282 - ออกมาแล้ว
"นี่คือ ......"
ในที่สุดเย่ฟ่านก็ปรากฏตัวออกมาในสถานที่ที่คุ้นเคย มันคือเหมืองโบราณที่ไม่มีจุดสิ้นสุด
“เส้นเลือดมังกร ข้าออกมาแล้ว!” เย่ฟ่านอุทาน เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาสามารถออกจากภูเขาสีม่วงได้จริงๆ
มันเป็นเส้นทางที่เขาเลือกในตอนเข้าสู่เหมืองโบราณในครั้งแรก ในบริเวณรอบๆยังมีภาพแกะสลักที่คนโบราณเรานั้นทิ้งไว้
“ถูกต้อง ข้าออกมาแล้วจริงๆ!”
เขารีบวิ่งไปข้างหน้าและลูบมือของเขาเหนือแผนภาพโบราณเหล่านั้น ซึ่งเป็นภาพเดียวกันกับจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่ปราบปรามต้นกำเนิดสวรรค์
เขาซ่อนความตื่นเต้นไว้ไม่ได้ เดิมทีเขาคิดว่าเขาจะถูกขังและตายอยู่ข้างในเหมือนเจียงไท่ซู่ แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ออกไปจริงๆ
ในตอนเริ่มต้นเมื่อเขาเลือกที่จะเข้าไปในภูเขาสีม่วง เขารู้ว่าจี้หยกของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่น่าจะมีความสำคัญบางอย่าง แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่ามันจะมีความสำคัญมากขนาดนี้
มันสามารถทำให้เขาหลุดพ้นจากช่วงเวลาวิกฤตได้โดยไม่ตั้งใจ
"อะไร?!"
ทันใดนั้นหัวใจของเย่ฟ่านก็สั่นสะท้านราวกับมีบางอย่างกำลังจ้องมองเขาในเหมืองโบราณ
เย่ฟ่านไม่กล้าอยู่ต่อเขาใช้ทักษะของชายชราผู้บ้าคลั่งหลบหนีออกจากเมืองโบราณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
เย่ฟ่านถูกขังอยู่ในภูเขาสีม่วงมานานกว่าหนึ่งเดือน ตอนนี้เขายืนอยู่บนพื้นสีน้ำตาลแดงและสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ มันทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่สามารถรอดชีวิตมาได้
แต่เย่ฟ่านไม่กล้ารอช้า เขารีบวิ่งออกจากเหมืองโบราณให้ไกลที่สุด การเดินทางไปภูเขาม่วงครั้งนี้เขาได้รับอันตรายมากมาย แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ได้รับผลประโยชน์ไม่น้อยเช่นกัน
เมื่อหลุดพ้นจากภูเขาสีม่วงเย่ฟ่านก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เขารู้สึกสงสารประมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ผู้ที่ถูกขังอยู่ในภูเขานานกว่าสี่พันปีและไม่มีทางรอดชีวิตได้อย่างแน่นอน
เจียงไท่ซูส่งต่อญาณวิเศษลับสุดยอดให้กับเย่ฟ่าน ซึ่งทำให้เขารู้สึกขอบคุณและรู้สึกสงสารต่อปรมาจารย์ศักสิทธิ์ผู้นี้มาก
“ในวันที่ข้าแข็งแกร่งมากพอข้าจะกลับมาช่วยท่าน หากวันนั้นผู้อาวุโสเสียชีวิตไปแล้วข้าก็จะนำร่างกายของท่านออกมาเพื่อให้ลูกหลานของท่านได้รู้ว่าครั้งหนึ่งบรรพบุรุษของพวกเขายิ่งใหญ่มากแค่ไหน
