บทที่ 22 จุดประหลาดในคดี
บทที่ 22 จุดประหลาดในคดี
“น่ารำคาญ! น่ารังเกียจ! ฉันอยากจะฆ่าเขาให้ตาย!” หลินถงซูเดินลงมาถึงด้านล่างอาคารก่อน เธอเตะก้อนกรวดกระเด็นไปทั่ว
“คุณหลิน ทำไมจู่ ๆ ก็หัวฟัดหัวเหวี่ยงแบบนี้ล่ะ?” เฉินฉีเดินตามหลังมาพร้อมถามยิ้ม ๆ
“ฉันหงุดหงิดที่พี่ชายชอบเข้ามายุ่งมาบงการชีวิตฉันไปซะทุกเรื่อง!” หลินถงซูหยุดเดินก่อนหันไปทำลายกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาจากตัวกระถาง
“ผมสงสัยข้อนี้อยู่เหมือนกัน ในเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเขาไม่ค่อยดีนัก แล้วทำไมคุณถึงยังเลือกมาประจำการที่สถานีนี้ล่ะ?”
“ฉันไม่ได้เลือกเองซะหน่อย! ตอนที่ฉันเพิ่งบรรจุใหม่ก็พยายามหลีกเลี่ยงสถานีที่พี่ฉันประจำการอยู่ ใครจะคิดว่าหลังจากฉันเข้าทำงานได้แค่ปีเดียวเขาก็ย้ายมาเป็นหัวหน้าหน่วยสืบสวนที่สถานีนี้ แถมบอกว่าจะคอยดูแลฉันเอง อี๋! น่ารำคาญสุด ๆ!”
“จริง ๆ แล้ว พี่ชายคุณก็ดูรักคุณมากนะเนี่ย”
“อย่าพูดเอาดีเข้าตัวเขาหน่อยเลย ฉันเกลียดทุกครั้งที่เขาเอาแต่พูดว่าทำไปก็เพื่อฉัน ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะต้องมารับฟังคำพูดพวกนี้แล้ว คุณไม่อยู่ตรงนี้ไม่รู้หรอกว่าฉันต้องมีความอดทนสูงแค่ไหนเมื่อต้องทำงานร่วมกับพี่ชายที่แสนเอาแต่ใจคนนี้!”
“โอเค งั้นถือซะว่าผมไม่เคยพูดอะไรละกัน”
“เดี๋ยวคุณจะไปที่ไหนต่อ?”
“ผมจะไปที่โรงพยาบาล เผื่อเด็กชายคนนั้นอาจฟื้นแล้ว เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลเลย ต้องไปสะสางเรื่องค่าใช้จ่ายก่อน”
หลินถงซูมองไปที่สี่แยกอะพาร์ตเมนต์หรูพลางถามเขา “คุณไม่ต้องไปสอบถามพยานที่เห็นเหตุการณ์แล้วเหรอ?”
“ไม่ต้องแล้ว เดี๋ยวพี่ชายของคุณคงจัดการเรื่องนั้นเอง รูปการณ์ของคดีนี้จะยิ่งง่ายขึ้นถ้ามีเจ้าหน้าที่หลายคนช่วย ในเมื่อพี่ชายของคุณรับปากไว้แล้วว่าจะแบ่งปันข้อมูลกับผม คิดว่าเขาคงไม่กล้ากลับคำหรอก”
หลินถงซูหันมองเขาด้วยความสงสัย “ฉันนึกว่าคุณจะพูดประมาณว่าคุณเก่งที่สุดอะไรทำนองนั้นซะอีก แต่ดูเหมือนคุณจะยังรู้อยู่บ้างว่าตัวเองไม่ได้เก่งไปหมดทุกอย่าง”
“ผมเคยพูดตอนไหนว่าผมเก่งที่สุด?” เฉินฉียิ้ม “การทำงานคนเดียวจริง ๆ แล้วก็มีข้อเสียอยู่มาก การสืบสวนคดีอาชญากรรมยิ่งมีคนเยอะก็ยิ่งไขคดีได้ง่ายขึ้น นี่เป็นคดีใหญ่ แน่นอนว่าตำรวจต้องให้ความสนใจอยู่แล้ว หรือถ้าพี่ชายของคุณไขคดีไม่สำเร็จ ยังไงหน้าที่การปิดคดีก็ต้องเป็นของผม”
หลินถงซูหัวเราะ “ถึงขั้นนี้แล้วยังมีหน้ามาปฏิเสธอีกว่าคุณไม่ได้เก่งไปกว่าใคร”
ปลายทางต่อมาของทั้งคู่คือโรงพยาบาลที่รับรักษาเด็กชายตกตึก เมื่อไปถึงหน้าเคาน์เตอร์การเงินเฉินฉีไม่รอช้าชี้แจงทันที “ผมรบกวนคุณออกใบแจ้งหนี้ในนามหน่วยสืบสวนจากกองตำรวจสืบสวนอาชญากรรมหลงอันด้วยนะครับ”
หลินถงซูหันขวับ “กับเรื่องนี้คุณก็ไม่คิดจะปล่อยผ่านเลยนะ!”
