากความรักก็ทำไปเพื่อแก้แค้น และมูลเหตุเหล่านั้นถูกรวมไว้ในคำเพียงคำเดียว... ผลประโยชน์ไงล่ะ! ดังนั้นพี่ชายของคุณจึงตั้งใจจะสืบหาคนที่มีความขัดแย้งกับครอบครัวนี้ หรือคนที่เคยทะเลาะกันมาก่อนกับบรรดาผู้ตาย จากนั้นก็เป็นไปได้มากว่าเขาจะส่งคุณไปสอบปากคำเหล่าพยาน”
“คุณรู้จักพี่ชายฉันดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ผมไม่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวหรอก แต่เขาเป็นคนที่ดูออกง่ายมาก”
หลินถงซูหัวเราะ “คุณกำลังจะบอกว่าพี่ชายฉันเป็นคนโง่เหรอ?”
“คนอย่างพี่ชายคุณมาถึงจุดนี้ได้ในวัยเพียงเท่านี้ มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง หนึ่งคือเขาเป็นฉลาดเป็นกรด หรือสอง... เขาไม่ได้ฉลาดเอาซะเลยแต่ขยันทุ่มเททำงานจนเกินตัว”
“งั้นพี่ชายของฉันเป็นคนประเภทที่หนึ่งหรือสองล่ะ?”
“เขาเป็นคนโง่ที่คิดว่าตัวเองฉลาดมากต่างหาก”
หลินถงซูหัวเราะเสียงดังและหันไปทุบเฉินฉี “เหตุผลของคุณไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่เลย ยังมีความเป็นไปได้อื่นอีกนะ บางทีอาจเพราะเขามีเส้นสาย ครอบครัวฝากฝังให้ อะไรทำนองนี้”
“เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ พ่อแม่ของพวกคุณจากไปแล้ว จะมีเส้นสายจากไหนมากพอจะฝากฝังล่ะ?”
หลินถงซูตกใจจึงรีบถามกลับ “คุณ… คุณรู้ได้ยังไง?”
“โอ้… อ๋อ ผมก็แค่เดาน่ะ คุณไม่ได้อยู่กับพ่อแม่แต่เช่าห้องอยู่ด้านนอก และตัวคุณเองก็ไม่เคยพูดถึงพ่อแม่กับผมเลยสักครั้ง แถมคุณป้าของคุณก็เป็นคนจัดการหาคู่ดูตัวให้ก็เลยเดาได้ไม่ยาก ผมขอโทษด้วยนะ ถ้าคำพูดของผมทำให้คุณรู้สึกไม่พอใจ”
หลินถงซูรู้สึกถึงความผิดปกติจากสิ่งที่เขาพูด แต่เธอไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น ‘ปกติเฉินฉีสุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอด แต่เมื่อกี้เขาดูตกใจแปลก ๆ เขารู้จักกับพี่ชายฉันอยู่แล้วเหรอ?!’
แต่หลังจากทบทวนอีกครั้งเธอก็ปัดความคิดนี้ทิ้งไป ‘จะเป็นไปได้ยังไงกัน? พวกเขาไม่เจอกันมาก่อนเลยนี่นา’
หลินถงซูกลับมาถึงที่สถานีตำรวจ เมื่อเปิดประตูห้องประชุมเข้าไปกลับพบว่าเก้าอี้ทุกตัวไม่เหลือว่างแล้ว หลินชิวผูยืนยืดอกผึ่งผายอยู่หน้าห้องเช่นเคย เขากวาดสายตาไปรอบห้อง “เมื่อคืนที่ผ่านมามีการสังหารหมู่ทั้งครอบครัวเกิดขึ้น ชายผู้ตายทำงานอยู่ที่บริษัทขายประกันแห่งหนึ่ง…”
หลังจากพูดถึงประวัติของผู้ตายโดยคร่าวแล้ว เขาจึงอธิบายต่อไป “หน่วยงานของเราให้ความสำคัญในการจัดการกับคดีนี้เป็นอย่างยิ่ง ตราบใดที่คดีนี้ถูกเผยแพร่สู่สาธารณชนจะทำให้ประชาชนทั่วทั้งมลรัฐและทั่วประเทศให้ความสนใจและเกิดความกังวลอย่างมากแน่นอน ดังนั้นพวกเราต้องคืนความยุติธรรมให้กับผู้ตาย และมอบคำตอบที่เหมาะสมให้กับสื่อมวลชน ทุกคนที่อยู่ที่นี่โปรดทุ่มเทให้กับคดีนี้อย่างเต็มกำลัง ใช้ความสามารถทั้งหมดที่พวกคุณมีเพื่อใช้ในการสืบสวนคดีนี้ และต้องปิดคดีนี้ให้ได้ภายในเวลาสี่สิบแปดชั่วโมง พวกคุณมั่นใจไหม?”
