บทที่ 19 รายละเอียดพวกนี้แหละสำคัญ
บทที่ 19 รายละเอียดพวกนี้แหละสำคัญ
หลินถงซูมองเฉินฉีด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้ดูดีใจนัก เฉินฉียิ้มแฉ่ง “ผมพิสูจน์ข้อหักล้างสมมติฐานของคุณสำเร็จแล้ว คุณบอกว่าฆาตกรซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำ ถ้าอย่างนั้นผู้ตายจะเข้ามาขับถ่ายในห้องน้ำได้ยังไงถ้ามีคนซ่อนอยู่ข้างในจริง ๆ?”
หลินถงซูลองคิดตามคำพูดของเขาและคิดว่าค่อนข้างสมเหตุสมผล แต่คล้ายว่ายังมีข้อบกพร่องบางอย่างจึงเถึยงเขากลับ “ไม่ ไม่สิ ปัสสาวะนั่นอาจจะไม่ใช่ของผู้ตายก็ได้ อาจจะเป็นของฆาตกรที่อั้นไม่ไหวจนต้องขับถ่ายออกก่อน และเขาก็กลัวครอบครัวนี้จะรู้ตัวเลยไม่ได้กดชักโครกให้เกิดเสียง”
เฉินฉียิ้มและชื่นชมเธอ “คุณเริ่มเรียนรู้กระบวนการคิดแล้ว ไม่เลวเลย! ส่วนเรื่องที่ว่าใครเป็นเจ้าของปัสสาวะนั่นเราจะรู้หลังจากที่เก็บตัวอย่างไปตรวจสอบแล้ว… เพราะงั้นอย่าลืมบอกผลที่ออกมาให้ผมรู้ด้วยล่ะ”
หลินถงซูเกาหน้าด้วยความเขินเมื่อถูกชมเชย “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันยังไม่เข้าใจเท่าไหร่ มีคนตายที่นี่สามคน สถานที่เกิดเหตุก็เละเทะไปหมด แต่คุณไม่ได้ดูที่อาวุธฆาตกรอาจใช้ในการสังหาร กลับเอาแต่วิเคราะห์เรื่องปัสสาวะแทน มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“คุณหลิน รายละเอียดเล็กน้อยพวกนี้สำคัญต่อรูปคดีไม่น้อยเลยเชียว! ในการทำคดีเราจะต้องศึกษาสิ่งผิดปกติเหล่านี้ให้ทะลุปรุโปร่ง เพราะบ่อยครั้งที่สิ่งเหล่านี้สามารถนำไปสู่การไขคดีได้”
“อ้างอิงแนวคิดนี้มาจากใครกัน?”
“ผมเป็นคนคิดเองน่ะ”
“คุณเนี่ยนะคิดขึ้นเอง? ได้แรงบันดาลใจมาจากแหล่งไหน?”
เฉินฉีตอบอย่างใจเย็น “ผมชอบดูรายการที่เกี่ยวข้องการสืบสวนอาชญากรรมน่ะ ก็เลยคิดอะไรแบบนี้ออกมาได้ ผมจะคิดคำสวยหรูพวกนี้เองไม่ได้รึยังไงกัน?”