“ทำไมผมต้องออกเงินเองล่ะ? ผมไม่ใช่เศรษฐีใจบุญซะหน่อย”
ทั้งคู่เดินตามพยาบาลมาถึงห้องที่เด็กชายพักรักษาตัวอยู่ เธอแจ้งอาการว่าข้อเท้าของเด็กชายหัก บริเวณกระดูกสันหลังส่วนล่างได้รับแรงกระแทกเล็กน้อย อาการบาดเจ็บโดยรวมถือว่าไม่อันตรายถึงชีวิต
เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในห้องจึงพบว่าเด็กชายซึ่งสวมชุดผู้ป่วยของทางโรงพยาบาลนั่งอยู่บนเตียง เขามองออกไปนอกหน้าต่างและเอาแต่ร้องไห้เงียบ ๆ หลินถงซูรู้สึกเศร้าใจ เห็นเขาแล้วนึกถึงตอนที่ตัวเองต้องเสียพ่อและแม่ไปตลอดกาลจากอุบัติเหตุรถชน
สำหรับเด็กคนหนึ่งแล้ว เรื่องแบบนี้หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าการดิ่งพสุธาลงมาจากตึกเสียอีก
“เด็กน้อย เธอเป็นยังไงบ้าง?” เฉินฉีพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
เด็กชายคนนั้นหันหน้ามา บนใบหน้าของเขามีคราบน้ำตาเปียกชื้นทั่ว เขายังคงนิ่งเงียบ
“ยังเจ็บตรงไหนอยู่หรือเปล่า?”
“...”
“ลุงแค่อยากจะถามอะไรเธอนิดหน่อย ได้มั้ย? หืม?”
“…”
เฉินฉีเห็นแบบนั้นแล้วไม่รู้ว่าควรเกลี้ยกล่อมอย่างไรต่อ หลินถงซูจึงกระซิบบอกเขา “ให้ฉันลองดู...”
เธอส่งยิ้มหวานพร้อมตั้งคำถาม “เจ้าหนู เธอชื่ออะไรเหรอ? พี่สาวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนะ ไม่ต้องกลัวไปหรอก พวกเราจะปกป้องเธอเอง”
ได้ยินดังนั้นเด็กชายจึงไม่กลั้นน้ำตาอีกต่อไป เขาพุ่งเข้าซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของหลินถงซู เธอกอดร่างเล็ก ๆ ของเขาไว้พร้อมลูบหลังอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบโยน “ไม่เป็นไรนะ... ไม่เป็นไรแล้ว”
เฉินฉีมองหลินถงซูด้วยสายตาชื่นชม
เด็กชายยังคงร้องไห้โฮด้วยความเสียใจ ซึ่งหลินถงซูไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นตั้งคำถามอย่างไรดี เพราะการถามเขาถึงความทรงจำอันเลวร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนก็อาจจะโหดร้ายเกินไป ขณะที่เธอกำลังลังเลอยู่ เฉินฉีกลับเป็นฝ่ายโพล่งถามเสียเอง “เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง เธอยังจำได้อยู่ไหม?”