“พวกเรามั่นใจครับ/ค่ะ!” ทุก ๆ คนตอบโดยพร้อมเพรียงกัน
หลินชิวผูปิดไฟ จากนั้นจึงเปิดเครื่องฉายวิดีโอเพื่อแสดงภาพที่เกิดเหตุบนจอโปรเจคเตอร์ ขณะที่ภาพเลื่อนไปเรื่อย ๆ เขาก็ได้อธิบายในแต่ละจุดให้ได้ทราบทั่วกันอย่างละเอียด บรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่ได้ไปเห็นสถานที่เกิดเหตุจริง พอได้เห็นภาพผู้เสียชีวิตถูกฆ่าอย่างทารุณต่างก็ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
แต่ละคนต่างผลัดเปลี่ยนกันแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมา จากเบาะแสที่มีอยู่ในมือตอนนี้แสดงให้เห็นไปในทิศทางเดียวกันคือคดีนี้ฆาตกรจะต้องเป็นคนรู้จักใกล้ชิด จากนั้นหลินชิวผูจึงจัดการมอบหมายงานต่างโดยเริ่มจากสืบสวนคนที่มีความสัมพันธ์กับผู้เสียชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ครอบครัวนี้ติดหนี้เงินกู้นอกระบบเป็นจำนวนกว่าแปดแสนหยวน อาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขคดีนี้ได้
ทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายพูด หลินถงซูก็ต้องนับถือเฉินฉีอีกครั้งเพราะการคาดเดาของเขาตรงเผงอีกครั้งแล้ว
แถมเขายังเดาอีกอย่างได้ถูกต้องด้วย คืองานที่เธอได้รับมอบหมายจากเขาเป็นงานที่ง่ายที่สุด... ไปสอบถามพยานผู้เห็นเหตุการณ์
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้หลินถงซูคงคัดค้านไปนานแล้ว แต่ตอนนี้เธอมีเฉินฉี... ที่ปรึกษาและผู้ช่วยเหลือผู้ทรงพลัง ดังนั้นเธอก็ไม่จำเป็นต้องโต้แย้งเรื่องนี้ เธอกลับคิดว่า ‘ยิ่งพี่ดูถูกฉันมากเท่าไหร่ ฉันก็จะพิสูจน์ให้เห็นว่าพี่คิดผิดมากเท่านั้น!’
แต่ประโยคถัดมาของหลินชิวผูทำให้เธอต้องตกใจ หลินชิวผูออกคำสั่ง “อีกอย่าง... หลินถงซู คุณจะต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายร่วมกับสวีเสี่ยวตง”
“อะไรนะคะ?!” หลินถงซูอุทานเสียงหลง
“หมายความว่าไง? ยังไงคุณก็ต้องฟังคำสั่งของผมไม่ใช่เหรอ? เรื่องทั้งหมดคงมีเพียงเท่านี้ เลิกประชุม!”
เจ้าหน้าที่คนอื่นแยกย้ายกันไปทำงานที่ตัวเองได้รับมอบหมาย สวีเสี่ยวตงที่ได้งานง่าย ๆ จึงวิ่งมาหาเธอด้วยความเร่งรีบ “ถงซู เราเองก็ไปกันเถอะ!”
หลินถงซูโกรธมากจนเปลือกตากระตุก ว่าแล้ว... หลินชิวผูต้องไม่ยอมคนง่าย ๆ ดังภาพลักษณ์ที่แสดงออกในตอนแรก เขามอบหมายสวีเสี่ยวตงให้ทำคดีร่วมกับเธอก็เพื่อคอยเป็นหูเป็นตาอีกแรงนี่เอง ตอนนี้เธอรู้สึกว่าพี่ชายตัวดีชักจะใจแคบเกินไปหน่อยแล้ว!
