บทที่ 19: ผลกระทบของข้าวโพด
ซูเจ๋อมองหลี่เฟยแล้วพูดว่า “อืม ผมก็คิดว่าควรจับพวกมันเหมารวมเป็นพวกเดียวกันกับมนุษย์ต่างดาวด้วยเลย เห็นผู้อาวุโสในสำนักเคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่ามีสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือท้องฟ้าขึ้นไปอีก พวกมันเรียกว่าอสูรฟ้า(เทียนโหมว) และพวกมันนี่แหล่ะที่อาจจะเป็นผู้สนับสนุนนิกายเทียนโหมว”
"โอ้?"
ดวงตาเจียงเหอเป็นประกาย
น่าสนใจ
‘ยังมีตัวอะไรอื่น ๆ อยู่นอกโลกจริงด้วยเหรอวะ?’
แบบนี้สถานการของโลกนี้มันก็อันตรายเกินกว่าที่เจียงเหอจะจินตนาการได้แล้ว
การฟื้นคืนพลังวิญญาณ การอาละวาดของสัตว์อสูร การก่อวินาศกรรมของพวกนิกายเทียนโหมวในโลกนี้ และปีศาจเหนือท้องฟ้าที่กำลังเฝ้าดูโลกนี้ราวกับเสือโคร่งที่รอจับเหยื่อ แค่คิดถึงมันก็รู้สึกว่ากำลังโดนกดขี่อยู่อย่างบอกไม่ถูก
เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว สีหน้าของเจียงเหอก็เปลี่ยนไปในทันที
'การฝึกฝนของตูยังอ่อนเกินไป! หลังจากที่ทำลายแผนการของพวกมันแล้ว ไอ้นิกายเทียนโหมวเวรนี่จะต้องไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ แน่นอน'
'ถ้าผู้ปลุกพลังจากนิกายเทียนโหมวสามารถควบคุมสัตว์อสูรเลเวล 1 แปดตัว และสัตว์อสูรเลเวล 2 ได้ พวกมันอาจจะฝึกสัตว์อสูรที่แข็งแก่งกว่านี้ไว้อีกเป็นจำนวนมากก็ได้ใครจะรู้?'
'ถ้ามันเข้าควบคุมสัตว์อสูรสักหลายสิบตัวหรือ เอาแค่สัตว์อสูรระดับสูงเพียงไม่กี่ตัวให้มาขย้ำ ตูก็ไม่รอดแล้วเว้ย ต่อให้มีกายาวัชระคงกระพันปกป้องร่างกายยังไงก็ไม่รอด'
อันที่จริง ตอนแรกเจียงเหอกะว่าจะกลับเข้าไปในภูเขา ค้นหาไอ้สารเลวนั่นแล้วลากตัวมันออกมาสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต แต่ตอนนี้เขาก็ต้องเลิกคิดและถอนหายใจ “ถ้าไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศ การเข้าไปโดยประมาทนั้นมันอันตรายเกินไป ลืมมันไปเถอะ—ตูกลับไปยกระดับการฝึกฝนต่อดีกว่า เพราะมันมีประโยชน์มากกว่าอยู่แล้ว”
เขาจึงหันไปหาซูเจ๋อและถามว่า “ภารกิจนี้จบลงแล้วเหรอ?”