เด็กชายมองเฉินฉีด้วยสายตาหวาดกลัวพร้อมกับกอดหลินถงซูแน่นขึ้นกว่าเก่า แต่ยังคงไม่พูดอะไรออกมา
เฉินฉีถามต่อ “พ่อกับแม่ของเธอ…”
“อ๊ะ! อ๊าาาา!” เด็กชายรีบมุดตัวกลับไปอยู่ในผ้าห่มทั้งที่ตัวสั่นสะท้าน เขายกมือกุมศีรษะตัวเองและร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“ไม่ต้องถามเขาแล้ว ตอนนี้คงยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมเท่าไหร่” หลิงถงซูกระซิบเตือนเขา
“ทำไมปฏิกิริยาของเขาถึงได้รุนแรงแบบนี้ล่ะ?” เฉินฉีพึมพำ
“ยังจะพูดอยู่อีก!” หลินถงซูบุ้ยใบ้ให้เขาออกไป “นึกถึงสภาพจิตใจของเด็กหน่อยเถอะน่า วันนี้เรากลับกันก่อนแล้วค่อยหาเวลามาใหม่ก็แล้วกัน”
เฉินฉีมองหลินถงซูและยอมเดินออกจากห้องไป ระหว่างนั้นเขาได้แต่เงียบงันอยู่ในห้วงความคิด เมื่อเดินออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว ทันใดนั้นเขาก็วิ่งกลับเข้าไปใหม่ หลินถงซูตะโกนเรียกแทบไม่ทัน
คราวนี้เฉินฉีไม่ได้กลับไปที่ห้องรักษาตัวของเด็กชาย แต่ตรงไปยังห้องพักเจ้าหน้าที่พยาบาลแทนและเอ่ยถาม “ใครรับหน้าที่ดูแลห้อง 203 เหรอครับ?”
พยาบาลร่างอวบอ้วนถามกลับ “คุณกำลังตามหาฉันอยู่เหรอคะ?”
“ผมขอรบกวนคุณคุยเรื่องอะไรนิดหน่อยได้ไหม?”
ทั้งสามเดินหลบไปยืนอยู่ข้างทางเดิน เฉินฉีก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา “รบกวนเพิ่มผมเป็นเพื่อนบนวีแชทให้หน่อยนะครับ”
“หมายความว่ายังไงคะ?” พยาบาลร่างอวบถามด้วยความไม่ไว้วางใจ
หลินถงซูไม่รู้ว่าเฉินฉีมีแผนการลึกลับอะไรอีกจึงรีบหยิบตราตำรวจของตัวเองออกมาแสดง “พวกเราเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจค่ะ โปรดให้ความร่วมมือด้วย”
“เกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับเด็กคนนั้นหรือคะ?” เมื่อพยาบาลเห็นตราตำรวจ ท่าทางของเธอก็แปรเปลี่ยนไปทันที
“ก่อนอื่นเพิ่มเพื่อนผมบนวีแชทเลยครับ มันจำเป็นมาก ๆ” เฉินฉีพูดซ้ำ
“โอ้ โอเค ได้สิคะ!”
หลังจากทำการเพิ่มเพื่อนบนวีแชทเรียบร้อยแล้วเฉินฉีก็รีบหยิบธนบัตรให้เธอเป็นจำนวนหนึ่งพันหยวน พยาบาลรู้สึกตกใจมาก “ว้าว คุณพี่ นี่เป็นค่าสำหรับอะไรคะ? คุณต้องการให้ฉันดูแลเด็กให้ดี ๆ ใช่ไหม? ไม่ต้องห่วงเลย... ฉันทำได้แน่นอนค่ะ แต่คงรับเงินไว้ไม่ได้เพราะมีกฎเกณฑ์ห้ามไว้”
“งั้นคุณช่วยผมอีกอย่างหนึ่ง ระหว่างที่เด็กคนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ถ้ามีใครเข้าเยี่ยมเขา คุณจะต้องจำหน้าตาของคนที่มาเยี่ยมให้ได้ ถ้าจะเป็นการดีที่สุดช่วยถ่ายคลิปไว้และส่งให้ผมในแชทด้วย คุณทำได้ไหมครับ?”