เก้าญาณวิเศษลี้ลับเป็นตัวแทนของความยิ่งใหญ่ ไม่มีอะไรเทียบได้ และทักษะการโจมตีคือวิชาที่สำคัญมากที่สุดในบรรดาญาณวิเศษที่ยิ่งใหญ่ทั้งเก้า
ปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์เจียงส่งต่อวิชานี้ให้เขาทำให้เขามีความซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก
แต่เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในภูเขาสีม่วง เย่ฟ่านก็ยังรู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถหยิบเอาคำภีร์ปราศจากจุดเริ่มต้นออกมาด้วย นี่คือความเสียใจที่สุดในชีวิตของเขา
"แม้ว่าจะไปถึงจุดสิ้นสุดของเส้นทางอมตะก็ไม่สามารถเทียบได้กับปราศจากจุดเริ่มต้น"
แค่คำพูดดังกล่าวก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคัมภีร์เล่มนี้มีความสำคัญมากแค่ไหน
ในชีวิตของเย่ฟ่านสิ่งที่เขาขาดแคลนมากที่สุดก็คือคัมภีร์ที่ดีในการฝึกฝน เมื่อมีโอกาสอยู่ตรงหน้าและเขาไม่สามารถรับไว้มันทำให้เขาเสียใจอย่างสุดซึ้ง
ผู้ทรงพลังอย่างเช่นปรมาจารย์ศักสิทธิ์กู่เขียนตัวอักษรเหล่านั้นด้วยความเสียใจ นั่นแสดงให้เห็นแล้วว่าตัวเขากับจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ปราศจากจุดเริ่มต้นมีความห่างไกลกันมากแค่ไหน!
เย่ฟ่านคิดว่าเศษเสี้ยวของจี้หยกโบราณจะต้องถูกทำลายจากการต่อสู้ของจักรพรรดิปราศจากจุดเริ่มต้น และมันคงกระจัดกระจายไปทั่วภาคเหนือ
เป้าหมายของเขาคือการเก็บรวบรวมหยกพวกนี้ให้ได้มากที่สุด เมื่อเขาแข็งแกร่งขึ้นเขาจะต้องกลับมาที่ภูเขาสีม่วงนี้อีกครั้งอย่างแน่นอน
“คัมภีร์ปราศจากจุดเริ่มต้นซ่อนเร้นอยู่ที่นั่นมานานกว่าแสนปี ต่อให้ข้าไม่สามารถเอามันมาได้ก็ไม่มีคนอื่นเอามันมาได้เช่นกัน สิ่งที่ข้าควรทำตอนนี้คือเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองก่อน”
เย่ฟ่านเดินออกไปหลายสิบลี้และรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังตามเขามา อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่เขาหันหลังกลับเขาจะมองไม่เห็นเจ้าตัวนั้นเลย มันทำให้เขารู้สึกกลัวเล็กน้อย
"ต้องมีสิ่งมีชีวิตที่ตามข้ามาจากภูเขาสีม่วง ความรู้สึกนี้......พิเศษมาก!" หัวใจของเย่ฟ่านมีความสงสัย แต่มันไม่ได้ดูเหมือนสิ่งชั่วร้ายเพราะเจ้าตัวนั้นไม่มีไอสังหารอย่างชัดเจน
เย่ฟ่านตัวสั่นอย่างรุนแรงและพูดว่า “ไม่มีทาง มีสิ่งมีชีวิตในภูเขาสีม่วงที่ออกมาพร้อมกับข้าจริงๆ!”
อย่างไรก็ตาม ขณะข้ามความว่างเปล่าเขาไม่ได้พบเห็นมันติดตามมาด้วย
"บางทีข้าอาจจะคิดมากไปเอง ......"