ซูเจ๋อพยักหน้า “ขอบคุณที่ช่วยครับคุณเจียง ผมจะกลับไปขอเครดิตที่สำนักและนำข้อมูลที่คุณต้องการมาให้โดยเร็วที่สุด”
หลังจากนั้นหมารองหลี่ก็พาเจียงเหอกลับบ้าน
หวางซืออวี่ติดตามเขามาด้วย
เธอไม่ได้กลับบ้านทันที เธอตามมาที่บ้านเจียงเหอแทน และกำลังยืนก้มหน้า
มือทั้งสองของเธอจับชายเสื้อตัวเองแน่น พยายามพูดอะไรแบบตะกุกตะกัก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดอะไรดี
เจียงเหอเห็นแล้วก็หัวใจเต้นโครมคราม พร้อมมีความคิดอันกล้าหาญชาญชัยปรากฏ
เขากระอมแล้วพูดว่า “อะแฮ่ม ๆ หวางซืออวี่ถึงฉันอาจจะคิดดีกับเธอ… แต่พวกเราไม่ใจเร็วด่วนได้ไปหน่อยเหรอ? แน่นอนฉันเป็นผู้ใหญ่แล้วและแข็งแรงมาก ๆ ด้วย ตราบใดที่เธอพร้อม ฉันก็ยินดีที่จะช่วยจัดการเรื่องอย่างว่านี่ได้ทุกเมื่อ”
“หมายความว่าไง? เร็วเกินไป? ยินดีช่วยเรื่องอะไร?”
หวางซืออวี่กระพริบตาปริบ ๆ ก่อนที่จะรู้ว่าเขาหมายถึงอะไรและถุยน้ำลายใส่ “ถุย! ถุย! ถุย! นายกำลังคิดสัปดนอะไรอยู่ ฉัน… ฉันแค่มาถามว่ายังมีข้าวโพดแบบเมื่อวันก่อนเหลืออยู่อีกไหมต่างหาก!”
"อ๊อ~!"
เจียงเหออุทานเสียงสูงล้อเลียนออกมาพลางทำท่าเอามือทาบอกก่อนจะพูดว่า “แค่เรื่องข้าวโพดจะบอกก่อนหน้านี้ก็ได้ แต่เธอดันตามฉันกลับมาบ้านแถมทำท่าทางแบบนี้แล้วพูดติด ๆ อ่าง ๆ ไอ้ฉันก็นึกว่าเธอกำลังรวบรวมความกล้าที่จะจับฉันขึ้นเตียงเสียอีก”
“ทุเรศที่สุด!”
หวางซืออวี่ตะคอกกลับก่อนจะถามว่า “ขอถามได้ไหมว่านายได้ข้าวโพดนั้นมาจากไหน? มันทำให้วิวัฒนาการได้ด้วยเหรอ? ฉันหมายถึง… มันช่วยให้หน้าอกใหญ่ขึ้นด้วย”
สำหรับผู้หญิงสมัยใหม่ที่มีการศึกษาแล้ว เรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งน่าอายและสามารถพูดคุยกันได้ แต่เป็นเพราะเธอสามารถอ่านใจได้—และเมื่อเห็นว่าในหัวของเจียงเหอเต็มไปด้วยความคิดแต่เรื่องอย่างว่ากับเธอ เธอจะไม่หน้าแดงได้อย่างไร
"หา?"
เจียงเหอจ้องไปที่หวางซืออวี่ด้วยความตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะอุทานด้วยความประหลาดใจ “มันใหญ่ขึ้นจริง ๆ เหรอ มิน่าล่ะฉันถึงหาไม่เจอว่ามันมีอะไรที่พิเศษต่างไปจากข้าวโพดเดิม ๆ... กลับกลายเป็นว่ามันช่วยในแง่นี้นี่เอง”
ถ้าเขาค้นพบผลลัพธ์แบบนี้ได้เองก็ตลกแล้ว
‘ตูเป็นผู้ชายนาเว้ย จะให้มีหน้าอกหน้าใจฟูฟ่องเป็นบักแตงโมมันก็ไม่ใช่ป่าววะ?’