“คุณต้องการให้ฉันเป็นคนคอยแจ้งข้อมูลเหรอ?” พยาบาลถามกลับทั้งที่ยังไม่คลายสงสัย
“อย่าคิดมากเลยครับ แค่ส่วนหนึ่งสำหรับการไขคดีน่ะ”
“โอเคค่ะ แต่สัปดาห์นี้ฉันขึ้นวอร์ดแค่ช่วงกลางวันเท่านั้นนะคะ”
“ถ้างั้นคุณก็ลองคิดหาวิธีดูว่าจะทำยังไงได้บ้าง”
พยาบาลก้มมองเงินในมืออีกฝ่าย จากนั้นจึงตอบตกลงและรับมันมาโดยดี หลังออกมาจากตัวโรงพยาบาลแล้ว หลินถงซูจึงหันมองเฉินฉีด้วยความสับสน “ปกติคุณออกจะเป็นคนประหยัด ทำไมจู่ ๆ ก็เกิดใจกว้างไปแจกเงินแบบนั้นล่ะ?”
“อย่างแรกเลย... ผมจริง ๆ แล้วผมเป็นคนฟุ่มเฟือยมาก คุณคงยังไม่รู้จักผมดีพอ อย่างที่สอง... ที่ผมทำไปก็เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคดี”
“คุณคิดว่าฆาตกรจะมาเยี่ยมเด็กผู้ชายคนนั้นใช่ไหม?” หลินถงซูคาดเดา
“เหตุการณ์ที่แปลกประหลาดที่สุดในคดีนี้คือจุดนี้แหละ ทำไมฆาตกรถึงปล่อยให้เด็กคนนั้นรอดชีวิต? นี่อาจจะเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เราปิดคดีนี้ก็ได้!”
“อาจไม่ใช่อย่างนั้นซะทีเดียว คนบางคนถึงชั่วช้ายังไงแต่เขาไม่มีวันทำร้ายเด็กที่เป็นผู้บริสุทธิ์”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แล้วทำไมเขาถึงไม่ไว้ชีวิตคนแก่อายุแปดสิบล่ะ?”
คำพูดของเฉินฉีทำให้เธอคิดได้และนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ก่อนจะพูดออกมา “โอ้ จริงด้วย…”
“สิ่งแรกที่ฆาตกรคิดก็คือความปลอดภัยของตัวเอง กังวลว่าจะมีหลักฐานอะไรหลงเหลืออยู่ให้สาวมาถึงตัวเองบ้าง ซึ่งนี่เป็นสัญชาตญาณเอาตัวรอดพื้นฐานของทุกคน ในเมื่อเขาสามารถลงมือกับคนแก่ได้ เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะปล่อยเด็กไปนอกจากจะมีเหตุผลอื่น และเหตุผลนั้นจะเป็นจุดตัดสินว่าคดีนี้เป็นมายังไง”
“ฆาตกรอาจเป็นญาติกันงั้นเหรอ?”
ขณะนั้นเองหลินชิวผูก็โทรมา “ถงซู คดีได้ข้อสรุปแล้ว กลับมาประชุมเร็ว!”
หลังจากวางสายแล้วหลินถงซูก็หันมาถามเขา “พี่ชายบอกให้ฉันกลับไปที่สถานีแล้ว คุณจะไปด้วยกันไหม?”
“ไม่เป็นไร คุณค่อยเล่าให้ผมฟังทีหลังแล้วกัน” เฉินฉีพูดพลางมองหลินถงซูตั้งแต่หัวจรดเท้า
หลินถงซูต่อว่าเขาทันที “มองอะไรน่ะตาลุง?”
“คุณจะใส่ชุดแบบนั้นไปประชุมงานราชการจริงเหรอ?”
หลินถงซูก้มมองตัวเองและก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ไม่ใช่วันทำงานและเธอก็สวมชุดเดรสอยู่ เฉินฉีจึงแนะนำ “คุณควรกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะก่อน”
“จะทันเหรอ? ฉันไม่อยากไปสายนะ”
“ถ้าตาลุงขับรถอย่างฉันบอกว่าทัน ยังไงก็ทัน!” เฉินฉีฉีกยิ้ม