“ตัวคุณน่าเชื่อถือซะตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ?!” หลินถงซูทำท่าทางฮึดฮัด
เฉินฉีเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังอีกครั้ง “ผมคิดว่าศพของชายคนนี้มีส่วนที่ต้องตรวจสอบอีกมาก พอทีมชันสูตรมาถึงที่นี่แล้วคุณอย่าลืมแจ้งให้พวกเขาชันสูตรศพนี้อย่างละเอียดด้วยนะ”
พูดถึงผีผีก็มา ขณะนั้นเองเสียงไซเรนดังขึ้นจากด้านล่างตึก เฉินฉีรีบเดินออกมาจากห้องน้ำทันที “รีบเร่งมือเถอะ”
เฉินฉีรีบเดินกลับไปตรวจสอบศพของหญิงสาวในห้องนั่งเล่นด้วยขั้นตอนเดียวกันก่อนพูดข้อสรุปออกมา “เวลาเสียชีวิตของเธอคือเที่ยงคืนโดยประมาณเช่นกัน มีรอยช้ำและแผลถลอกตรงบริเวณเข่าและศอก คาดเดาว่าอาจเกิดจากการหกล้ม หน้าผากด้านขวาปรากฏรอยฟกช้ำด้วย…” เขาเหลือบมองไปที่ด้านหลังโซฟาไม้ “แผลฟกช้ำน่าจะมาจากการกระแทกขอบโซฟาไม้ เป็นอาการบาดเจ็บที่เธอได้รับก่อนจะเสียชีวิต และยังมีแผลตรงข้อมือจากการพยายามต่อสู้ขัดขืนเพราะฉะนั้นฆาตกรก็ควรมีร่องรอยเหล่านี้”
เฉินฉีพูดรัวเร็วมาก ส่วนหลินถงซูก็รีบจดข้อมูลลงไปในสมุดบันทึกเล่มเล็กที่พกมาด้วยอย่างคร่าว ๆ
หลังตรวจดูศพของหญิงสาวแล้ว เฉินฉีก็กลับไปดูบริเวณที่ศพของหญิงชรานอนอยู่และลงมือพลิกศพตรวจดูเบื้องต้น “เวลาเสียชีวิตไล่เลี่ยกันกับอีกสองศพ บนร่างกายของเธอแทบไม่มีร่องรอยของการพยายามต่อสู้เลย ดูเหมือนว่าเธอถูกฆาตกรรมในขณะที่เพิ่งตื่นนอน งั้นในตอนที่กำลังจะถูกฆ่าเธอได้ตะโกนออกมารึเปล่านะ? ต้องลองทดสอบผนังห้องดูว่าเก็บเสียงมากน้อยแค่ไหน คุณรีบเดินออกไปด้านนอกห้องให้หน่อยสิ!”
“โอ้ ค่ะ!” หลินถงซูเดินออกไปอยู่นอกห้องทันที เฉินฉีตะโกนถามจากด้านในห้อง “อยู่ตรงนั้นคุณได้ยินเสียงผมชัดไหม?”
“ได้ยินชัดเลย”
เมื่อหลินถงซูเดินกลับเข้าไปในห้องเฉินฉีก็เริ่มอธิบาย “วัสดุที่ใช้ทำประตูทำจากไม้จึงเก็บเสียงได้ไม่ค่อยดีนัก หญิงชราคนนี้อาจร้องออกมาเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะถูกฆ่า หรืออาจเป็นการเตือนคนที่อยู่ด้านนอกห้อง…” เขาลูบคางอย่างครุ่นคิดก่อนหยิบอาวุธขึ้นตรวจดู “ฆาตกรรม ขวาน มีดแล่เนื้อ ในครัวมีมีดเล่มหนึ่งหายไป น่าจะเป็นเล่มนี้แหละ คมมีดบิ่นเล็กน้อยด้วยรึ? ดูจากบาดแผลแล้วฆาตกรคงใช้มีดเล่มนี้จ้วงแทงหลายครั้ง ตัวด้ามทำจากไม้จึงมีรอยแตกหักหลายจุด เดี๋ยวนะ มีคราบเลือดติดอยู่ที่ด้ามด้วยนี่!”
เฉินฉีตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดและกำลังวิเคราะห์เบาะแสนี้อย่างตั้งใจ หลินถงซูมองเขาด้วยความไม่อยากเชื่อสายตา ราวกับเธอเห็นนักสืบระดับแนวหน้ากำลังคิดหาเหตุผลอย่างรวดเร็วและชำนาญ ยิ่งมองยิ่งทำใจให้เชื่อได้ยากว่าเขาเป็นเพียงคนขับรถธรรมดาเท่านั้น
“มีรอยเลือดติดอยู่บริเวณด้ามเล็กน้อย เดาว่าเป็นเลือดของฆาตกร ส่วนนี้ถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญเลยล่ะ” เฉินฉีเดินไปดมกลิ่นปากของผู้ตายแล้ววิเคราะห์เพิ่มเติม “เหยื่อกินอะไรมาก่อนหน้าที่จะเสียชีวิตกันนะ? เหมือนจะเป็นบางอย่างที่มีรสหวาน ในห้องนอนอีกห้องมีถ้วยซุปเมล็ดบัวหวานวางอยู่ แล้วผมก็เห็นหม้อใบใหญ่ในครัวด้วย จากหลักฐานทั้งหมดผมสันนิษฐานว่าฆาตกรอาจจะผสมยานอนหลับไว้ในอาหาร… แปลกแฮะ ฆาตกรเป็นคนทำเหรอ? หมายความว่าเขาวางแผนไว้ก่อนแล้วหรือนี่?”