เจียงเหอแสร้งทำเป็นว่าเข้าไปที่ห้อง และแอบหยิบข้าวโพดสองฝักออกจากกระเป๋าเก็บของแล้วกลับมาหาเธอแล้วกล่าวว่า “ฉันไปเจอข้าวโพดพวกนี้มาโดยบังเอิญ ถ้าการคาดเดาของฉันถูกต้อง พวกมันคงจะดูดซับพลังวิญญาณและกลายพันธุ์ไปแล้ว”
“ตอนนี้เอาสองฝักนี่ไปก่อนถือเป็นของตอบแทนสำหรับการทดลองที่ประสบความสำเร็จ แต่มีเงื่อนไขคือ เธอต้องวัดตัวก่อนและหลังกิน ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการกำหนดราคา”
นี่ยังไม่รวมเรื่องที่ว่าเขายังเหลือข้าวโพดอีก 78 ฝัก
และถ้าสิ่งนี้พิสูจน์แล้วว่าได้ผลดีจริง ๆ เขาจะขายมันทั้งหมดโดยด่วนอย่างแน่นอน ถ้าขายฝักละสามสี่แสน คงได้เงินมาหลายสิบล้านชัวร์ ๆ
“วัดตัวแล้วบันทึกเหรอ?”
หวางซืออวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้า
‘เนื่องจากเจียงเหอเป็นคนที่เห็นขอมูลนี้คนเดียว และของฉันก็ไม่เล็ก แล้วจะมีอะไรที่ต้องอายล่ะ?’
เธอต้องการจ่ายเงินแต่เจียงเหอปฏิเสธ
“เธอคือผู้ทดสอบผลิตภัณฑ์ของฉันนะ ข้าวโพดที่ยาวและใหญ่มากสองฝักนี้เป็นรางวัลที่เธอสมควรได้รับ”
หวางซืออวี่พูดไม่ออก
'ยาวและใหญ่มาก?'
'นี่ชื่อผลิตภัณฑ์เหรอ!'
'น่ารังเกียจมาก! คนดี ๆ ที่ไหนเขาเรียกข้าวโพดแบบนี้กัน!'
***
หลังจากที่ได้เห็นหวางซืออวี่เดินจากไปแล้ว เจียงเหอก็ล็อกประตูบ้านและหยิบพลั่วไปที่ลานบ้าน
เขาโบกมือหนึ่งที ศพของแมวดำที่มีขนาดเท่าลูกวัวก็ปรากฏขึ้นที่เท้า
“โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!”
เอ้อเหลิงจื่อที่งีบหลับอยู่ที่มุมสนามในทันทีเริ่มเห่าอย่างดุเดือดทันทีที่เห็นศพของแมวดำ
“หุบปาก หยุดเห่า! เอ็งพึ่งจะมาบ้าอะไรตอนนี้วะ!”
เจียงเหอดุออกมาแค่ทีเดียวเอ้อเหลิงจื่อก็หยุดเห่า
ถึงกระนั้นมันก็ยังวิ่งเข้ามาหาเขา กระดิกหางดิ๊ก ๆ และส่งเสียงร้องงี้ด ๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนบนขาหลัง ชี้อุ้งเท้าหน้าไปที่ศพแมวดำ แล้วจึงชี้ไปที่ปากของมันเอง จากนั้นมันก็ใช้อุ้งเท้าทั้งสองลูบท้องตัวเอง แล้วมันก็ทำท่าเหมือนอาเจียนแล้วส่ายหัวอย่างแรง
“…”
เจียงเหอเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเข้าใจว่าที่มันอยากจะสื่อสารนั้นหมายถึงอะไร
และแล้วเขาเตะเจ้าหมาไปทีหนึ่งพร้อมดุออกมา “ฝันไปเถอะไอ้หมาเวร ศพนี้ไม่ได้เอามาให้เอ็งกิน”
ขณะที่เจียงเหอหยิบพลั่วและเริ่มขุดหลุม ตาของเอ้อเหลิงจื่อเป็นประกายในทันที และมันก็วิ่งมาหาเขาอีกครั้ง ผลักเขาออกไปในขณะที่มันเริ่มตะกุยดินด้วยอุ้งเท้าทั้งสี่
เศษฝุ่นเศษดินฟุ้งขึ้นไปในอากาศทั่วทุกทิศทุกทาง และในไม่ช้ามันก็ขุดหลุมเสร็จ
"โอ้?"