เย่ฟ่านบินขึ้นไปบนท้องฟ้าแม้จะมองออกไปสุดลูกหูลูกตาและกวาดตามองสิบทิศแต่เขาก็ยังไม่เห็นอะไรเลย ดังนั้นเขาจึงได้แต่จากไปด้วยความสงสัย
มากกว่าหนึ่งเดือนผ่านไปหมู่บ้านหินก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เมื่อเย่ฟ่านกลับมาหวังซู่และต้าฝูก็ดีใจเป็นอย่างมาก
“พี่เย่ในที่สุดเจ้าก็กลับมา ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่กลับมาเสียอีก”
“พี่เย่ เจ้าไปไหนมาทำไมหายไปนานขนาดนี้”
เย่ฟ่านติดอยู่ในภูเขานับเดือนและโดดเดี่ยวจากโลก เมื่อได้กลับมาเจอกับคนรู้จักอีกครั้งมันทำให้เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก
"ข้าบอกแล้วไงว่าข้าจะกลับมา เดี๋ยวอีกไม่กี่วันข้างหน้าพวกเราจะไปเล่นพนันหินแล้วพวกเจ้าจะได้รู้ว่าความสุขที่แท้จริงของชีวิตคืออะไร”
เมื่อปู่ห้ารู้ข่าวเขาก็รีบวิ่งเข้ามาเช่นกัน ใบหน้าที่แก่ชราของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นในขณะที่ละล่ำละลักกล่าวว่า
"กลับมา ...... เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว"
ตลอดช่วงเวลาที่เย่ฟ่านจากไปเขาถอนหายใจด้วยความเศร้าโศกอยู่ตลอดเวลา เขาด่าทอตัวเองที่ปล่อยให้เย่ฟ่านต้องไปพบเจอกับอันตรายในภูเขาสีม่วงนั้น
"เราต้องฉลองวันนี้"
ปู่ห้าลบความหดหู่ใจออกไปทั้งหมด ใบหน้าที่แก่ชราของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
"*เอ้อหรงจื่อ,หวังซู่ พวกเจ้าไปฆ่าแกะเพื่อเตรียมทำอาหารต้อนรับน้องชายเย่"
เอ้อหรงจื่อเป็นชื่อจริงของต้าฝู
เย่ฟ่านก็มีความสุขมากที่สามารถรอดชีวิตกลับมาได้ เขาตะโกนด้วยความตื่นเต้นออกไปทันที
“วันนี้พวกเราต้องฉลองให้หนัก หลังจากนี้ข้าจะทำให้หมู่บ้านของเราอยู่ดีกินดีและเต็มไปด้วยความสุข จะไม่มีใครสามารถรังแกพวกเราได้อีกต่อไป”
แม้ว่าทุกคนในหมู่บ้านจะไม่เข้าใจว่าเย่ฟ่านพูดถึงเรื่องอะไร แต่เมื่อเห็นเขาพูดออกมาอย่างนั้นทุกคนในหมู่บ้านก็ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น
พวกเขาไม่รู้เลยว่าในเวลาอันรวดเร็วนี้หมู่บ้านของพวกเขาจะปรากฏปรมาจารย์ต้นกำเนิดสวรรค์อีกคน!
เมื่อฝูงชนแยกย้ายกันไป ปู่ห้าก็ดึงเย่ฟ่านไปที่ลานบ้านโดยตรง หลังจากล็อคประตูไม่ให้ผู้ใดแอบได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกันเขาก็ถามเย่ฟ่านด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน
"เจ้า ...... เจอมันหรือไม่? "
“วูบ!”