“ใครอยู่ข้างในน่ะ?!” เสียงเข้มดุดันตวาดเข้ามาจากบริเวณในห้องนั่งเล่น หลินถงซูที่กำลังตั้งใจฟังเฉินฉีวิเคราะห์อยู่สะดุ้งสุดตัวเพราะตกใจจากเสียงของบุคคลที่สามซึ่งดังขึ้นอย่างกะทันหัน
เมื่อเธอหันไปมองเธอก็พบว่าเป็นหลินชิวผูที่พากำลังตำรวจเข้ามาในห้อง พวกเขาคิดว่าผู้อยู่ข้างในอาจเป็นผู้ต้องสงสัยจึงยกปืนขึ้นเล็งอยู่อย่างนั้น
ทันทีที่หลินชิวผูเห็นคนทั้งสองแล้ว คิ้วของเขาก็ขมวดแน่นทันที “เป็นคุณอีกแล้วเหรอ!?”
เฉินฉีลุกขึ้นยืนพร้อมส่งยิ้มให้เขา “ผู้กองหลิน เจอกันอีกครั้งแล้วนะครับ”
“ใครอนุญาตให้พวกคุณเข้ามาในที่เกิดเหตุแล้วเดินไปทั่วกันแบบนี้? รู้ไหมว่าแบบนี้จะยิ่งทำให้ตำรวจทำงานยากขึ้นไปอีก? หลินถงซู ในฐานะที่คุณเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแผนกอาชญากรรม นอกจากคุณจะไม่ปิดกั้นพื้นที่เหตุในทันทีแล้วยังปล่อยให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาเพ่นพ่านอีก!”
เมื่อถูกหลินชิวผูตำหนิ หลินถงซูก็รู้สึกเสียใจแทบร้องไห้ออกมา “เขา… เอ่อ... เราก็แค่กลัวว่าอาจจะยังมีคนที่ยังรอดชีวิตอยู่ด้านใน จึงเข้ามาพร้อมกันเผื่อจะช่วยเหลืออะไรได้ง่ายขึ้น”
เฉินฉีชี้ไปที่ถุงมือที่ตัวเองสวมอยู่ “ผู้กองหลิน อย่าด่วนร้อนใจไปสิครับ ผมใส่ถุงมือป้องกันไว้แล้วนะ”
“คุณเตรียมถุงมือมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะเลยเหรอ!?”
“ไม่ครับ ผมค้นมาจากในครัว”
“อะไรนะ!?” หลินฉิวผูตวาดเสียงดัง “คุณใช้สิ่งของจากในที่เกิดเหตุด้วยเหรอ?! รู้ไหมว่าพฤติกรรมของคุณมัน…”
“ผมรู้ ผมรู้ ผมรู้!” เฉินฉียอมรับผิดแต่โดยดี “ผมรู้น่าว่าผมทำผิด! งั้นผมไม่กวนผู้กองหลินในการตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้วล่ะ หวังว่าครั้งนี้คุณจะปิดคดีด้วยตัวเองได้นะครับ ผมขอตัวก่อน”
เฉินฉีไม่สนใจสายตาแข็งกร้าวจากหลินชิวผู หลินถงซูเถียงอีกฝ่ายทันที “พี่คะ เขาก็แค่มาช่วยฉันสำรวจที่เกิดเหตุเฉย ๆ แล้วทุกเรื่องที่เขาวิเคราะห์ก็สมเหตุสมผลมาก เราพบจุดสำคัญบางอย่าง…”
“หลิน ถง ซู!” เขาตอบโต้ด้วยการตะคอกจนผนังห้องสั่นสะเทือน “คุณกำลังฝ่าฝืนระเบียบวินัยและไม่รู้จักทำงานเป็นทีมเอาซะเลย! ไปบอกไอ้หมอนั่นซะ ถ้าผมเจอรอยนิ้วมือหรือรอยเท้าของเขาแม้แต่รอยเดียว ผมจะจับกุมเขาซะข้อหาขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่!”