หลินถงซูเหลือบมองสวีเสี่ยวตงแวบหนึ่งก่อนพูดเสียงแข็ง “ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ!”
ระหว่างทางเดิน หลินถงซูก็โทรหาเฉินฉีแล้วยืนยันทฤษฎีของเขา “คุณคาดเดาได้ถูกเผง พี่ชายให้ฉันไปสอบปากคำพยานผู้เห็นเหตุการณ์จริง ๆ ไม่ใช่แค่นั้นนะ เขายังให้เพื่อนร่วมงานตามประกบฉันด้วย!”
“ฮ่าๆๆ!” เฉินฉีได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะออกมา “งั้นคุณก็ควรทำตามนั้น”
“แต่...”
“ผมรู้น่าว่าคุณจำเป็นต้องทำตามคำสั่ง” ตอนนั้นเองเสียงดังของเขากลับดังขึ้นพร้อมกันจากในสายและด้านหลังตัวเธอ หลินถงซูหันขวับไปดูจึงเห็นเฉินฉีกำลังเดินตามมา
หลินถงซูกดวางสายและถามเขา “คุณมาทำอะไรเนี่ย?”
“ผู้กองหลินหลินสัญญากับผมไว้ไม่ใช่เหรอว่าจะให้ผมร่วมทำคดีด้วย? แน่นอนว่าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว! กลับไปเรื่องเมื่อกี้นี้ก่อน ผมรู้ว่าคุณอยากทำผลงานไว ๆ แต่คดีนี้ยังมีโอกาสอีกมาก ทุกคนต่างก็กำลังตามหาเบาะแสอยู่ เพราะงั้นการไปพบพยานก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเสียหน่อย”
“งั้นคุณจะทำอะไรต่อ? จะมากับฉันเหรอ?”
“งานน่าเบื่ออย่างการพูดคุยไม่ใช่แนวผมเลยสักนิด”
“โธ่เอ๊ย เลิกให้ฉันเดาได้แล้วน่า”
“ที่จริงผมต้องการไปดูซะหน่อยว่าทีมเก็บหลักฐานได้อะไรมาบ้าง เผื่อจะนำมาเปรียบเทียบกับความคิดเห็น ผมได้ยินมาว่ารายงานของเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพมักจะช่วยในการไขคดีได้ไม่น้อยเลย”
ขณะนั้นเองสวีเสี่ยวตงก็เดินออกมาจากห้องประชุมและหันมาเห็นเฉินฉีพอดี ปากของเขาอ้าหวอกลายเป็นรูปตัวโอ เขาพูดอย่างนึกลังเล “เฮ้ คุณใช่คนที่เกี่ยวข้องกับคดีก่อนหน้านี้รึเปล่าเนี่ย?”
“ผมชื่อเฉินฉี ผู้กองหลินมอบหมายให้ผมมาช่วยไขคดี ฝากตัวด้วยนะครับ” เฉินฉีตอบกลับโดยพูดความจริงแค่บางส่วนพลางยื่นมือออกไป
สวีเสี่ยวตงยังคงมึนงงอยู่แต่ก็ยื่นมือไปจับตามมารยาท จากนั้นเขาจึงหันมาถามหลินถงซู “ผู้กองหลินเรียกเขามาเพื่อการนี้จริง ๆ เหรอ?”
“เอ่อ... ใช่แล้ว!”
“เขาเป็นนักสืบชำนาญการหรือนี่?!” สวีเสี่ยวตงอุทาน
“ผมไม่กล้าเรียกตัวเองแบบนั้นหรอกครับ” เฉินฉีชี้ไปข้างหน้า “ผมขอตัวไปที่แผนกชันสูตรศพก่อน”
“รอเดี๋ยวสิ!” หลินถงซูหยุดเขา “ลืมตัวเหรอว่าคุณไม่รู้จักใครที่นี่เลยด้วยซ้ำ ฉันจะพาคุณไปเอง ฉันก็อยากฟังรายงานเหมือนกัน”