แสงสีเงินพุ่งออกมาจากกงล้อแห่งทะเลของเย่ฟ่าน คัมภีร์ต้นกำเนิดสวรรค์ล่องลอยอยู่กลางห้อง แสงสีเงินพร่ามัวเช่นดวงจันทร์ที่อยู่ในบ่อน้ำ มันสดใสเหมือนไข่มุกมังกรทำให้ท่านปู่ห้าร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจทันที
“พูดกันตามตรงท่านปู่ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ข้าสามารถรอดชีวิตออกมาได้”
“เอ่อ ......” ปู่ห้าตัวสั่นขณะรินน้ำชาให้เย่ฟ่านและขอให้เขาอธิบายอย่างละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อเขาได้ยินว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ทะเลสาบหยกติดอยู่ข้างในและเสียชีวิตบนภูเขาปีศาจ ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศกและกล่าวว่า
“สตรีศักดิ์สิทธิ์ทะเลสาบหยกนั้นเป็นคนที่จิตใจดีมาก ตระกูลจางของเราเป็นหนี้นางมากเกินไป”
ในตอนที่เย่ฟ่านบรรยายจบชายชรายังไม่สามารถระงับความตื่นเต้นได้เขายังคงบ่นพึมพำกับตัวเอง
"ในที่สุดก็พบคัมภีร์ต้นกำเนิดสวรรค์แล้ว"
เขาถูคัมภีร์สีเงินด้วยนิ้วที่หยาบกร้าน อารมณ์ความรู้สึกมากมายในจิตใจของเขาพรั่งพรูออกมา
เมื่อสงบสติอารมณ์ได้ปู่ห้าก็ยืนขึ้น เขาถือคัมภีร์สีเงินยื่นให้กับเย่ฟ่านและกล่าวว่า
“เจ้าเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เจ้าทุ่มเทชีวิตและความพยายามกว่าจะได้มันมา ข้ารู้ว่ามันจำเป็นต่อเจ้า”
หลังจากหยุดเล็กน้อยเขาก็กล่าวต่อไปว่า "แม้ว่านี่จะเป็นคัมภีร์สมบัติของบรรพบุรุษตระกูลจางของข้า แต่ถ้าไม่มีเจ้ามันจะสูญหายไปตลอดกาล เจ้า ...... รับไป"
เย่ฟ่านไม่ได้เสแสร้งเขากล่าวโดยตรงว่า "ข้าต้องการคัมภีร์เล่มนี้มากแต่ข้าขอเพียงคัดลอกมันไปเท่านั้น หนังสือเล่มนี้ยังคงเป็นสมบัติของตระกูลจาง"
นิ้วของปู่ห้าสั่นสะท้าน หลังจากใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ในที่สุดเขาก็กล่าวว่า
"ข้าแก่แล้วไม่มีปัญญาศึกษาทำความเข้าใจความรู้ในนี้ได้ ลูกหลานของข้าล้วนแล้วจะเป็นคนเกียจคร้าน หากวันใดเจ้าสามารถศึกษามันจนแตกฉานหวังว่าเจ้าจะรับลูกหลานของข้าคนใดคนหนึ่งเป็นศิษย์เพื่อสืบทอดวิชา "
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้” เย่ฟ่านตอบด้วยรอยยิ้ม
“ฟังข้านะ หนังสือเล่มนี้เจ้าต้องเก็บไว้ พวกเราไม่มีความแข็งแกร่งพอที่จะรักษามันได้ หลังจากที่ลูกหลานตระกูลจางของเราได้รับการฝึกฝนจากเจ้าจนแข็งแกร่งมากพอเจ้าค่อยส่งต่อให้เขา”
ท่านปู่ห้ามีความกังวลที่ซ่อนเร้น ไม่เพียงแต่เขากังวลว่าลูกหลานของตระกูลจางจะไม่มีปัญญาศึกษาหาความรู้ในตำราเล่มนี้เท่านั้น
ในความเป็นจริงพื้นที่ภาคเหนือเกิดความโกลาหลอยู่ตลอดเวลา มีโจรปล้นชิงฆาตกรรมเกิดขึ้นทุกที่ การที่ลูกหลานของเขาจะครอบครองสมบัติล้ำค่าเช่นนี้มันมีโอกาสสูงมากที่จะเกิดภัยพิบัติ
“ตอนนี้ตระกูลจางของเราไม่มีใครที่มีความสามารถมากพอที่จะศึกษามันได้ ข้ารู้ว่าในอนาคตเจ้าจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของดินแดนรกร้างตะวันออก เมื่อถึงเวลานั้นขอให้เจ้าเมตตาต่อทายาทตระกูลจางของข้า”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ชายชราก็คุกเข่าโค้งศีรษะด้วยความจริงใจ
“ข้าขอสาบานต่อฟ้า สักวันหนึ่งข้าจะมอบคัมภีร์ต้นกำเนิดสวรรค์คืนให้กับทายาทตระกูลจางอย่างแน่นอน” เย่ฟ่านคุกเข่าและเปล่งคำสาบานอย่างจริงใจเช่นกัน
ริ้วรอยบนใบหน้าของท่านปู่ห้าหายไปและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ราวกับความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาได้ทำสำเร็จลุล่วงแล้ว