หลินถงซูคอตกน้ำตาคลอเบ้า พอหลินชิวผูเห็นแสดงท่าทีเช่นนั้นก็ให้นึกใจอ่อนขึ้นมา แต่ยังคงรักษาความเคร่งขรึมบนใบหน้าไว้ ต่อหน้าลูกน้องคนอื่นแล้วเขาไม่สามารถใจดีกับเธอเป็นกรณีพิเศษ จากนั้นเขาจึงหันไปออกคำสั่งกลบเกลื่อน “เร่งมือเข้า!”
หลินถงซูเดินออกมาข้างนอกเห็นว่าเฉินฉีกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงทางเดิน หลินถงซูตะโกนใส่เขาด้วยความโกรธเคือง “ฉันบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าอย่าเข้าไป! แต่คุณก็จะยังดึงดันจะเข้าไปดูให้ได้!”
“ผมยินดีรับความผิดนี้ไว้ทั้งหมดและจะชดเชยให้คุณเอง โอเคไหม? คืนนี้เดี๋ยวผมพาคุณไปเลี้ยงหม้อไฟเป็นการไถ่โทษ แบบนี้เป็นไง?” เฉินฉีพูดยิ้ม ๆ
“ไม่มีทาง! คุณชักจะเอาแต่ใจมากเกินไปแล้วนะ!”
ทั้งคู่เงียบไปสักพัก ได้ยินเพียงเสียงกดชัตเตอร์ของกล้องที่ดังขึ้นจากภายในห้อง ทีมเก็บหลักฐานกำลังทำการถ่ายภาพและช่วยกันตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุ เฉินฉีพ่นควันบุหรี่ครั้งสุดท้ายก่อนจะโยนขี้บุหรี่ทิ้งไปพร้อมออกความเห็น “คดีนี้ไม่ได้คลี่คลายง่าย ๆ เหมือนหลักฐานที่เราเห็นกันแค่ผิวเผินหรอกนะ มันค่อนข้างซับซ้อนน่าดู พี่ชายของคุณปิดคดีนี้ด้วยตัวเองไม่สำเร็จหรอก”
“งั้นฉันเดาว่าทางสถานีคงต้องเรียนเชิญอัจฉริยะยอดนักสืบอย่างคุณมาเป็นที่ปรึกษาเพื่อช่วยไขคดีนี้สินะคะ?” หลินถงซูพูดประชดประชัน ในใจก็คิดไปว่า ‘หมอนี่ต้องเป็นพวกเหลิงในความสามารถของตัวเองแน่ ๆ’
“ผมไม่ใช่อัจฉริยะอะไรทั้งนั้น เป็นแค่พลเมืองจิตใจดีที่ไม่สามารถทนกับความอยุติธรรมได้เท่านั้น”
“โอ๊ย คุณจะวางมาดว่าตัวเองเป็นพระเอกไปถึงเมื่อไหร่กัน?!”
“เลิกแขวะผมเรื่องนี้ก่อนเถอะ ผมบอกคุณอย่างจริงจังเลย... คดีนี้มีเงื่อนงำบางอย่าง คุณอยากทำผลงานชิ้นโบแดงอีกรึเปล่าล่ะ?”
หลินถงซูใช้ปลายนิ้วม้วนหมุนเส้นผมตัวเองเล่น “แยกตัวออกมาสืบคดีคนเดียวกับคุณตลอดแบบนี้ เพื่อนร่วมงานจะไม่นินทาฉันแย่เหรอ?”
“แย่ไม่แย่อยู่ที่ว่าคุณอยากทำผลงานไหม?”
“อยากสิ!”
“เหมือนกัน! ผมเองก็ต้องการเส้นสาย” เฉินฉียิ้ม “ผมยินดีช่วยคุณอีกครั้ง!”