เจียงเหอพอใจมากแล้วลูบหัวเจ้าหมาที่กระดิกหางอยู่เบา ๆ แล้วหยิบแตงกวาออกมา
“ทำดีมาก” เขาพูดแล้วแล้วโยนแตงกวาให้มัน “นี่เป็นรางวัลสำหรับเอ็ง รีบ ๆ กินแล้วรีบ ๆ เข้านอน จะได้ไปให้ถึงเลเวล 2 เร็ว ๆ”
เอ้อเหลิงจื่อพยักหน้าและวิ่งออกไป โดยคาบแตงกวาไว้ในปาก
ช่วงนี้มันไม่ค่อยได้แตงกวาที่เจียงเหอกินเหลือ และพึ่งพัฒนาเป็นสัตว์อสูรเลเวล 1 อย่างเป็นทางการเมื่อสามวันก่อน
เจียงเหอมองตามเจ้าหมาพร้อมกับครุ่นคิด
“จมูกของสุนัขนั้นเฉียบคม และของเอ้อเหลิงจื่อก็อาจจะเฉียบคมขึ้นหลังจากวิวัฒนาการ บางทีวันหลังตูน่าจะพามันไปที่ฉางหลิวสุ่ย เพื่อค้นหาผู้ควบคุมสัตว์อสูรนิกายเทียนโหมวที่แอบซ่อนตัวอยู่ที่นั่น”
“ยัง… ตอนนี้ควรจะลองปลูกศพของแมวอสูรดูซิว่าจะได้อะไรจากมันบ้างไหม”
เจียงเหอจึงเตะศพลงไปในหลุม
หากมันปลูกขึ้นได้จริง ๆ เขาอาจจะได้เบาะแสบางอย่างจากร่างกายของมัน
***
ในขณะเดียวกันทางทิศตะวันออกของจุดชมวิวฉางหลิวสุ่ย
แถวของเนินเขามีแม่น้ำไหลผ่านแต่ละเนิน มีกังหันลมสร้างอยู่บนยอดเขาแต่ละแห่ง ไม่ค่อยมีใครพบเห็นที่นี่ และห่างออกไปทางตะวันออกอีกเพียงห้าถึงสิบกิโลเมตรเท่านั้นที่มีสัญญาณชีวิตของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เหมืองแร่
ตอนนี้ เนินเขาห่างจากพื้นที่ทำเหมืองไปอีก 30 กิโลเมตร มีเต็นท์ที่มีแสงวูบวาบจากด้านใน
ได้มีสุนัขสีดำตัวใหญ่ที่แบกชายวัยกลางคนที่สวมชุดดำกำลังวิ่งเข้ามาหาจากระยะไกล
“ภารกิจล้มเหลว ท่านผู้พิทักษ์! มีผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังก็ปรากฏตัวขึ้นและทำลายแผนของเรา”
ร่างชุดดำรีบกระโดดลงจากสุนัขและคุกเข่าอยู่นอกเต็นท์
การตอบสนองของเงาใต้แสงเต็นท์มีการสั่นไหว ขณะที่เสียงแหบห้าวก็สะท้อนออกมา “มีเพียงโทษตายสำหรับทุกคนที่ทำให้แผนของเราปั่นป่วน การปรากฎตัวของราชาหมาป่าบนภูต้าตงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะทำให้ซีเป่ยตกลงสู่ความโกลาหล”
“มีเพียงช่วงเวลาที่โลกเกิดความสับสนอลหม่านเท่านั้น นิกายของเราจึงจะผงาดขึ้นมาได้”
“สำหรับไอ้คนที่มาขัดขวางแผนการอันศักสิทธิ์นี้ จงสำเร็จโทษประหารมันซะ!”
ปล. ท่าทางที่เอ้อเหลิงจื่อแสดงออกมาน่าจะหมายความว่า จะเอาแมวนี่มาให้มันกินเหรอ ถ้ามันกินเข้าไปคงได้ปวดท้องแล้วอวกออกมาแน่ ๆ เพราะงั้นมันกินไม่ไหวหรอก